6 พระสหาย
ความซุกซนของหลี่เฟิ่งหมิงตัวน้อย มีใครในวังหลวงไม่รู้บ้าง ตั้งแต่หายป่วยและกลับมาจากตำหนักระหว่างแคว้น ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อนอยู่มาก อาเหวินเผลอมองไปทางอื่นครู่เดียวเท่านั้น นางก็หายตัวออกไปแล้ว วิ่งตามออกมาจึงได้รู้ว่านางออกมาพบพี่อาหยวนของนาง เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ใครอื่นจึงได้สบายใจเดินตามอยู่ห่าง ๆ แทน เด็กก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำซุกซนตามประสา
ได้ยินว่าพี่อาหยวนมาขอพบหลี่เฟิ่งหมิงก็วิ่งพรวดพราดออกมาทันที โดยหลงลืมไปเสียสนิทว่านางอยู่ในสถานะอะไร
“พี่อาหยวน” หลี่เฟิ่งหมิงวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้าไปหา พร้อมกับตะโกนร้องเรียกชื่อของเด็กชายเสียงดังลั่น
ได้ยินนางเรียกชื่อเสิ่นหยวนเชาก็เผยยิ้มแจ่มใส
“องค์หญิงอย่าวิ่งพ่ะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นจะหกล้มเอาได้” เสิ่นหยวนเชาทัดทาน
เจ้าตัวแสบวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหยุดอยู่ตรงหน้า ลมหายใจหอบถี่ไม่สม่ำเสมอ
“พี่อาหยวน ข้าคิดถึงท่าน” นางกล่าวออกไปอย่างไร้เดียงสา คิดถึงก็คือคิดถึงไม่มีสิ่งใดที่ต้องคิดหลายตลบให้ซับซ้อน
แต่ไม่ใช่กับอีกฝ่าย เสิ่นหยวนเชาอายุมากกว่านางเริ่มรู้จักว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด คำว่าคิดถึงใช่จะมาพูดกันได้ง่าย ๆ เช่นนั้น แต่ก็แอบรู้สึกดีใจ ที่นางคิดถึงเขา
“องค์หญิงเหนื่อยพระองค์แล้ว เราไปนั่งที่ม้าหินตรงนั้นดีหรือไม่”
“ได้ ไปกันเถอะ” มือเล็ก ๆ ของหลี่เฟิ่งหมิงคว้ามับไปที่มือของเสิ่นหยวนเชาในฉับพลันนั้นใบหูของบุตรชายอัครเสนาบดีกลายเป็นสีแดงระเรื่อ
อาเหวินเห็นแล้วกำลังจะอ้าปากกล่าวอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็หยุดพูดไปเสียดื้อ เอาเถอะพวกเขายังเด็กด้วยกันทั้งคู่ มีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกันอยู่ไม่มาก เมื่อโตขึ้นเดี๋ยวก็รู้ความกันเองนั่นแหละ
ภูมิอากาศของซานเหออุ่นตลอดทั้งปี แม้จะล่วงเข้าสู่สารทฤดูแล้วก็ตาม การออกมาเดินเล่นนอกตัวอาคารจึงไม่ต้องตระเตรียมอะไรให้มากมาย เมื่อมาถึงจุดหมาย อาชิ่งก็รีบนำของที่เตรียมมาวางไว้บนโต๊ะหินทันที อาเหวินเดินตามเขามาดูแลความเรียบร้อยโดยไม่กล่าวสิ่งใด ที่แท้ก็นำขนมและของกินที่นางโปรดปรานติดไม้ติดมือมาด้วยนี่เอง คุณชายผู้นี้ดูท่าแล้วคงมีใจอยู่ไม่น้อย แต่น่าเสียดายนักองค์หญิงของนางมีคู่หมายเสียแล้วสิ
