บทที่ 11 หุ่นหินทราย
“เออน่ะ แกรอตรงนี้แหละ เมื่อกี้เขาโทร.มาใกล้ถึงแล้ว รอแป๊บเดียว”
ภูสุดาเดินกลับเข้าร้านไม่อยู่รอรับของขวัญที่หล่อนพูดถึง ภากรมองตามร่างบางของเพื่อนแล้วหันมามองถนน รถปิ๊กอัพแล่นตรงมาที่ร้าน จอดเทียบพื้นปูนหน้าร้าน คนขับกับคนโดยสารเปิดประตูลงมา
“ของมาส่งแล้วครับเซ็นรับด้วยครับ” คนด้านซ้ายถือสมุดสำหรับส่งของเดินมาหาภากร
“ของอะไร” เขาถามโดยไม่รับสมุดมาเซ็นรับ
“หุ่นแกะสลักครับเป็นหินทราย จะดูมั้ยครับ”
“ไม่ต้องหรอก ยกเข้าไปให้เพื่อนผมเซ็นรับดีกว่า เธอเป็นคนสั่งไม่ใช่เหรอ”
“ครับ”
สองหนุ่มเปิดท้ายรถกระบะ เลื่อนหุ่นซึ่งมีผ้าสีน้ำตาลคลุมไว้ทั้งตัวมาถึงท้ายรถแล้วยกในลักษณะหามขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล หุ่นตัวนี้น่าจะหนักพอควรทีเดียว ภากรเปิดประตูให้สองหนุ่มนำหุ่นเข้าในร้านแล้วเดินตามเข้าไป
“วางตรงโน้นจ้ะ”
ภูสุดาลุกจากเก้าอี้ที่หล่อนนั่งจัดช่อดอกไม้ใส่ตะกร้าหวายใบเล็กอยู่ ชี้มือไปทางซ้ายของประตูด้านในห่างประมาณ 1 เมตร เด็กส่งของวางหุ่นตามคำสั่ง
“เลื่อนไปทางซ้ายอีกนิด นั่นแหละ ๆ พอแล้วจ้ะ”
หล่อนสั่งแล้วถอยหลังไปมองความพอดีของจุดวางหุ่นกับประตู ภากรยืนมองเฉย ๆ เขาไม่รู้ว่าหุ่นที่ภูสุดาซื้อเป็นของขวัญให้เขาคืออะไร เขามองหล่อนเซ็นรับของ รอให้เด็กส่งของออกจากร้านไปแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“แกซื้ออะไรมาให้ฉัน”
“อยากรู้ก็เปิดดูสิเพื่อนรัก ของชิ้นนี้ฉันไปเจอที่ร้านขายพวกกระถางดินเผา มีของแต่งหน้าร้านเยอะเลยแก พอดีไปเจอหุ่นตัวนี้ ฉันว่าแกต้องชอบแน่ ๆ ไปเปิดดูสิ”
“จะเซอร์ไพรส์อะไรนักหนาวะ”
แม้หงุดหงิดกับการกระทำของเพื่อนแต่ชายหนุ่มก็เดินไปหยุดยืนข้างผ้าสีน้ำตาลที่คลุมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ ภูสุดากอดอกมองเพื่อนรักพลางพยักหน้าให้เพื่อนดึงผ้าคลุมออก เขายิ้มชืดแล้วเอื้อมมือขยุ้มผ้าแล้วตวัดขึ้น ทันทีที่ผ้าผืนใหญ่พ้นของขวัญชิ้นพิเศษประกายแสงวับจากดวงตาหุ่นพุ่งเข้าตาภากร เขาหลับตารวดเร็วหันหน้าหนีหุ่นตรงหน้า
“เป็นอะไรกร ทำไมไม่มองของขวัญฉันล่ะ ลืมตาดูซิว่าชอบรึเปล่า”
ภูสุดาไม่เห็นอย่างที่เพื่อนหนุ่มเห็น หล่อนเดินมาหยุดยืนข้างตัวเขาแล้วผายมือไปที่หุ่นหินทราย
“ลืมตาได้แล้วเพื่อน ดูซิชอบมั้ย ถ้าไม่ชอบฉันจะได้เอาออกไปตั้งหน้าร้าน”
