บทที่ 2
เมื่อน้ำเสียงที่บอกถึงความต้องการที่จะต่อสู้ของผู้เป็นบิดาเลือนหายไป ความโกรธของมาร่าก็น้อยลงเช่นกัน สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความเย็นชาซึ่งมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้สีหน้าของเธอราวกับสวมไว้ด้วยหน้ากาก และประสาททุกส่วนในเรือนกายก็พลอยแข็งขืนไปด้วย เธอเดินตรงไปยังเตาอบ ซึ่งขณะนี้หน้าขนมพายเริ่มเป็นสีทองแล้ว
“ถ้าที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้น หวังเพียงเพื่อที่จะให้ฉันเห็นใจละก้อ” มาร่าใช้ที่จับเลื่อนถาดขนมออกจากเตาอบ วางลงตะแกรงลวด “ฉันว่าคุณเสียเวลาเปล่า”
“เปล่าเลย พอเพียงแต่ใช้ความพยายามที่จะเข้าใจในตัวลูกเท่านั้น” อดัมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “พ่อถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ทําไมพ่อถึงต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ลูกก็ไปพบกับหมอ แล้วก็บอกกับพวกเขาว่าลูกจะพาพ่อมาอยู่ที่นี่ และจะเป็นผู้ดูแลพ่อเอง ในตอนนั้น พ่อคิดเอาเองว่าลูกคงยกโทษให้พ่อแล้ว แต่
จริงๆ แล้วลูกไม่เคยยอมให้อภัยพ่อเลย ก็ยังเรียกพ่อว่าคุณอยู่นั่นเอง แล้วทําไมพ่อจะต้องทนอยู่ที่นต่อไปด้วยเล่า”
“ฉันไม่เหมือนคุณนี่” มาร่าตอบ “ทุกสิ่งที่ฉันทําลงไป ก็เพราะฉันสํานึกในความเป็นลูก สํานึกถึงข้อผูกมัด ที่เรามีอยู่ต่อกัน ไม่ว่าฉันจะมีความรู้สึกต่อคุณยังไงก็ตาม คุณก็ยังเป็นพ่อของฉันอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นมันก็เป็นหน้าที่ที่ฉันจะต้องดูแลคุณ”
“ซึ่งก็เพราะเหตุผลอันนั้นที่ทําให้พ่อได้มาอยู่ที่นี่ เพราะลูกเห็นว่ามันเป็นหน้าที่นั่นเอง” เขามองลูกสาวอย่างใช้ความคิด “แล้วลูกแน่ใจหรือว่า พ่อไม่ได้เข้ามาเป็นตัวขัดขวางความสุข กลายเป็นข้ออ้างที่ทําให้ลูกไม่ได้ออกไปดูโลกภายนอก”
รอยยิ้มขื่นๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปาก
“การดูแลคุณ เป็นหน้าที่ซึ่งฉันจะต้องรับผิดชอบ แต่ฉันก็รู้ว่าคุณต้องไม่เข้าใจในเรื่องอย่างนี้หรอก เพราะคุณไม่เคยรู้ความหมายของคําคํานี้”
“พ่อว่าลูกออกจะเป็นคนที่มองอะไรในแง่ร้ายมากเกินไปสักหน่อยนะ มาร่า” อดัม เพรนทิส พูดด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “จนกระทั่งบางครั้งพ่อก็อยากจะมองเข้าไปให้เห็นถึงในจิตใจอยู่เหมือนกันว่าลูกกําลังคิดอะไรอยู่” เขาหยุดเว้นระยะไปเป็นครู่ก่อนที่จะพูดต่อว่า “พ่ออยากจะให้ลูกยอมรับเสียทีว่าตัวเองมีเพื่อนน้อยมาก เวลาที่ใครเขามาชวนลูกออกไปเที่ยวเตร่ลูกมักจะปฏิเสธ ด้วยการอ้างว่า ลูกจะต้องคอยดูแลพ่อ ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะติดต่อมาหาอีกเลย”
“แต่ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่” มาร่ายักไหล่อย่างไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไรเลย
“พ่อคิดว่า เมื่อตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกก็ไม่ใคร่ได้ออกไปไหนเหมือนกันไม่ใช่หรือ ลูกใช้เวลาอยู่กับแม่เสียเป็นส่วนใหญ่” แววในดวงตาของเขาเข้มขึ้น
“ก็...ภายหลังจากที่คุณทิ้งแม่ฉันไปแล้ว แม่ก็เหงามาก” น้ำเสียงกระด้างนั้นแฝงอยู่ด้วยการเหน็บแนม “เพราะฉะนั้น แม่ก็ย่อมต้องการที่จะได้ฉันอยู่เป็นเพื่อน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า ลูกใช้แม่เป็นข้ออ้าง เหมือนเวลานี้ที่ลูกกําลังใช้พ่อเป็นข้ออ้างอยู่นั่นเอง” เขาตําหนิเธอ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ลูกพยายามที่จะแสดงให้เราเห็นว่าลูกเป็นคนที่มีความเป็นคนใจบุญ รู้จักกตัญญูคอยดูแลพ่อแม่ แต่ขณะเดียวกันก็ดูถูกว่า ทั้งนี้เพราะมันเนื่องมาจากการที่เราไร้ความสามารถนั่นเอง มาร่า พ่อขอถามจริงๆ เถอะ ว่า ลูกกําลังกลัวอะไรอยู่ ลูกกลัวหรือว่า ถ้าตัวเองก้าวลงมาจากแท่นนั้นแล้ว จะได้พบว่า ลูกเองก็มิได้มีความสามารถ หรือเก่งกาจมากไปกว่าเราเลย”
“คุณอยากจะเชื่อว่ามันควรจะเป็นยังไงก็ตามใจคุณ ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะคิดยังไง” รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น บอกความจองหอง ไว้ตัวยิ่งนัก เมื่อพูดจบเธอก็หันหลังให้เขา เดินตรงไปยังราวที่ใช้แขวนเสื้อคลุม ปลดเสื้อคลุมลายทางจากตะขอเหล็กลงมาสวม “ฉันจะออกไปดูสิว่า บุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายมาส่งให้บ้างหรือเปล่า”
“ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยมันก็เป็นข้ออ้างที่ดีสําหรับที่จะหนีหน้าไปเสียให้พ้นจากการพูดจากันถึงเรื่องอย่างนี้” อดัมกล่าวอย่างรู้เท่าทันในความคิดของลูกสาว “แต่อย่างไรก็ตาม พ่ออยากจะบอกว่า มันเป็นวิธีการปิดกั้นตัวเองที่ไม่ได้ผลหรอก”
ในตอนแรกเธอทําท่าเหมือนจะไม่โต้ตอบอะไรออกมาทั้งสิ้น แต่แล้ว เธอก็หยุดอยู่ตรงประตู พร้อมกับหัน หน้ามามองเขา
“ทั้งหมดที่คุณพูดมา ก็เป็นเพียงแค่การที่จะหาเหตุผลมากลบเกลื่อนความละอายใจที่เกิดขึ้นจากการกระทําของตัวคุณเองเท่านั้นละนะ อดัม” เธอใช้สายตาพิจารณาบุรุษผู้นั่งอยู่ในเก้าอี้ล้อเลื่อนเป็นครู่ ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า “คุณรู้อยู่แก่ใจว่า ตัวเองนั้นจําเป็นที่จะต้องมีใครสักคนหนึ่งคอยช่วยดูแล แต่คุณก็ยังพอใจที่จะแกล้งทําเป็นว่า การที่ฉันทําอะไรทุกสิ่งทุกอย่างลงไปเพื่อคุณนี้ เป็นเพราะว่าฉันมีเหตุผลอื่น และการที่คุณจําเป็นจะต้องคิดอย่างนั้น ก็เพราะว่ามันทําให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้นนั่นเอง
“โธ่เอ๊ย...มาร่า” เขาส่ายศีรษะเศร้าๆ
สายตาของเธอละจากร่างเขาและกวาดไปทั่วห้องครัวเก่าแก่ที่มีบรรยากาศแสนสบายนั้น ตู้เก็บของและหิ้งที่ใช้วางเครื่องมือชิ้นเล็กชิ้นน้อยอันเป็นอุปกรณ์สําหรับห้องครัว ทําขึ้นจากไม้โอ๊คที่มีอายุกว่าร้อยปี แต่กาลเวลาที่ผ่านไป มิได้ทําให้เนื้อไม้เสื่อมความงามลงได้ ผนังห้องปิดทับไว้ด้วยวอลล์เปเปอร์พื้นเหลืองลายขาว เพื่อให้เข้ากับม่านที่ติดอยู่ตรงหน้าต่าง