“ผลไม้อบแห้งจากหอมธุรส พี่อาหยวนรู้ใจข้าที่สุด” หลี่เฟิ่งหมิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี ช่วงนี้มีแต่เรื่องราวดี ๆ เสด็จแม่ของนางตั้งครรภ์ ได้พบหน้าพี่อาหยวน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดี เรื่องราวดีงามเหล่านี้ทำให้นางลืม คนผู้นั้นไปหมดแล้ว
“เพราะกระหม่อมรู้ว่าพระองค์ชอบ จึงซื้อมาให้” เมื่อเห็นเด็กหญิงที่อายุน้อยกว่าตนดีใจ เด็กชายก็พลอยมีความสุขไปด้วย
มือเล็ก ๆ หยิบขนมในนั้นมารับประทานอย่างไม่เกรงใจ
“พี่อาหยวน ไม่รู้ว่าท่านรู้ข่าวหรือยัง?” นางกินไปพูดไป
“ข่าวอะไรงั้นหรือ?” เด็กชายเอียงคอถามอย่างสงสัย
“ข้ามีข่าวดีจะบอกท่าน ไม่รู้ว่าพี่อาหยวนรู้หรือยัง” หลี่เฟิ่งหมิงกระซิบกระซาบ
“งั้นบอกข่าวดีให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” เสิ่นหยวนเชารอฟังอย่างตื่นเต้น
“ข้ากำลังจะมีน้อง” นางบอกยิ้ม ๆ หยุดครู่หนึ่งและกล่าวต่อ “และข้าจะได้แต่งงานกับรัชทายาทแห่งฉีหลิน” นางกล่าวอย่างอารมณ์ดี “เสด็จแม่บอกว่า หากข้าแต่งานกับรัชทายาทแห่งฉีหลิน ข้าจะได้ครองแผ่นดินเหมือนเสด็จแม่”
ข่าวดีเรื่องแรกของนางเขารู้อยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นที่กล่าวถึงของผู้คนในราชสำนัก มีใครไม่รู้บ้าง แต่เรื่องหลังจากนั้นมันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับเขาเลยสักนิด
“องค์หญิงพระองค์รู้แล้วหรือว่าการแต่งงานคืออะไร” เสิ่นหยวนเชาหน้าบึ้ง
“เสด็จแม่บอกว่าการแต่งงานคือการที่ชายและหญิงสองคนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า พระองค์ตรัสว่าเมื่อข้าโตขึ้นจะรู้และเข้าใจในเรื่องแบบนั้นตามสัญชาตญาณของมนุษย์เอง” หลี่เฟิ่งหมิงกล่าวอย่างไร้เดียงสา
ทุกการกระทำและคำพูดของเด็กสองสามคนตรงนั้นอยู่ในสายตาของอาเหวินทุกอย่าง ปฏิกิริยาเมื่อองค์หญิงน้องของนางกล่าวเรื่องนั้นออกมา สีหน้าของคุณชายเสิ่นเย็นชาขึ้นมาดื้อ ๆ
“แล้วถ้าหากว่า...เมื่อพระองค์โตขึ้น พระองค์ทรงรู้จักแล้วว่าความรักคือสิ่งใด และพระองค์รู้ว่าพระองค์ไม่ได้รักองค์ชายรัชทายาทแห่งฉีหลิน ถึงตอนนั้นพระองค์จะทำอย่างไร ถ้าหาก....ถ้าหากว่าพระองค์มีบุรุษคนอื่นที่พระองค์ทรงรักมากกว่าล่ะพ่ะย่ะค่ะ” เด็กชายลองเสี่ยงถาม
“อืมมม.....ข้าคิดไม่ออกหรอก เสด็จแม่บอกว่าไว้ข้าโตขึ้นค่อยเครียดเรื่องพวกนั้นก็ยังไม่สาย” หลี่เฟิ่งหมิงยิ้ม ใบน่ารัก ๆ ของนางพองกลมอย่างน่าเอ็นดู
พูดไปตอนนี้นางก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี เสิ่นหยวนเชาจึงล้มเลิกที่จะสนทนาเรื่องพวกนั้นต่อ
“...”
