บทที่ 3 เจอกันแล้ว
ผมเลือกร้านกาแฟร้านหรูร้านนึง ที่บรรยากาศสบายสบาย สามารถนั่งนานนานโดยไม่โดนไล่ออกจากร้าน ก็แน่ล่ะ ราคากาแฟของร้านนี้ เบาซะเมื่อไหร่
ผมเดินเข้าไปสั่งกาแฟ แล้วเลือกนั่งที่โต๊ะชุดเล็ก โดยเลือกนั่งหันหน้าเข้ามาในร้าน ในระหว่างที่ผมกำลังจิบกาแฟ นิ้วมือเรียวเรียวของผมก็ปัดไอแพดไป สายตาก็อ่านอีเมล์ พออ่านไปได้สักพัก ผมก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วสายตาของผมก็ต้องสะดุดกับโต๊ะโต๊ะนึง ที่มีผู้ชาย 3 คนนั่งคุยกันอยู่ ดูแล้วน่าจะมาคุยงานกัน
คนนึงแต่งตัวสไตล์หนุ่มออฟฟิศ อีก 2 คนแต่งตัวด้วยชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกัน ซึ่งคนนึงอายุน่าจะประมาณ 35 ผิวคล้ำ ร่างท้วม ส่วนอีกคน ผมคิดว่าน่าจะรุ่นเดียวกับผม หรือไม่ก็ต่างกันสักปีสองปี คนนี้ดูหน้าตาสะอาดสะอ้าน ผิวขาว หน้าตี๋ ใส่แว่นกรอบบาง สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึก แต่ดูรวมรวมแล้วก็ถือว่าเป็นบุคคลที่น่ามองมาก
ผมเองก็เผลอตัวเสียมารยาทมองเค้าอยู่นาน จนเจ้าตัวน่าจะรู้สึกตัว หันหน้ามองมาทางผม ทำคิ้วขมวดเล็กน้อย เหมือนเชิงสงสัยว่า มองอะไรเค้า ผมก็เผลอตัวยิ้มให้เขาตามนิสัยมนุษยสัมพันธ์ดี อัธยาศัยดีของผม แต่สิ่งที่ผมได้รับคือ เขาทำหน้านิ่ง แล้วหันไปสนใจกับผู้ร่วมโต๊ะต่อ โดยไม่ไยดีกับรอยยิ้มของผมเลย
‘คนอะไร ประหลาดดีแท้ ยิ้มให้ ก็ทำเมิน แถมยังไม่ยิ้มตอบด้วย แต่เอ๊ะ.. แล้วผมจะไปสนใจเขาทำไมล่ะเนี่ย ถ้าเป็นสาวสาวก็ว่าไปอย่าง ฮึ’
ทางด้านโต๊ะอีกมุมหนึ่งของร้านกาแฟ
นาวิน หัวหน้างานวิศวกรหนุ่มแผนกออกแบบวัย 27 ปี ผิวขาวที่มาพร้อมส่วนสูง 183 เซ็นติเมตร ใส่แว่นตากรอบบาง อยู่ในชุดยูนิฟอร์มของบริษัท วันนี้เขากับพี่ศุภโชคผู้จัดการแผนกวิศวกรรมออกแบบมีนัดคุยงานกับลูกค้า ซึ่งตามปกติจะต้องเข้าไปพบลูกค้าที่บริษัท แต่ลูกค้ารายนี้ออกจะชิลหน่อย ชอบให้นัดคุยงานนอกสถานที่ เราจึงเลือกนัดคุยกันที่ร้านกาแฟหรูใกล้ออฟฟิศคุณลูกค้า พอมาถึงร้านเราก็สั่งกาแฟมาคนละแก้ว โดยเลือกนั่งโต๊ะมุมด้านในสุดของร้าน ที่ข้างโต๊ะมีกระถางต้นไม้วางตกแต่งไว้อยู่ ทำให้ช่วยพลางสายตาจากผู้คนในร้านได้บ้างจะได้มีสมาธิในการคุยงาน คุยเสร็จจะได้รีบกลับ เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์แห่งชาติ ขืนเลิกช้า มีหวังได้ติดอยู่บนถนนเป็นชั่วโมงแน่นอน
ตัวผมอ่ะไม่ค่อยชอบสถานที่ที่มีคนเยอะๆ เท่าไหร่ แต่พี่ศุภโชคนี่สิ ชอบลากผมไปไหนมาไหนด้วยตลอด และระหว่างที่ผมกำลังนั่งคุยงานกันนั้น ผมรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่พุ่งตรงมาที่ผม มันดึงให้ผมต้องเงยหน้ามองไปยังแหล่งที่มาของพลังงานนั้น แล้วผมก็เจอกับ ดวงตากลมโต ของผู้ชายคนหนึ่งที่ดูแล้วอายุน่าจะรุ่นเดียวกับผม คนคนนี้มีรูปร่างบาง ใบหน้าหวาน ผิวไม่ได้ขาวมากเหมือนผม ครั้งแรกที่ผมหันไปสบตา ดูเขาจะมีอาการตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มด้วยแววตาที่สดใส ดูเป็นมิตร
‘คนอะไรอยู่ดีดี ก็มาจ้องมองผม แล้วยิ้มให้ผม เค้ายังสติดีอยู่หรือเปล่านะ แต่ดูรวมรวมก็เป็นคนที่ดูดีมีเสน่ห์คนหนึ่งเหมือนกัน เฮ้ย.. บ้าไปแล้ว ผมเนี่ยนะ จะไปมองว่า ผู้ชายคนหนึ่งมีเสน่ห์ได้อย่างไรกัน’
แล้วเสียงผู้ร่วมโต๊ะก็ดึงผมออกจากภวังค์ เข้าร่วมสนทนาต่อ
“ขอบคุณมากครับ คุณเกรียงไกร แล้วผมจะรีบแก้ไขงานและส่งมาให้ตรวจสอบอีกครั้งนะครับ”