ตรงกลางห้อง คือโต๊ะที่ต่อขึ้นจากไม้โอ๊คกับเก้าอี้พนักสูง มีผ้าปูสีเหลืองสว่างปูทับอยู่ข้างบน ตรงกลางโต๊ะมีตะกร้าหวายใบเล็กใส่แอปเปิ้ลสีแดงกับส้มสีทองตั้งอยู่ ส่วนพื้นห้องนั้นปูด้วยกระเบื้องยาง สลับสีต่าง ๆ ทั้งแดง เหลืองและเขียว
“ฉันรู้ ว่ามันเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจคุณอย่างยิ่ง ที่บ้านนี้เป็นบ้านของฉัน” มาร่าเอ่บขึ้นอีก “การที่คุณเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ ก็ด้วยความอนุเคราะห์ของฉันเท่านั้น การที่คุณรู้อยู่แก่ใจ ว่าตัวเองได้ทอดทิ้งเราสองแม่ลูกมามากเพียงไร มันย่อมทําให้คุณรู้สึกอึดอัดใจอย่างมากที่จะต้องมาพึ่งพาอาศัยฉันอยู่ในเวลานี้ แต่อดัม...ฉันว่าคุณยังโชคดีอยู่มากนะ เพราะคุณก็รู้ว่า ที่นี่เป็นบ้านที่คุณจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบาย และยังสามารถทํางานส่วนตัวต่อไปได้อีกด้วย รวมทั้งคุณมิได้มีฉันที่ทําหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้คุณ ทั้งในฐานะนางพยาบาลกับแม่บ้านเท่านั้น แต่ฉันยังช่วยคุณพิมพ์งาน แล้วก็ทำงานด้านวิเคราะห์ข้อมูลอีกด้วย ก็แล้วทำไมคุณไม่คิดถึงเรื่องอย่างนี้บ้างล่ะ จะต้องมานั่งคอยจับผิดฉัน ในขณะที่ฉันกําลังทําหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดีอยู่ทําไม”
ผู้เป็นบิดานั่งนิ่งเงียบมิได้ตอบโต้แต่ประการใดออก มา มาร่าจึงเปิดประตูมุ่งลวดออก
“อย่าให้ลมแรงข้างนอก มันพัดพาสติปัญญาของลูกไปเสียทั้งหมดล่ะ” เสียงอดัมพูดตามหลัง
มาร่าเม้มริมฝีปากแน่น ขณะที่เปิดประตูกระจกที่ปิดทับประตูมังลวดไว้อีกชั้นหนึ่งออก เมื่อปิดประตูชั้นในลงแล้วจึงได้ก้าวเดินออกไปข้างนอก
โดยรอบตัวบ้านนั้น เป็นทางเดินเล็ก ๆ ที่ปูไว้ด้วยอิฐสีแดงตรงไปยังประตูรั้วอันเป็นทางเข้าด้านหน้า ซึ่งถนนด้านนอกนั้นเป็นเส้นทางโรยด้วยกรวด ในอากาศเต็มไปด้วยความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ร่วงอันเป็นวันในเดือนกันยายน ขณะนี้ ใบไม้เริ่มร่วงหล่นลงบนพรมหญ้าสีเขียวแล้ว แม้ว่าอากาศจะยังไม่หนาวจัดเท่าไรนักก็ตาม ต้นไม้ส่วนใหญ่ยังมีใบสีเขียวขจีปกคลุมอยู่ แต่อีกไม่ช้ามันก็จะถูกแต่งตัวใหม่ด้วยสีเหลือง แดงเข้ม และสีน้ำตาล และเมื่อถึงเวลานั้น ท้องถิ่นแห่งรัฐเพนซิลวาเนีย ที่อยู่รอบนอกของเมืองเกตตี้สเบิร์กก็จะเปลี่ยนสีสันไปตามฤดูกาล
มาร่าซุกมือทั้งสองลงไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุม เดินเรื่อยๆ ไปตามทางเดินเส้นนั้น อาการเชิดศีรษะเดินตัวตรง นั้นเป็นไปตามธรรมชาติก็จริง แต่ภายหลังจากที่ได้มีพ่อเข้ามาอยู่ร่วมบ้านด้วย ดูเหมือนใบหน้านั้นจะเชิดมากขึ้น
ความชิงชังและหมดความนับถือในตัวบิดานั้น เป็นพลังที่มีอิทธิพลอย่างรุนแรง ซึ่งทําให้เธอมีความคิดว่า ในชีวิตนี้เธอไม่มีวันที่จะให้อภัยเขาได้อย่างแน่นอน และเมื่อใดที่อารมณ์เช่นนั้นบังเกิดขึ้น มาร่าก็จะร้อนผ่าวไปทั้งเนื้อทั้งตัว