ตอนที่2.หนทางที่เลือกเอง 1
นวินเติบโตมาในคฤหาสน์หลังใหญ่ เขาไม่เคยชินกับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย เขาเป็นคุณหนูที่ถูกฟูมฟักจากมารดาของเขา ทุกครั้งที่เขาหิวมักจะมีอาหารร้อนๆ รอให้เขาเลือกชิม เขาไม่ต้องกระเสือกกระสนและต้องทำงานขายแรงแบบฉัน
เขานั่งทำงานในห้องกว้างๆ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ แบบไม่ยี่หระกับราคาค่าไฟฟ้า ครอบครัวมั่งคั่งของเขาหล่อหลอมเขาเป็นแบบนั้น ซึ่งเขาเคยทำให้ฉันหวัง เขาอาจจะชอบแบบที่ฉันเป็น
แต่ทั้งหมดนั่นเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ของฉันเอง
“อืออออ...” ความรู้สึกหมดหวังโถมใส่ฉันไม่หยุด
น้ำตาของฉันไหลออกมาเหมือนสายธารา ฉันจมอยู่กับความเศร้านานเท่าไหร่ ฉันเองก็ไม่แน่ใจนัก ตอนที่ฉันลืมตา ความมืดก็ปกคลุมรอบตัวฉันเสียแล้ว
ลำคอฉันตีบตัน แสบร้าวไปทั้งกระบอกตา
ร่างกายของฉันเหมือนคนหมดแรง ฉันทรงตัวนั่งเอนกายพิงพนักโซฟา นอนหลับตานิ่งๆ เกือบครึ่งชั่วโมง
ฉันโผเผเดินไปที่ห้องนอน แต่แล้วความทรงจำเก่าๆ ก็ย้อนกลับมาในห้วงความคิดทำเอาฉันแทบก้าวขาไม่ออก ฉันเคยบอกแล้วนี่ ทุกตารางนิ้วในบ้านหลังนี้ล้วนมีความทรงจำของฉันกับเขาที่ทำร่วมกัน ฉันยืนตัวแข็งทื่อ ความรู้สึกหมดอาลัยตายยากกระแทกเข้ากลางแสกหน้า จากนี้ไป ฉันจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ในเมื่ออนาคตของฉัน จากนี้ไป ไม่มีทางเหมือนเดิม
ฉันไม่มีเขาอยู่ข้างตัวอีกต่อไปแล้ว
ฉันทิ้งตัวนอนแผ่ ไม่รู้สึกรู้สากับทุกสิ่งรอบข้าง ฉันนอนหลับตา แต่ฉันไม่ได้หลับ ฉันรับรู้ถึงเวลาที่เดินไปข้างหน้า แต่ฉันไม่มีแก่ใจจะทำอะไรอีก ฉันนอนอยู่แบบนั้น เหมือนคนที่ตายไปแล้ว ความคิดของฉันค่อนข้างสับสน ฉันไม่สามารถลืมความทรงจำที่มีร่วมกันได้ ฉันรู้สึกสิ้นหวังจนนึกอยากตาย...
ปี๊นๆ เสียงบีบแตรรถดังอยู่หน้าบ้าน ฉันพยายามลืมตา แต่ทว่ากลับไม่สามารถทำได้เหมือนเก่า เปลือกตาฉันหนักอึ้ง ฉันยกมือลูบใบหน้า เปลือกตาของฉันบวมปริบจนน่าตกใจ คงเป็นเพราะฉันร้องไห้ตลอดทั้งคืนนั่นเอง
“ไปไหนนะ ธรรมดาไม่เคยปิดร้าน” ฉันเหลือบมองเวลาหลังได้ยินเสียงบ่นพึมพำ สายแล้ว เสียงแตรนั่นคงเป็นรถส่งน้ำแข็งเจ้าประจำที่แวะมาส่งน้ำแข็งในทุกๆ เช้า ฉันฝืนความรู้สึกอ่อนล้าของตัวเอง พยายามทรงตัวยืน แต่เหมือนกับว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีหดหายไปทั้งหมด เรื่องง่ายๆ เช่นการยืนเลยกลายเป็นเรื่องยากสำหรับฉันในตอนนี้
ตืดดดด....
เสียงโทรศัพท์ดังเตือน ฉันควานมือหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ไกลมาแนบข้างใบหู
“วันนี้ปิดร้านเหรอครับ” น้ำเสียงคนคุ้นเคยดังแทรกมา
“ฉันไม่สบายน่ะ” ฉันพยายามเค้นเสียงพูด คนปลายสายคงได้ยินเสียงแหบแห้งของฉัน
“ไหวไหมพี่?” เสียงผสมความเป็นห่วง ฉันอดน้ำตาคลอไม่ได้
“ไหว” ฉันตอบสั้นๆ
“นอนพักนะพี่ พรุ่งนี้ละยังปิดร้านต่อไหมครับ” คำถามต่อมาทำฉันอึ้ง
นั่นสิ ฉันจะนอนทอดอาลัยต่อ หรือลุกขึ้นมาสู้ต่อดี
“ไม่ละ เดี๋ยวดีขึ้นจะลุกไปเปิดร้านแล้ว” ฉันตอบหลังนิ่งไปหนึ่งอึดใจ
ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยท้อแท้อะไรง่ายๆ แค่อกหัก ไม่ได้ทำให้ฉันตายสักหน่อย
“น้ำแข็งวันนี้ พี่ยังรับไหมครับ หรือให้ผมแวะมาอีกทีตอนบ่ายๆ”
“เอาสิ สักเที่ยงๆ นะค่อยมา ขอนอนต่ออีกสักนิดเถอะ” ฉันตอบแล้วก็กดวางสาย มันรู้สึกเคว้งคว้างไปหมด ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรเริ่มต้นทำอะไรก่อน ฉันควรหาอะไรใส่ท้องเผื่อบางทีฉันจะมีแรงสู้ชีวิตต่อ
แต่ฉันไม่รู้สึกหิวเลย ทั้งที่ฉันไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ตอนสายๆ ของเมื่อวาน แม้แต่น้ำฉันก็ไม่ได้กิน
ฉันฝืนความรู้สึกตัวเองลุกขึ้นอาบน้ำเป็นสิ่งแรก ฉันใช้เวลาร้องไห้ใต้สายน้ำอีกเกือบครึ่งชั่วโมง ฉันรักเขามาก เลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง ฉันตั้งใจกับความรักครั้งนี้มากเกินไปสักหน่อย และวาดหวังอนาคตไว้ไม่น้อย
เมื่อจู่ๆ มันพังทลายลง ฉันเลยอดเฟลฟ์ไม่ได้
ตืดดดดด... ฉันเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ที่กะพริบถี่ๆ
“มีอะไรคะเฮีย?” หลังกดรับ ฉันก็ถามเสียงเนือยๆ