บทที่ 3
เธอไม่รู้ว่า พ่อเป็นคนชนิดใดกันแน่ ที่พยายามจะทําให้เธอมีความรู้สึกว่าตัวเองได้กระทําในสิ่งที่ผิดพลาดอยู่ตลอดเวลา มาร่ายังจําได้ว่า แม่มีความรู้สึกเจ็บปวดชอกช้ำมากมายเพียงไร ไม่เข้าใจว่าตัวเองได้กระทําความผิดอะไร เขาจึงลงโทษด้วยการทิ้งเธอกับลูกไปอยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แม้มาร่าจะยืนยันว่าทั้งหมดนั้นมันมิใช่ความผิดของแม่เลย แต่แม่ก็ไม่ยอมฟัง ดังนั้นสิ่งที่เธอนึกตําหนิแม่อยู่ในใจก็คือ การที่แม่หลงรักพ่ออย่างงมงายไม่ลืมหูลืมตา และกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่ถ่ายเดียว
กระรอกตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไป ดูเหมือนมันกําลังมีธุระวุ่นวายอยู่กับการสะสมเสบียงอาหารไว้ ก่อนที่ฤดูหนาวอันแท้จริงจะผ่านเข้ามาถึง เหนือขึ้นไปบนกิ่งไม้ เธอทันมองเห็นปีกสีแดงของนกคาร์ดินัลที่โผผินบินอยู่ แต่ทว่า ชีวิตที่น่ารัก น่าทะนุถนอมเหล่านั้น มิได้เรียกความสนใจจากมาร่าในยามนี้เลยแม้แต่น้อย
เธอเดินมาหยุดที่ตู้ไปรษณีย์ ดึงประตูตู้ให้เปิดออก และหยิบจดหมายที่ทงอยู่ข้างในออกมา เหลือบตามองดูจ่าหน้าอย่างลวกๆ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นจดหมายที่มีผู้ส่งมาถึงพ่อทั้งสิ้น กับอีกบางฉบับที่เป็นบิลล์เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นเรื่องของเธอเอง น้อยนักที่มาร่าจะได้รับจดหมายส่วนตัวจากใครสักฉบับ
มันเป็นความจริงอยู่ประการหนึ่งว่า เธอมีเพื่อนน้อยมาก แต่มาร่าก็ไม่เคยรู้สึกว่า มันเป็นความเสียหายอะไรที่เธอจะไม่มีเพื่อนกับใครเขามากนัก โดยความเป็นจริงแล้ว เธอกลับจะรู้สึกเศร้าใจแทนสําหรับบุคคลที่ทําตัวเองให้ผูกพันอยู่กับคนอื่นอย่างมากเสียด้วยซ้ำ เธอพอใจที่จะอยู่คนเดียวตามลําพังมากกว่า ไม่ต้องการความช่วยเหลือของใครทั้งสิ้น และถือว่าใครก็ตามที่จะทำเช่นนั้นได้ คือผู้ที่มีพลังกายพลังใจที่จะควบคุมการดําเนินชีวิตของตนเองไว้
มันมีอะไรบางอย่างที่พัฒนาขึ้นมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อมาถึงวันนี้ ที่เธอมีอายุได้ 22 ปีแล้ว ส่วนหนึ่ง นั้นเกิดด้วยสิ่งและสภาพแวดล้อม การถูกเลี้ยงดูมาในชนบท โดยไม่มีเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงครอบครัวใดที่จะมีลูกอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ และกับการที่เธอเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่สาวน้องชายแต่อย่างใดทั้งสิ้น
กับอีก่วนหนึ่งนั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นในชีวิต เพื่อนฝูงที่เรียนหนังสือมาด้วยกัน ต่างก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเธออยู่ไม่น้อย ที่จู่ๆ พ่อก็ทอดทิ้งทั้งแม่และเธอไป แต่ทว่าไม่มีใครที่จะเข้าใจในความรู้สึกที่ว่า ตนเองถูกทรยศหักหลังอย่างรุนแรงจากผู้เป็นพ่อ