“พี่อาหยวนอ้าปากสิเจ้าคะ”
เมื่อเขาอ้าปากผลซิ่งอบแห้ง ก็ถูกยื่นใส่ปากเขาทันที ความเครียดที่มีอยู่มลายหายไปจนสิ้น เด็ก ๆ ทั้งสองคนพูดคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี่จนกระทั่งใกล้เวลาที่ประตูวังหลวงจะปิด เสียงระฆังบอกเวลากำลังเตือนให้ขุนนางที่ไม่ได้พำนักอยู่ในวังหลวงเตรียมตัวออกไปจากที่นี่
“คุณชาย” อาชิ่งสะกิด
“อ้อ...จริงด้วย” เขากล่าวขึ้นแล้วจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่มีลายปักเป็นรูปแมวสามสีออกมาจากอกเสื้อ “องค์หญิง ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ข้าเห็นว่ามันถูกปักลายเป็นรูปแมวสามสี เหมือนกับเจ้าถั่วของพระองค์ไม่มีผิด กระหม่อมนึกถึงพระองค์จึงได้ซื้อมันมาเป็นของขวัญ”
หลี่เฟิ่งหมิงเช็ดมือที่เปรอะเปื้อนผลไม้อบแห้งของตนเองเข้ากับชุดเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ แล้วจึงเอื้อมมือออกไปรับผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายอย่าประณีตงดงามเป็นรูปแมวสามสี ลักษณะคล้ายกับเจ้าถั่วอย่างที่เขากล่าวไม่มีผิด
“สวยจังเลยเจ้าค่ะ พี่อาหยวน” นางมองอย่างชื่นชม ก่อนจะนึกสิ่งใดออก “แต่ว่าวันเกิดของข้ายังอีกตั้งหลายเดือน เหตุใดจึงมอบให้ข้าก่อนละเจ้าคะ”
ได้ยินนางกล่าวมาถึงตอนนี้เด็กชายทำท่าเหมือนจะร้องไห้
“องค์หญิง กระหม่อมต้องไปเรียนหนังสือ จะออกเดินทางในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว คงไม่ได้อยู่ร่วมงานฉลองวันเกิดของพระองค์ กระหม่อมเลยซื้อของขวัญมามอบให้ล่วงหน้า กระหม่อมไม่รู้เลยว่าเมื่อไรจึงจะได้กลับมาที่เมืองหลวง”
พอได้ยินได้ฟัง ไม่ใช่แค่เสิ่นหยวนเชาเท่านั้นที่เศร้าซึม หลี่เฟิ่งหมิงตัวน้อยก็พานเศร้าไปด้วย
“แสดงว่าวันเกิดของข้าปีนี้จะไม่มีพี่หยวนใช่หรือไม่” ตั้งแต่จำความได้ ในวันเกิดของนางทุก ๆ ปีจะมีเขามาเล่นเป็นเพื่อน พอคิดว่าอีกหลายปีต่อจากนี้จะไม่ได้พบหน้าเขา เด็กหญิงรู้สึกเศร้าใจแปลก ๆ
“พ่ะย่ะค่ะ และที่กระหม่อมมาในวันนี้ก็ตั้งใจมาบอกลา”
“อ้อ...งั้นสินะ”
“แต่องค์หญิง หากทรงเห็นผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ก็เหมือนเห็นกระหม่อม ส่วนกระหม่อมก็จะจดจำพระองค์เอาไว้”
“ได้...” หลี่เฟิ่งหมิงดึงปิ่นปักผมลายใบบัวเล็ก ๆ น่ารัก ของนางออกมาจากศีรษะ “ถ้าเช่นนั้น หากพี่อาหยวนเห็นปิ่นเล่มนี้ก็เหมือนเห็นหน้าข้า ท่านเองก็จะได้ไม่ลืมข้า”
ล่ำลากันอยู่ครู่หนึ่งสัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายก่อนประตูวังจะปิดก็ดังขึ้น จึงจำใจแยกย้าย