3. หยอดวันละนิด
#InjaeTalk.
.
ยัยเด็กใหม่ข้างห้องชื่อ ‘ขนม’ ดูรวมๆ แล้วก็น่ารักดี ดูโก๊ะๆ และซุ่มซ่าม ไม่รู้ว่านิสัยเป็นแบบนั้นอยู่แล้วหรือตั้งใจเข้ามาอ่อยผมกันแน่ แต่ผมขอผ่านไปก่อนแล้วกันเพราะยังไม่อยากมีแฟน แต่ถ้าจะมาเล่นๆ ก็ได้นะผมไม่ถือ
ก่อนจะเป็นคนเย็นชาแบบนี้ผมก็มีเคยมีแฟนมาก่อนนะครับ เพราะเคยมีแฟนและก็รักมากด้วยเวลาเลิกกันไปมันเลยเจ็บ และชินชาจนกลัวการมีความรักไปเลย
เธอเป็นแฟนคนแรกที่เริ่มคบกันตอนเราเรียนอยู่ปีหนึ่ง ผมเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ส่วนเธอเรียนคณะนิเทศศาสตร์สาขาวิชาศิลปะการแสดง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอเรียนสาขานี้หรือเปล่าถึงทำให้เธอแสดงละครต่อหน้าผมได้เก่งนักเชียว
เราคบกันมาได้หกเดือนดูภายนอกก็เหมือนจะรักกันดี และไม่เคยงี่เง่าใส่กันเลย ผมให้อิสระกับเธอได้ตลอดอยากไปไหนก็ไปไม่เคยห้าม
จนวันหนึ่งผมพบเธอควงอยู่กับผู้ชายอีกคนที่ห้างโดยบังเอิญ และที่สำคัญตอนนั้นเรายังไม่ได้เลิกกัน วินาทีนั้นบอกได้เลยว่าทั้งเจ็บและจุกที่อกแบบที่ไม่เคยได้รับมาก่อน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเลิกกัน เพราะเธอยอมรับเองกับปากว่าเธอเบื่อที่ต้องคบกับผู้ชายที่เอาแต่อยู่กับตัวเลขในหนังสือแบบผม อยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆ กับผู้ชายคนใหม่ของเธอ ผมก็โอเค งั้นเราก็เลิกกันตามที่เธอต้องการ
หลังจากผ่านความเสียใจในครั้งนั้นมาได้ ผมก็ให้สัญญากับตัวเองเลยว่าจะไม่ขอมีแฟนอีกเด็ดขาด ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่สามารถทำให้ผมมั่นใจได้ว่าเธอจะรักผมแค่คนเดียว
ก๊อก ก๊อก “พี่อินแจ พี่อยู่ในห้องมั้ยคะ” เสียงเรียกของยัยเด็กข้างห้องมาเคาะเรียกที่ห้องผมแต่เช้า
ผมจำใจต้องลุกไปเปิดประตูและเอ่ยออกไปอย่างรู้สึกหงุดหงิด รู้สึกว่าเธอจะเริ่มเข้าหาผมละ “มีอะไร”
“พี่มีปลาสเตอร์ปิดแผลมั้ยคะ” เธอยืนหน้าซีดอยู่หน้าห้อง พลางบีบนิ้วที่ถูกพันด้วยกระดาษทิชชูเอาไว้แน่น
“เข้ามาก่อน เดี๋ยวไปหยิบให้” เห็นผมเย็นชาแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร
เธอน่าจะเป็นคนกลัวเลือดถึงได้หน้าซีดขนาดนั้น ผมเลยให้เธอเข้ามานั่งที่โซฟา
ส่วนตัวผมก็เดินไปหยิบอุปกรณ์และยาสำหรับทำแผลมาให้ และวางมันลงที่โต๊ะหน้าโซฟา
“ทำเองได้รึเปล่า” ผมถามออกไป
“ทำได้ค่ะ” มือเล็กแกะกระดาษทิชชูออก แผลที่มือดูแล้วน่าจะโดนของมีคมบาด ดูมือที่สั่นเทากว่าจะหยิบจับได้แต่ละอย่าง เห็นแล้วก็รู้สึกขัดหูขัดตา