เขาลืมตาตามคำของเพื่อนและทันทีที่จุดโฟกัสของดวงตาทั้งคู่จับภาพที่อยู่ตรงหน้า ร่างสูงถึงกับถอยหลังกรูด ดวงตาสีสนิมเข้มเบิกกว้าง อะไรกันนี่ กินรีตัวนี้ตามมาหลอนเขาถึงในร้านเพื่อนรักทีเดียวหรือ
“กร เป็นอะไร ตกใจอะไรวะ” ภูสุดาพลอยตื่นตระหนกไปกับอาการตกใจของเพื่อนด้วย
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดติดต่อกันสองสามครั้งแล้วหันมามองหญิงสาวที่จับแขนเขาเขย่าอยู่ในขณะนี้ เขาไม่ได้ฝันมือภูสุดาที่จับแขนเขาอุ่น แรงเขย่าทำให้ศีรษะของเขาสั่นคลอน เขาจะฝันได้อย่างไร ทุกอย่างเป็นความจริง เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ แล้วมาหยุดที่หุ่นหินทราย
“ฉันไม่เป็นไร คงหิวข้าวก็เลยเหมือนจะเป็นลม” เขาโกหกเพื่อน ไม่อยากพูดถึงความฝันและเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาให้เพื่อนฟัง
“โธ่เอ๊ย ทำเอาฉันใจหายใจคว่ำนึกว่าแกเห็นผีซะอีก เป็นไงกินรีตัวนี้สวยมั้ยแต่เสียอย่างเดียวปีกซ้ายยังแกะไม่เสร็จ”
“อะไรนะ! ปีกซ้ายแกะไม่เสร็จ” เป็นการช็อกครั้งที่สองหรือไม่ก็สามถึงสี่ครั้งในรอบวันนี้
“เออ ทำไมวะ ร้องซะตกใจ หน้าตื่นเหมือนเห็นผี แกเป็นอะไรของแกกันแน่ไอ้กร”
หล่อนดึงแขนเพื่อนรักให้มานั่งเก้าอี้เพราะใบหน้าเข้มซีดเผือด เขาไม่อยากบอกหล่อนว่าที่เขาตกใจนั้นยิ่งกว่าเห็นผีหลายร้อยครั้งเสียอีก
“ดา แกเอากินรีตัวนี้ไปคืนเขาได้มั้ย ฉันไม่อยากได้ว่ะ แกซื้อน้ำเปล่าให้ฉันขวดเดียวฉันยังสบายใจกว่า”
เขายกมือกุมขมับ ไม่ยอมเงยหน้ามองกินรีที่ดูเหมือนว่ากำลังจ้องเขม็งมาที่เขา สายตาของหุ่นหินทรายเหมือนมีชีวิตจริง ๆ ดวงตาที่มองอ้อนวอน ขอร้อง ขอความช่วยเหลือบางอย่างแฝงอยู่ ภากรสะบัดศีรษะแรง ๆ มันปวดหนึบที่ท้ายทอย
“แกพูดอะไรของแกวะ น้ำเปล่าจะไปมีความหมายเท่ากินรีตัวนี้ได้ยังไง แกรู้รึเปล่า เจ้าของร้านเขาบอกว่ากินรีตัวนี้มีประวัตินะแต่แปลกที่ขายไม่ออกอาจเป็นเพราะปีกข้างซ้ายแกะไม่เสร็จก็ได้”
หญิงสาวมองเพื่อนด้วยสายตาสงสัยระคนแปลกใจกับคำพูดและกิริยาไม่อยากมองหุ่นที่เพิ่งเข้ามาประดับในร้าน
“แล้วแกซื้อมาให้ฉันทำไม แกขนไปอเมริกาด้วย ไม่ต้องเอาไว้ที่ร้าน”
“แกไม่ชอบเหรอ ฉันอุตส่าห์ซื้อมาให้แก นึกว่าชอบเห็นชอบของเก่า เจ้าของร้านบอกว่ากินรีตัวนี้อายุเกือบห้าร้อยปี”
“กูหิวข้าวไม่อยากฟังเรื่องกินรี ถ้าแกไม่ทำกับข้าวให้ฉันกิน ฉันจะกลับบ้านให้ป้าสุขทำให้ ไปนะโว้ยพรุ่งนี้เจอกัน” ภากรลุกจากเก้าอี้
“อ้าวเฮ้ย เดี๋ยวสิ” หล่อนคว้ามือเพื่อนไว้ก่อนจะก้าวห่างเก้าอี้