ตอนที่ 4 ความคิดถึง
"เฮ้ย มึงจะกินไหมข้าว" ธารทัพเพื่อนชายคนสนิทของชนินธร ลูกชายคนเดียวของนักการเมืองชื่อดัง ทว่ากลับมาเอาดีด้านอาหารทำธุรกิจส่งออกสินค้าอบแห้งและมีร้านอาหารที่คิดสูตรขึ้นมาเองทั้งยังขยับขยายไปหลายสาขาทั่วประเทศไทย เป็นอีกวันที่ประธานหนุ่มอย่างชนินธรเลือกมานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่นี่ร้านอาหาร ธารธารา ร้านอาหารวิวด้านข้างเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาทอดสายสวยงาม อีกทั้งขึ้นชื่อว่าเป็นร้านอาหารที่มีสูตรแปลกใหม่และจดทะเบียนเป็นลิขสิทธิ์ของตัวเองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
"....." ไม่สนใจเสียงทักท้วง ยังนั่งมองจอมือถือ นิ้วหัวแม่มือขนาดใหญ่กดลงจอทัชสกรีนเลื่อนไถ่ฟีดแอปพลิเคชั่นดูอินสตาแกรมในแอคเคาน์ที่ชื่อว่า sweet_eye แม้มันจะเป็นอินสตาแกรมร้างไม่อัพเดตมาหลายปีก็ยังมีรูปของเจ้าของพื้นที่นี่อยู่ ธารทัพชะเง้อคอมองเมื่อเรียกเพื่อนกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่ยอมตอบ
"มึงส่องใครชนิน"
"เปล่า" ปัดออกแล้ววางมือถือไว้บนโต๊ะหันมาสนใจอาหารตรงหน้า มันเป็นเมนูแปลกตาไม่เคยเห็นมาก่อน ปลาทับทิมทอดเป็นชิ้นขนาดพอดีคำมีผักที่คล้ายประเภทสมุนไพรอยู่ในน้ำยำ คล้ายปลาลุยสวนแต่มันก็ไม่ใช่
"มึงลองชิม เมนูใหม่สูตรใหม่" ธารทัพตั้งใจเสนอกอาหารตรงหน้าแก่เพื่อนรัก อีกทั้งชนินธรน่าจะเป็นคนแรกที่ได้ลองชิมแบบจริงจังก็ว่าได้
"กินแล้วไม่ตายนะเว้ย"
"ถ้าตายกูจะเป็นเจ้าภาพงานศพมึงเอง"
"ไอ้เหี้ย" ปาตะเกียบกะจะให้มันเข้ากลางศีรษะไอ้คนปากไม่ดี แต่ธารทัพกลับหลบทันแล้วไปโดนลูกน้องผู้ชายที่กำลังเช็ดโต๊ะและเข้าใจว่าเป็นการหยอกล้อของเจ้านายและเพื่อสนิท เสร็จจากงานหรือธุระต่างๆ ชนินธรมักเอาตัวเองมาผ่อนคลายที่ร้านอาหารของเพื่อนทั้งด้านหลังก็เป็นบ้านพักของธารทัพ ชนินธรจะมาอาศัยนอนตอนไหนก็ได้ราวกับเป็นบ้านอีกหลัง
"หลังจากนี้กูคงไม่ได้มาหามึงบ่อยๆ" เอ่ยบอกเพื่อนชายและหยิบบุหรี่มาสูบตามปกติ
"ทำไม มึงติดผู้หญิงที่ไหน"
"ติดเหี้ยอะไรของมึงอีก กูไปทำงาน" เป็นปกติที่ทั้งสองจะใช้คำหยาบสนทนากันเพราะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก จะแยกกันก็ตอนโตเรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่งสนใจเรื่องอาหารส่วนอีกคนถูกบังคับให้เรียนบริหาร แม้ลึกๆจะไม่ได้ชอบการทำธุรกิจ แต่ชนินธรคือลูกชายคนเดียวของนักขัตปรารถเป็นธรรมดาที่พ่อกับแม่จะคาดหวังเพราะธุรกิจทุกอย่างลูกชายต้องเข้ามาดูแล ทว่าก็มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่ชนินธรไม่เอาไหนไม่เอาอะไรกับชีวิต