การที่เขาทอดทิ้งครอบครัวไปอยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่สาวกว่า สวยกว่าแม่ มิใช่เรื่องที่จะปกปิดเป็นความลับไว้ ได้ง่าย ๆ ใคร ๆ ก็รู้ว่าอดัม เพรนทิส นั้น เป็นนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในเกตตี้สเบิร์ก ใคร ๆ ในชนบทแห่งนี้ ต่างก็รู้เห็นกันอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเกิดขึ้นเพราะเหตุใด
ตอนที่แม่ล้มป่วยลงนั้น มาร่าเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยได้เพียงแค่เดือนเดียว ซึ่งทําให้เธอต้องลาออก และอยู่กับบ้านเพื่อดูแลพยาบาลแม่ จนกระทั่งแม่เสียชีวิตลง ภายหลังจากนั้นอีก 6 สัปดาห์ต่อมา ต่อมาก็ต้องมีการจัดการเกี่ยวกับพิธีฝังศพ และการโอนทรัพย์สินมรดกต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์
และอีก 2 ปีต่อมา พ่อก็ได้รับอุบัติเหตุอันรุนแรง จนกระทั่งร่างกายพิการเป็นอัมพาต ไม่สามารถไปไหนมาไหน หรือช่วยตัวเองได้มากนัก ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนี้ ทําให้มาร่าตัดสินใจที่จะพึ่งพาแต่เฉพาะตัวเองโดยไม่รู้ตัวเลย
เธอปิดตู้ไปรษณีย์ลง และเดินย้อนกลับไปยังบ้านไร่ที่ก่อสร้างขึ้นด้วยศิลาแดงทั้งหลังนั้นอีกครั้ง แต่พอเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็เห็นรถยนต์คันหนึ่งขับเข้ามาตามทางเข้าส่วนตัว เมื่อเข้ามาใกล้ก็ชะลอความเร็วลง พร้อมกับเสียงแตรที่ดังขึ้น เธอจำคนขับได้ว่า เขาคือฮาร์ฟ เบนเนตท์ นั่นเอง
“ผมมีข่าวดีมาบอกคุณ” เขาร้องบอกออกมาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ พร้อมกับเลี้ยวรถเข้ามาหา
มาร่าเขมันมองหน้าเขาอยู่ ก่อนที่จะออกเดินต่อไปยังตัวบ้าน เธอรู้ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับบ้านหลังเล็กที่อยู่ตรงสุดปลายที่ดิน ฮาร์ฟ เบนเนตท์ เป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับบ้านและที่ดินที่มาร่าบังเอิญได้รู้จักกับเขา ตอนที่มีเรื่องการโอนที่ดินมรดกของแม่มาเป็นของเธอนั่นเอง
ครั้งหนึ่งบ้านเล็กหลังนั้น เคยทําให้ครอบครัวมีรายได้จากการให้เช่ามาแล้ว ภายหลังจากที่พ่อได้จากไป บ้านหลังนั้นก็ถูกทิ้งไว้ มิได้รับการดูแลเท่าที่ควร และในที่สุด ก็ทรุดโทรมลง จนเกินกว่าที่จะบอกให้เช่าอีกได้
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง ฮาร์ฟได้พยายามพูดจาเกลี้ยกล่อมให้มาร่าได้เห็นในคุณค่าของมัน และลงมือซ่อมแซมให้สภาพเดิมกลับคืนมา การที่มาร่ายอมตกลงทําตามคําแนะนําของเขานั้น ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการที่อดัมแสดงความไม่เห็นด้วย ทั้งนี้เพราะเขาไม่แน่ใจว่า เมื่อซ่อมแซมขึ้นมาใหม่แล้ว ค่าเช่าที่จะได้รับนั้นจะคุ้มกับที่ลงทุนไปหรือไม่ เพราะมันเป็นเพียงบ้านหลังเล็กๆที่มีห้องนอนเพียงแค่ห้องเดียว