“มานี่ เดี๋ยวทำให้” คว้ามือเล็กเข้ามากอบกำอย่างถือวิสาสะแล้วจัดการล้างแผลให้ ส่วนเธอก็ยินยอมให้ผมทำแต่โดยดี
ซี้ด~ เสียงของคนตัวเล็กที่นั่งหลับตาปี๋แล้วสูดปากด้วยความปวดแสบ เมื่อโดนผมใช้สำลีก้านชุบน้ำยาล้างแผลแล้วเช็ดลงที่นิ้วมือของเธอ ผมเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงเป่าเพื่อบรรเทาความเจ็บให้ลดลง ก่อนจะใส่ยาและปิดทับด้วยปลาสเตอร์ปิดแผลลายการ์ตูนน่ารัก
“เสร็จแล้ว” เมื่อถ้าเธอได้ยินดังนั้น ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับยกนิ้วของตัวเองขึ้นดู
“ขอบคุณค่ะ” เสียงหวานเอ่ยกับผมแล้วยิ้มให้ ผมลืมตัวเผลอกระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหุบลงดังเดิม
“เมื่อกี้พี่ยิ้ม” เธอชี้หน้าผมพลางหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างกับเด็กน้อย
“เปล่า” ผมรีบปฏิเสธออกไป ปกติผมไม่ชอบยิ้มให้ผู้หญิง จะว่าหยิ่งก็ได้นะแล้วแต่จะคิด
“แต่เมื่อกี้ขนมเห็นนะ พี่ยิ้มแล้วหล่อมากเลยรู้มั้ยคะ อยากเห็นพี่ยิ้มอีก” เสียงของคนตัวเล็กเอ่ยปากชมแล้วเอาแต่จ้องหน้าหล่อตี๋ของผม อย่าคิดว่าผมจะเผลอตัวเป็นครั้งที่สองอีกนะ
“กลับไปได้ละ” ผมเอ่ยปากไล่คนตรงหน้า เพราะไม่อยากให้เธออยู่ในห้องของผมนาน
ปกติผมไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายในห้องอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้รู้จักหรือสนิทกันอย่าหวังว่าจะได้เข้ามาในห้องของผมง่ายๆ แต่เธอเป็นกรณียกเว้น เพราะเธอมาเพราะบาดเจ็บที่มือ
“กลับก็ได้ค่ะ แซวแค่นี้ไม่เห็นต้องไล่เลย แต่ก็ขอบคุณนะคะที่ทำแผลให้” เธอมองค้อนแต่ก็ยังขอบคุณก่อนจะกลับห้องไป
…..
#KhanomTalk.
.
เช้านี้ระหว่างที่กำลังหั่นผักอยู่และไม่ทันระวังเลยโดนมีดบาดมือ และนึกขึ้นมาได้ว่าในห้องไม่ได้ซื้ออุปกรณ์ทำแผลมาไว้เลย จึงได้ถือโอกาสนี้ลองไปเคาะห้องพี่อินแจดู อย่าน้อยได้ปลาสเตอร์ปิดแผลมาสักอันก็ยังดี แต่ผิดจากที่คาดไว้เพราะพี่เขาให้ฉันเข้าไปนั่งรอในห้อง แล้วยังทำแผลให้อีก ถึงจะดูเย็นชาแต่ก็ใจดีที่สุดเลย
เมื่อกี้ฉันเห็นพี่เขายิ้มด้วยแหละ เห็นหน้านิ่งว่าหล่อแล้ว แต่พอหน้าตี๋ของเขานั้นเผลอยิ้มกลับหล่อละลายยิ่งกว่าเดิม โอป้าของฉันหล่อละมุนสุดๆ คิดแล้วพลางยกมือขึ้นทาบบนพวงแก้มนุ่มของตัวเอง แต่เอาเถอะฉันจะคอยหยอดวันละนิด ‘ยังไงก็พี่ก็หนีไม่พ้นยัยขนมคนนี้หรอกค่ะอินแจโอปป้า’
…..
@มหาวิทยาลัย
.
วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยหลังจากที่ได้ย้ายออกมาอยู่คอนโดได้หนึ่งอาทิตย์ บอกเลยว่าฉันตื่นเช้าเป็นพิเศษ ก่อนจะรีบหาอะไรรองท้องและขับรถมามหาวิทยาลัยด้วยความตื่นเต้น
“ขนม” เสียงเรียกจนแสบแก้วหูของณิชาตะโกนดังลั่นจนคนที่อยู่แถวนั้นหันมามองทางฉันกันเป็นแถบ
ฉันจึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาเพื่อนรักที่ยืนรออยู่อย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา
“แกจะเรียกเสียงดังทำไมยัยณิชา อายเขามีแต่คนมอง” ฉันพูดพลางส่ายสายตามองไปรอบๆ
“แกสวยคนก็มองสิจ๊ะ ไม่เห็นแปลก”
“แต่ฉันไม่ชอบอะ ดูสายตาพวกนั้นสิ”
“จ้า ไว้วันหลังฉันจะกระซิบเรียกแกเอานะ จะได้ไม่มีใครได้ยิน” ณิชาเอ่ยแกล้งฉัน
“แล้วแต่แกก็แล้วกัน ไปเข้าเรียนกันเถอะ” ฉันเอ่ยชวนณิชา แล้วเราก็เดินตรงไปที่ตึกคณะเลย
ระหว่างทางเดินก็มีเสียงผิวปาก และเสียงแซวเป็นระยะตลอดทาง ฉันเอาแต่มองตรงพื้นอย่างเดียวเลยเพราะอายมากบอกตรงๆ ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย
“มาวันแรกก็โดนแซวเลยนะ เพื่อนฉันสวยขนาดนี้ หนุ่มๆ ทั้งมหาลัยมีหลงใหลกันบ้างล่ะ”
“พูดมากน่ะแก ฉันไม่สนใจหรอก ฉันสนแต่โอปป้าของฉันคนเดียว” พูดไปก็เผลอยิ้มไป คิดถึงรอยยิ้มของเขาในวันนั้น
“โอปป้า” เสียงของณิชาเอ่ยขึ้นเป็นเชิงคำถาม ฉันกระตุกยิ้มให้เท่านั้นแต่ไม่ได้ตอบกลับปล่อยให้คิดเอาเอง
ระหว่างทางไปตึกคณะที่เราเรียนจะต้องเดินผ่านตึกของคณะเศรษฐศาสตร์ก่อน และสายตาของฉันมันก็ได้สะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งที่คุ้นตา และเขาก็กำลังจะเดินเข้าตึกนั้นไป
“พี่อินแจ” เผลอเรียกเสียงดัง ที่จริงก็ตั้งใจเรียกนั่นแหละ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะเรียกดังไปหน่อย
เป็นไปตามคาดเขาหยุดเดินและหันมาจ้องฉันกับณิชาด้วยสีหน้าราบเรียบเย็นชาดังเดิม
ฉันรีบสาวเท้าเข้าไปหาอย่างเร็วพลัน เพราะมันรู้สึกดีใจมากที่เห็นเขาเรียนที่นี่
“พี่เรียนที่นี่เหมือนกันเหรอคะ” ฉันรีบถามออกไปพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ตึกคณะ บอกตามตรงว่าตอนนี้มีสายตาหลายคู่จ้องมาทางพวกเรา แต่ฉันไม่สนใจหรอก ฉันสนแต่หนุ่มหล่อที่อยู่ข้างหน้าคนนี้คนเดียว
“อืม” พี่อินแจตอบกลับสั้นๆ
“เก่งจัง เรียนเศรษฐศาสตร์”
“แล้วเรียกมีอะไร”
“ปะ…เปล่าค่ะ แค่เรียกเฉยๆ งั้นขนมไปก่อนนะคะ” เออ ฉันก็ไปไม่เป็นเหมือนกันเมื่อถูกถามเช่นนั้น ไม่รู้อะไรเข้าสิงให้เรียกเขาเหมือนกัน แต่อยากเรียกอะ อิอิ
หลังจากที่แยกกับพี่อินแจแล้วเพื่อนรักของฉันก็เอาแต่จ้องหน้าอย่างสงสัย จนฉันอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“แกมองหน้าฉันทำไม”
“โอปป้า” ณิชาเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
“อืม” ฉันตอบสั้นๆ กลับไป เราสองคนสนิทกันมาก รู้ไส้รู้พุงกันหมด ไม่ต้องพูดเยอะก็รู้กัน
ฉันเดินเลยตึกคณะของพี่อินแจมาได้ไม่เท่าไร ก็ได้ยินเสียงของคนที่เดินตามหลังพวกเรามา เหมือนจะพูดแขวะฉันอย่างไรอย่างนั้น
“มาวันแรกก็เข้าหาผู้ชาย หน้าไม่อาย”