บทที่3
หลายวันต่อมา..
วารีเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งเอนกายบนโซฟาในห้องพักผู้ป่วยด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ห้าวันมานี้เธอแทบไม่ได้พักเลยเพราะทำงานตลอด กลางวันรับงานเอนพอตกกลางคืนก็รับงานนั่งดริ้งดื่มเป็นเพื่อนลูกค้าเพื่อหาเงินให้ได้เร็วที่สุด ทว่าถึงแม้จะทำงานอย่างหนักหน่วงจนแทบไม่มีเวลาพักก็ยังได้เงินไม่ครบตามจำนวนอยู่ดี งานเอนที่เธอรับกับงานนั่งดริ้งเป็นแบบธรรมดาไม่ได้ขึ้นเตียงหรือแตะเนื้อต้องตัวแต่ละครั้งจึงได้ค่าตอบแทนแค่ 15,000 -20,000 บาท ตอนนี้รวม ๆ กันแล้วก็ได้ประมาณ 100,000 กว่าบาท บวกกับเงินเก็บในบัญชี 200,000 ก็ได้แค่ 300,000 กว่าบาทซึ่งมันก็ยังไม่พออยู่ดีไม่รู้ว่าต้องทำงานแบบนี้อีกกี่ครั้งถึงจะครบ
“อึก” เธอยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ยอมรับว่าตอนนี้ทั้งท้อทั้งเหนื่อยกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่แต่กระนั้นก็ไม่คิดถอยเพราะคำว่าลูกคำเดียวที่ทำให้เธอยืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรคมาได้จนถึงตอนนี้ ลูกคือสิ่งสำคัญและกำลังใจเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่
เธอกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็กเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าพ่อแม่สักครั้งต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว และขาดความอบอุ่นมาตลอดจนกระทั่งได้เจอกับพ่อของลูกที่เข้ามาเติมเต็ม ทว่าความสุขมันช่างแสนสั้นเธอคบหาเป็นแฟนอยู่กินกับเขาได้เพียงห้ากว่า ๆ ก็มีเรื่องทำให้ต้องแยกจากกันทั้งที่ยังรักสุดหัวใจ
“คุณแม่คะ” ขณะที่เธอกำลังปิดหน้าร้องไห้เสียงแหบพร่าของบุตรสาวที่นอนอยู่บนเตียงก็ดังขึ้น เธอรีบใช้มือเช็ดน้ำตาจนแห้งปรับสีหน้าให้สดใสที่สุด แล้วลุกเดินไปยืนข้างเตียง
“ว่าไงคะคนเก่งของแม่” ใบหน้าเรียวฝืนระบายยิ้มหวานให้บุตรสาวบาง ๆ ยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กทุยด้วยความรักใคร่
“หนูอยากกลับบ้านค่ะคุณแม่”
"หนูยังไม่หายดียังกลับไม่ได้ค่ะ"
"หนูจะกลับบ้าน หนูไม่อยากอยู่โรงพยาบาลค่ะคุณแม่" เด็กน้อยเริ่มออกอาการงอแงสีเท้าไปมาเมื่อไม่เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ
"ไม่ดื้อสิคะน้องปริม หนูหายดีเมื่อไรแม่จะพากลับบ้านทันที" วารีรีบโอบกอดบุตรสาวไว้พลางใช้มือลูบศีรษะเล็กทุยเชิงปลอบประโลม เด็กน้อยหยุดงอแงทันทีเงยหน้าขึ้นมองมารดาตาปริบ ๆ "จริง ๆ นะคะ"
"จริงค่ะ แต่หนูต้องไม่ดื้อไม่งอแงทำตามคุณหมอทุกอย่างนะคะ"
"ค่ะ" เด็กน้อยยอมสงบลงซบหน้ากับอกผู้เป็นแม่สวมกอดลำตัวไว้แน่น วารีก็ลูบศีรษะเล็กทุยปลอบประโลมอยู่อย่างนั้น
“แฮ่ก ๆ ฮึก”
“ปริม ๆ หนูเป็นอะไรลูก ปริม” ทว่าเธอก็ต้องร้องเรียกบุตรสาวด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ บุตรสาวก็อ้าปากหอบหายใจพะงาบจนตัวสั่นไหว ตาเหลือกขึ้นบนจนน่ากลัวหัวใจของคนเป็นแม่แทบจะขาดร่อน ๆ ทั้งกลัวทั้งตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปล่อยโฮออกมาด้วยความหวาดกลัวจับใจมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูกไปหมด
“ใจเย็น ๆ ปริม” เธอพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกเรียกสติตัวเองซ้ำ ๆ ก่อนรีบเอื้อมมือกดปุ่มบนหัวเตียงเรียกพยาบาล เพียงไม่นานหมอเจ้าของไข้และพยาบาลสองคนก็วิ่งกรูเข้ามาในห้อง
“ช่วยด้วยค่ะคุณหมอจู่ ๆ น้องก็หอบหายใจแรงเป็นแบบที่เห็นค่ะ” เธอรีบบอกหมอปากคอสั่นพร้อมกับวางบุตรสาวลงบนเตียงถอยออกมายืนห่าง ๆ หลีกทางให้หมอกับพยาบาลได้ดูอาการบุตรสาว มือเรียวทั้งสองข้างกอบกุมเข้าหากันแน่นจับจ้องการทำงานของหมอและพยาบาลไม่วางตาพลางภาวนาในใจขอให้บุตรสาวปลอดภัยไม่เป็นอะไรร้ายแรง