พี่ศุภโชคกล่าวขึ้นหลังจากจบการคุยงาน ผมยิ้มให้ลูกค้าตามมารยาทไปนิดนึง
“คุณศุภโชคกับคุณนาวิน จะไปไหนต่อมั้ยครับ อย่าบอกนะ ว่าต้องกลับเข้าบริษัทอีก”
คุณเกรียงไกรถามผมกับพี่ศุภโชค
“เดี๋ยวต้องกลับเอารถไปคืนที่บริษัทครับ วันนี้เอารถบริษัทมา ต้องรีบหนีออกไปก่อน ก่อนที่จะติดแงกบนถนนครับ วันนี้วันศุกร์แห่งชาติด้วย”
พี่ศุภโชคตอบแล้วร่ำลาคุณลูกค้า ก่อนจะแยกย้ายกัน ผมเองก็เผลอปรายตามองไปที่โต๊ะที่เคยมีแรงดึงดูด ซึ่งตอนนี้มีแต่ว่างเปล่า คนหน้าหวานที่เคยนั่งจ้องผมไม่ได้อยู่ที่โต๊ะเสียแล้ว แต่เอ๊ะ.. มีอะไรบางอย่าง ตกอยู่ที่เก้าอี้ คาดว่าเจ้าตัวคงทำหล่นไว้โดยไม่รู้ตัว ผมควรจะปล่อยทิ้งไว้ หรือเก็บไปฝากที่พนักงานของร้านดี ผมเดินเข้าไปหยิบแล้วก็เผลอเอานิ้วมือไปเคาะที่หน้าจอสมาร์ทโฟนนั้นไปสองครั้ง รูปใบหน้าด้านข้างของเจ้าของเครื่องก็โชว์ขึ้น ผิวหน้าเนียน สันกรามและจมูกมองดูชัด ถือว่าเป็นโครงหน้าที่เพอร์เฟคจริงจริง
“ขอบคุณครับ .. ผมทำตกไว้เอง ผมนี่แย่จริงจริงเลย”
ณัฎฐ์วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาที่ร้านกาแฟร้านเดิม เพราะขณะที่เขากำลังเดินไปยังลานจอดรถ เขาก็คิดได้ว่าจะโทรหาจุ๊บแจงสอบถามข้อมูลบางอย่าง แต่ก็ดันหาเจ้าสมาร์ทโฟนไม่เจอ
‘เพี้ยงขอให้โทรศัพท์ยังอยู่ด้วยเถอะ ผมยังผ่อนไม่หมดเลย และก็ไม่อยากเสียเงินซื้อใหม่ในตอนนี้ด้วย’
ณัฎฐ์ภาวนาไปตลอดทาง พอไปถึงร้านเขาก็เห็นหนุ่มตี๋ที่เขาเผลอนั่งจ้องหน้าและโปรยยิ้มให้เมื่อครู่หยิบโทรศัพท์เขามาจากซอกเก้าอี้ ณัฏฐ์ยื่นมือเข้าไปเพื่อขอรับโทรศัพท์คืน พร้อมยิ้มให้เขาคนนั้นอีกครั้ง ใช่แล้วเขาคนนั้นยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย แล้วยื่นโทรศัพท์คืนให้ผม โดยไม่พูดสักคำ
“ผมชื่อณัฏฐ์นะครับ เอ่อ.. คุณ.. คุณชื่ออะไรหรือครับ”
ผมเอ่ยแนะนำตัว แล้วถามชื่อเค้าบ้าง
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็แค่ผ่านมาเห็นแล้วจะนำไปฝากที่พนักงานคุณก็มาพอดี”
เขาตอบผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ที่สำคัญ ไม่ยอมบอกชื่อด้วย
“นี่นามบัตรผมนะครับ ถ้ามีโอกาส ครั้งหน้าผมจะได้ขอเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วนะครับ เอ่อ... แล้วคุณจะไม่บอกชื่อของคุณให้ผมทราบจริงจริงหรือครับ”
ผมยังไม่ละความพยายามที่จะถามชื่อเขา
เขารับนามบัตรแล้วก้มดูนามบัตรผม แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเบาเบา เหมือนกลัวดอกพิกุลทองจะร่วงออกมายังงั้นแหละ
“นาวินครับ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ คุณนาวิน ผมติดกาแฟคุณไว้ 1 แก้วนะครับ อย่าลืมเซฟเบอร์ผมแล้วแอดไลน์ผมมาด้วยนะครับ วันไหนว่างตรงกันผมขอเลี้ยงกาแฟคุณนะครับ”
ผมพูดจบเขาก็เดินออกจากร้านไป คนคนนี้ทำไมดูลึกลับจังนะ ยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้ผมอยากรู้จักเขาขึ้นไปอีก แต่ผมไม่มีเบอร์ของเขา แล้วจะไปติดต่อเพื่อทำความรู้จักกับเขาได้อย่างไรล่ะ
Rrrr rrrr .. เสียงโทรศัพท์ของผมสั่นขึ้น เป็นเบอร์ของพี่บารมีผู้จัดการผมนั่นเอง
“ณัฏฐ์ วันจันทร์นายมีนัดที่ไหนมั้ย เข้ามาคุยกันที่ออฟฟิศหน่อยซิ”
เสียงพี่บารมีดังมาตามปลายสาย
“ได้ครับพี่บอมบ์ กี่โมงดีครับ”
“10 โมงก็ได้”
“ครับ .. เจอกันครับ”
‘คุณนาวินคนหน้านิ่ง ผมอยากเจอคุณอีกครั้งนะ’
ผมแอบคิดในใจ