บทที่ 7
ร่างบางชาวาบเมื่อได้ฟังเหตุผลของคนที่ตกลงแยกทางกันแล้ว แต่เขาดันวกกลับมาช่วยเธอให้รอดพ้นจากการตามล่าที่ไม่รู้ว่าคราวนี้จะถูกลากกลับไปต้มยำทำแกงที่ไหนอีก
เห็นทีว่าคืนนี้วันวิวาห์อาจจะต้องระหกระเหเร่ร่อนไปทั้งคืน เพื่อรักษาเนื้อรักษาตัวให้รอดพ้นจากอิทธิพลของคนที่แม้แต่บิดาก็ยังคอยอยู่คุ้มกะลาหัวให้ตนไม่ได้ยันเช้าแหงๆ ไม่อย่างนั้นคงได้โดนจับไปขายที่ไหนสักที่ หรือไม่ก็คงจะถูกจับไปประเคนให้ใครสักคน
เหอะ!
เจ้าของใบหน้าหวานละมุนแฝงความเย้ายวนอย่างหาดูได้ยากแค่นยิ้มเยาะเย้ยในโชคชะตาอันหฤโหดของตน ก่อนจะมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไป
"ขอบคุณนะคะ ที่คุณยอมช่วยเหลือฉันอีกครั้ง แต่ว่าคุณไม่ควรทำแบบนี้เลย" เธอบอก
"หมายความว่ายังไง"
คนตัวเล็กสั่นศีรษะไปมา เพราะเรื่องแบบนี้เธอไม่ควรเอามาเล่าให้คนแปลกหน้าฟังง่ายๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนแปลกหน้าที่พยายามจะช่วยชีวิตเธอไว้ก็เถอะ
"ฉันเล่าให้คุณฟังไม่ได้จริงๆ ค่ะ"
คิ้วหนาสีเข้มตัดกับผิวค่อนไปทางขาวจัดของเขาขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่นด้วยความไม่พอใจ แต่ถึงไม่พอใจอย่างไร คนตรงหน้าก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคามหรือคาดคั้นจะเอาคำตอบจากเธอให้ได้เหมือนในตอนแรกอีกแล้ว
"ช่างเถอะ คุณไม่ต้องบอกผมก็ได้ แต่เรื่องนี้คุณต้องบอกตำรวจ"
"นั่นก็ไม่ได้ค่ะ" วันวิวาห์ปฏิเสธทันควัน โดยไม่หยุดไตร่ตรองดูเลยแม้แต่น้อย เพราะนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอคิดจะทำ และแน่นอนว่าไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ต้องทำเพื่อผู้มีพระคุณต่างหากเล่า
"ทำไม คนที่ต้องการเอาชีวิตคุณมันเป็นใคร"
"ฉัน... บอกไม่ได้" หญิงสาวตอบเสียงแผ่วเบา ขณะที่ใบหน้าเล็กก้มลงต่ำจนปลายคางมนแทบจะติดกับอกรอมร่อ
"เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมากี่ครั้งแล้ว"
ไม่มีเสียงตอบรับจากคู่สนทนา จนคนที่รอฟังคำตอบชักอึดอัด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากกระฟัดกระเฟียดและทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในร้านปิ้งย่างเหมือนลูกค้าคนอื่นๆ ทั้งที่ตัวเองทั้งอิ่มทั้งจุกจนแทบจะขย้อนกับแกล้มที่กินเข้าไปเมื่อช่วงหัวค่ำออกมาได้อยู่แล้ว
"นั่งลงสิ จะยืนรอให้พวกมันมาเจอคุณ แล้วลากตัวไปหรือไง"
น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากของเขาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์แบบใด ทว่าวันวิวาห์ไม่มีทางโต้แย้งหรือปริปากต่อว่าคนตรงหน้าเป็นอันขาด
เฮ้อ...
ก็เขาอยู่ในฐานะผู้พระคุณอีกคนหนึ่งของเธอแล้วนี่ และที่สำคัญสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้เอื้ออำนวยให้เธอทำตัวเย่อหยิ่งดื้อแพ่งใส่เขาได้เสียด้วยสิ
"รับอะไรดีครับ"
เด็กหนุ่มเดินเข้ามาถามพร้อมสมุดโน้ตเล่มเล็กในมือ ทำให้คนที่อิ่มจนกระเพาะไม่มีที่ว่าง และคนที่หวาดระแวงจนไม่มีอารมณ์จะกินอะไรทั้งนั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่กคล้ายกำลังปรึกษากันทางสายตา
"เอาซุปร้อนๆ มาสองถ้วย น้ำเปล่าสองแก้ว" ปลาวาฬสั่ง
"ซุป? "
"เออ ซุป" เขาย้ำ
"แต่ว่าซุปนี่ทางร้านเรา..."