“น้องมีภาวะแทรกซ้อนต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจอย่างเร่งด่วน คุณแม่จะยินยอมไหมครับ” แต่เหมือนคำขอร้องอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเธอไม่สัมฤทธิ์ผล หัวใจของคนเป็นแม่หล่นวูบลงสู่ตาตุ่มเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวจากหมอ พยายามตั้งสติไม่ให้ตัวเองสติแตก รีบพยักหน้ารับโดยไม่คิดไตร่ตรองสักนิด “ยินยอมค่ะ หมอรักษาได้เต็มที่เลยนะคะ”
“งั้นคุณแม่ช่วยตามไปเซ็นเอกสารยินยอมด้วยนะครับ” เมื่อได้รับความยินยอมหมอวัยกลางคนก็เรียกบุรุษพยาบาลมาเคลื่อนย้ายเด็กน้อยไปทันที วารีเดินตามเปลที่ใช้เคลื่อนย้ายบุตรสาวไม่ห่างจนมาถึงห้องผ่าตัด ยืนมองบุตรสาวถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดจนประตูปิดลงจึงเดินมานั่งบนเก้าอี้หน้าห้องผ้าตัด ก้มลงใช้มือปิดหน้าร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
รู้สึกกลัวจับใจกลัวว่าจะเกิดปัญหาระหว่างการผ่าตัด กลัวว่าบุตรสาวจะเป็นอะไรไป กลัวไปหมดทุกอย่างตอนนี้เธอไม่สนไม่แคร์เรื่องค่ารักษาแล้วต่อให้แพงแค่ไหนก็ยอมจ่ายขอเพียงบุตรสาวปลอดภัย และกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กในวัยเดียวกัน
เธอนั่งปิดหน้าร้องไห้อยู่อย่างนั้นเนินนานหลายนาที ก่อนพยายามข่มก้อนสะอื้นใช้มือปาดน้ำตาออกลวก ๆ เชิดหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดพรืดใหญ่เรียกแรงฮึดสู้ให้ตัวเองเพราะเธอเป็นที่พึ่งเดียวของบุตรสาวจะมานั่งอ่อนแอไม่ได้ และเชื่อว่าสวรรค์คงไม่ใจร้ายกับเธอซ้ำ ๆ โดยการพรากคนที่รักไปจากเธออีกคน
นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองก้มมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือสลับกับประตูห้องผ่าตัดเป็นระยะ ๆ ด้วยใจที่ทรมาน แต่ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนในห้องผ่าตัดจะออกมาสักที ด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานหลายวันทำให้เปลือกตาบางค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ จนสนิทในที่สุด
“คุณคะ ๆ” ไม่รู้ว่าวารีนั่งหลับไปนั่งแค่ไหน เธอค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นข้างหู เธอผลุนผลันลุกขึ้นยืนพลางใช้มือขยี้ตาไล่อาการตาพร่าเบลอ เมื่อนึกขึ้นได้ก็รีบเอ่ยถามพยาบาลที่เป็นคนปลุกเธอด้วยความร้อนรนใจ “ลูกดิฉันผ่าตัดเสร็จหรือยังคะ เด็กหญิงปราณรวีน่ะค่ะ”
“อ่อ” พยาบาลสาวทำท่าคิดชั่วครู่ก่อนตอบ “ผ่าตัดเสร็จแล้วค่ะ ตอนนี้หมอให้น้องอยู่ในห้องไอซียูรอดูอาการอย่างใกล้ชิด คุณแม่กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ สองสามวันนี้หมอห้ามเยี่ยมกลัวว่าแผลผ่าตัดน้องจะติดเชื้อ..ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะทางเราจะดูแลอย่างดี”
“ค่ะ” วารีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่การผ่าตัดของบุตรสาวผ่านไปได้ด้วยดี ทว่าความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายกลับประเดประดังเข้ามาแทนที่ เงินตั้ง 800,000-900,000 จะไปหาที่ไหนได้ทันในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ เธอทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งในสมองหนักอึ้งไปหมดคิดไม่ตกว่าจะหาเงินจากที่ไหน ก่อนความคิดบางอย่างจะแวบเข้ามาในสมอง นั่นก็คืองานเอนแบบวีจบที่เตียง ไวน์เคยบอกว่าได้ค่าจ้างสูงถึง 60,000-200,000 หากเจอลูกค้าใจป๋ากระเป๋าหนักก็ได้เยอะกว่าที่กล่าวมา
แต่นั่นหมายถึงเธอต้องขายศักดิ์ศรีตัวเองและมีอะไรกับคนแปลกหน้าซึ้งเธอไม่อยากทำเลยจริง ๆ แล้วจะพอมีทางไหนบ้างที่ทำให้เธอหาเงินจำนวนมากได้ในเวลาเพียงสั้น ๆ โดยไม่ต้องขายตัวแลกเงิน