"งานนี้ใหญ่มากสิมึง"
"ก็พอตัว" ตอบเพื่อนเช่นนั้น หากโปรเจคนี้เสร็จสิ้นสุดทุกอย่างคงเบาตัวและคงได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น หลังจากสุ่มทำงานและฝืนตัวเองมาอย่างหนักตลอดเกือบสองปีเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ทั้งยังเป็นความหวังของตระกูลนักขัตปรารถ
เช้าวันต่อมา
ห้องประชุมเตรียมการปรึกษาโปรเจคอาคารเอนกประสงค์ประชุมครั้งสุดท้าย ก่อนที่พนักงานหลายคนจะย้ายไปประจำการที่ออฟฟิศขนาดเล็กที่ภาคใต้ ชนินธรตื่นเช้ากว่าปกติแต่ทว่าก็มาด้วยอาการมึนเบลอหลังจากดื่มหนักไปเมื่อคืน เดินเข้าห้องทำงานเอนกายพิงโซฟาตัวยาวในห้องทำงานในตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองแฮงค์หนักพอตัว
"บอส อีก 15 นาทีเข้าประชุมครับ"
ชนินธรนั่งนวดขมับเมื่อเริ่มปวดหัวตุบตับขึ้น ทั้งเหมือนจะอาเจียนออกมา จากนั้นลุกออกไปสูดอากาศหายใจนอกระเบียงเพื่อให้ตัวเองดีขึ้น หยิบบุหรี่ตัวโปรดคาบเข้าปากแล้วจุดไฟต่อสูดเอาสารนิโครตินเข้าปอดหวังว่ามันคงช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ในขณะที่กำลังระบายควันออกทางปากและจมูก ดวงตารัตติกาลชำเลืองเห็นคนด้านล่างเป็นผู้หญิงตัวบางช่างคุ้นตาและยิ่งเดินขยับเข้าอาณาเขตของดับบิวเอสซีทีก็เห็นชัดเจนว่าเป็นอดีคนรักที่อยู่ในชุดสุภาพกระโปรงยาวเลยคลุมเข่าและเชิ้ตสีฟ้าอ่อนซึ่งเป็นชุดที่เขาพาไปซื้อเมื่อ 3 วันก่อน
"มาทำอะไร" แปลกใจมากเมื่อตาหวานเข้ามาที่นี่ทั้งที่ไม่ได้มีการประกาศรับสมัครพนักงานใหม่แต่อย่างใด เมื่อเห็นอดีตคนรักย่างเท้าเข้ามาเขาคงไม่ปล่อยให้เธอเดินออกไปง่ายๆอยากจะไปทักทายและถามไถ่สักหน่อย ชนินธรเปิดประตูห้องทำงานเลี้ยวตัวได้เล็กน้อยเดินสาวเท้ากึ่งวิ่งกึ่งเดินเพื่อจะลงไปด้านล่างให้เร็วที่สุดทว่าก็ถูกเรียกตัวจากชายคนสนิทอย่างเจษ
"บอสครับ ทุกคนรอที่ห้องประชุมแล้ว" เสียงเจษดังขึ้นตามหลังเป็นผลให้ชนินธรหันกลับมา
"เออ” ตามสั้นๆทว่ากลับเดินไปทางอื่นที่ไม่ใช่ห้องทางไปห้องประชุม
“บอสจะเดินไปไหน ห้องประชุมอยู่ทางนี้”
“รอก่อน”
"รอกันมา 10 นาทีแล้วครับ" เจษรายงานอีกทั้งคนที่รอคือผู้ใหญ่ที่เป็นตังแปรสำคัญในบริษัท ชนินธรถูกดึงตัวเข้าที่ประชุมโดยด่วนเพื่อรักษาเวลาการประชุมให้อยู่ในแพลนที่ตั้งไว้ อีกทั้งฝ่ายบัญชีที่เข้าร่วมในครั้งนี้ต้องรีบออกไปสรรพากรยื่นภาษีประจำอีก ฉะนั้นเวลาคือสำคัญที่สุด