ดวงตาคมดุจ้องเขม็งและถามเสียงแข็ง "ไม่ขาย? "
"เอ่อ ขายครับ"
คนตัวโตพยักหน้าให้คู่สนทนาเพื่อตัดรำคาญ ก่อนจะโบกไม้โบกมือไล่ให้อีกฝ่ายรีบไปไกลๆ จนที่โทสะของเขาจะยิ่งคุกรุ่นไปมากกว่านี้
วันวิวาห์มองการกระทำของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันด้วยความงุนงงไม่ต่างจากเด็กหนุ่มเมื่อสักครู่ ก่อนที่เธอจะชี้ไปยังป้ายเมนูอาหาร แล้วบอกเขาด้วยเสียงอันเบาว่า
"อันที่จริงซุปเต้าหู้สาหร่ายนี่ ทางร้านเขาแจกฟรีนะคะ"
"แล้วตอนนี้คุณมีอารมณ์กินอะไรหรือไง" ร่างสูงย้อนถาม
และคำตอบก็เป็นไปตามคาด เมื่อคู่สนทนาสั่นศีรษะปฏิเสธ
"ถ้าไม่จ่ายเงินค่าซุป เดี๋ยวมันก็หาว่าเราเข้ามานั่งพักเสียเวลารับลูกค้าคนอื่นหรอก"
วันวิวาห์พึ่งเข้าใจการกระทำวางมาดนักเลงโตเมื่อสักครู่ของเขาก็คราวนี้ ในเมื่อไม่มีอารมณ์จะกินก็สั่งมาประดับโต๊ะไว้เฉยๆ แต่จะให้สั่งปิ้งย่างมาค้างให้เสียเปล่าก็ใช่เรื่อง ทำไมเธอถึงคิดเหตุผลข้อนี้ไม่ได้ตั้งแต่แรกกันนะ
ความเงียบที่แสนอึมครึมโรยตัวลงมาปกคลุมทั้งคู่เอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดออกมาจนกระทั่งซุปสองถ้วยกับน้ำเปล่าสองแก้วถูกยกมาวางที่โต๊ะ
ปลาวาฬควักธนบัตรสีเทาออกมายื่นให้เด็กหนุ่มเพื่อตัดปัญหา ก่อนจะยกซุปตรงหน้าขึ้นมาซดเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและกระชุ่มกระชวยจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ยังคงตกค้างอยู่
ดวงตาคมกวาดมองไปที่บริเวณหน้าร้าน ก่อนจะพบเข้ากับร่างของชายในชุดสูทสีดำที่ท่าทางมีพิรุธ อย่างน้อยการแต่งตัวของมันก็ไม่เข้าพวกล่ะนะ
"ก้ม" เขาบอก
"คะ? "
"ก้มลงไป"
วันวิวาห์งุนงงในคำสั่ง แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกคู่สนทนากดศีรษะของเธอให้ก้มลงไป จนหน้าแทบจะจุ่มลงในถ้วยซุปตรงหน้าอยู่แล้ว
"อย่าเงยหน้าขึ้นมา" เขาเตือน
แต่เมื่อเห็นว่าชายชุดดำตั้งท่าจะเดินเข้ามาภายในร้าน ปลาวาฬก็ตัดสินใจฉุดรั้งร่างบางให้ล้มลงบนพื้น ก่อนที่เขาจะฉุดกระชากลากถูเธอออกไปจากร้านผ่านทางช่องว่างระหว่างผ้าใบอย่างรวดเร็ว
คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวดบริเวณฝ่ามือและหัวเข่า แต่นั่นก็ไม่ได้สาหัสพอที่จะทำให้เธอเสียน้ำตาเหมือนกับผู้หญิงบอบบางคนอื่นๆ
"ยังวิ่งไหวใช่ไหม"
เสียงกระซิบถามจากคนที่พยายามฉุดกระชากข้อมือของเธอให้ออกแรงวิ่งไปด้วยกันดังขึ้น และวันวิวาห์ก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
"ค่ะ"
ร่างสูงของคนที่ไม่คุ้นเคยเส้นทางมาก่อนพาเธอวิ่งฝ่าฝูงชนจำนวนหนึ่งไปตามทางแนวยาว แต่ยังไม่วายเลี้ยวช่องนู่นออกช่องนี้ไปเรื่อยๆ และสุดท้ายก็มาจบที่ชายหาด
โชคดีที่ปลายทางของมันค่อนข้างครึกครื้นและเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
บ้างมานั่งรับลมริมทะเลยามค่ำคืน บ้างก็เป็นคู่รักที่มานั่งพลอดรักกันใต้แสงจันทร์อย่างไม่แคร์สายตาใคร
ปลาวาฬพาหญิงสาวที่เขาจับจูงให้วิ่งตามมาด้วยกันในระยะทางที่ไกลพอสมควรไปยังมุมที่มีแสงน้อยที่สุดบนหาด แต่มันก็ยังสว่างไม่เหมาะแก่การซ่อนตัวอยู่ดี
และในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังนั่งพักหายใจกันอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้กันมากนัก แต่มันก็ดังพอที่เธอจะได้ยิน
"คุณพจสั่งว่าต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา ก็ต้องลากตัวมาให้ได้"