งานหลักของการซ่อมแซมนั้น ได้สําเร็จเรียบร้อยลงเมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง แต่มาร่าก็เริ่มลงมือตกแต่งเสียใหม่ให้น่าอยู่ ในขณะเดียวกันฮาร์ฟกช่วยเหลือ ด้วยการประกาศหาผู้เช่าให้ มาร่านั้นมิได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่เธอจะต้องแต่งบ้านหลังนั้นอย่างเร่งรีบ เธออยากจะให้เป็นไปในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า แต่เมื่อมองดูใบหน้าที่เกลื่อนด้วยรอยยิ้มกว้างนั้น มาร่าก็ชักจะสังหรณ์ใจว่า หรือเธอจะคาดการณ์ผิดไปแล้ว
“เฮลโล ฮาร์ฟ” เธอยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ “เห็นบอกว่ามีข่าวดี คงจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านหลังเล็กนั่นใช่ไหม”
เธอเดินผ่านหน้าเขา ไปเปิดประตูบ้านด้านหน้าออก พร้อมกับเดินนําเข้าไปในตัวบ้านก่อน ด้วยรู้อยู่ว่า ถึงอย่างไรฮาร์ฟก็จะต้องเดินตามมา ซึ่งเขาก็ทําเช่นนั้นจริงๆ
“ใช่ ก็เรื่องบ้านหลังเล็กนั่นแหละ” เขาตอบ “วันนี้ผมได้รับโทรศัพท์จากผู้ชายคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขามีความสนใจเรื่องบ้านหลังนั้นมาก”
ห้องโถงกว้างภายในตัวบ้านถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ตรงมุมปลายห้องมีบันไดรูปตัวแอลทอดขึ้นสู่ชั้นบน ประตู ไม้โอ๊คแบบบานเลื่อนเปิดเข้าไปสู่ห้องทํางาน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องนั่งเล่นมาก่อนเปิดอ้าอยู่ พื้นบ้านที่ปูด้วยไม้เนื้อแข็งถูกเช็ดถูจนเป็นมันระยับและมีพรมสั้นปูอยู่ในบางส่วน
จากภายในห้องทํางานนั้นเอง ที่เธอได้ยินเสียงผู้เป็นบิดาร้องถามออกมาว่า
“มีจดหมายถึงพ่อบ้างหรือเปล่าล่ะ มาร่า”
“มีค่ะ” เธอแยกจดหมายที่มีจ่าหน้าถึงบิดาออกจากฉบับอื่น และหันไปพูดกับฮาร์ฟว่า “รอเดี๋ยวนะ” จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องทํางาน
“เอ้า...จดหมาย เธอวางมันลงบนโต๊ะทํางานตัวเล็กที่มีล้อเลื่อนของอดัมตั้งอยู่เบื้องหลัง
ผู้เป็นบิดามองเลยร่างเธอไปยังบุรุษที่ยืนอยู่กลางห้องโถงภายนอก
“เฮลโล ฮาร์ฟ ธุรกิจเป็นไงบ้างล่ะ” เขาทักทายด้วยน้ำเสียงสนิทสนม
“ก็พอไปได้ครับ เพิ่งขายบ้านได้ 2-3 หลัง” เขาตอบตามมารยาท “คุณล่ะครับเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดี...ขอบใจ” เขาตอบเพียงเท่านั้น และลงมือเปิดจดหมายออกอ่าน
เมื่อมาร่าเดินออกมาหาฮาร์ฟอีกครั้งนั้น เธอปล่อยให้สายตาสํารวจใบหน้าของเขาอยู่ แม้ฮาร์ฟจะอายุอยู่ในวัย 30 แล้ว แต่ใบหน้าก็ยังดูอ่อนเหมือนเด็กหนุ่ม แต่ก็สามารถที่จะดําเนินธุรกิจส่วนตัวของตนไปได้
“เราเข้าไปคุยกันในครัวดีไหม” มาร่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ ไม่ว่าฮาร์ฟจะมาคุยกับเธอด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ย่อมไม่ใช่ธุรกิจที่อดัมจะต้องมารับรู้ด้วยทั้งสิ้น และเธอก็ไม่ต้องการให้เขามารับรู้เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจที่เธอกําลัง จะทําด้วย
“ดีสิ ผมจะได้ขอกินกาแฟสักถ้วยถ้าคุณพอมีเหลืออยู่” เขาพูดอย่างเป็นกันเอง
“ดูเหมือนจะมีอยู่นะ เพราะฉันชงไว้เผื่อหลังอาหารกลางวันด้วย” เธอตอบตามตรง รู้สึกนึกขันกับการที่เขา พยายามจะสร้างความเป็นกันเองมากกว่าจะไม่พอใจ