ตอนที่ 3 โลกเหวี่ยงมาเจอกัน 2
"ตาหวาน" หันมองคนที่เรียกชื่อตัวเอง พลันตาเบิกกว้างเมื่อคนตรงหน้าคือผู้ชายที่เคยคุ้นเคยและรู้จักเป็นอย่างดีคือชนินธรอดีตคนรักเก่าที่เลิกลากันไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วและหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อหรือได้ข่างคราวกันอีกเลย
"พี่ชนิน" กลืนเสียงตัวเองลงคอเผลอเรียกพี่ โดยไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเต็มใจหรือไม่
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” น้ำเสียงโทนต่ำกว่าเมื่อสักครู่เพ่งสำรวจร่างแน่งน้อยว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
“อย่ามาจับ” สะบัดมือออกจากคนที่เป็นอดีต ไม่คิดไม่ฝันจะวนกลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบสองปี
“คิดว่าอยากจับเหรอ” ต่างฝ่ายต่างทำตัวไม่ถูก มันนานมากที่ไม่เจอกันเลยแม้รูปร่างหน้าจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก แต่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่มาบ้างเล็กน้อยกันทั้งสองฝ่าย ตาหวานยังคงตกอยู่ในอาการประหม่าแดดร้อนๆไม่ได้ทำรู้สึกเท่ากับหัวใจที่เต้นระส่ำร้อนเป็นไฟในอก
"มาทำอะไรแถวนี่" ชนินธรเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนเพื่อไม่ให้เหตุการณ์การยืนมองผู้หญิงที่ยังมีหวังว่าสักวันคงได้เจอก็ได้วนกับมาเจอกันจริงๆ
"มาซื้อของ" คนตัวเล็กวิ่งไปเก็บชุดทำงานมันกระเด็นไปอยู่กลางถนนถูกรถหลายคันผ่านไปมาเหยียบจนเนื้อเริ่มขาดลุ่ยออก หยิบชุดทำงานที่อยู่ในถุงออกมาตาหวานถอนหายใจเป็นท้อต้องได้ควักเงินอันน้อยนิดซื้ออีกครั้งแน่
"ขาดหมดเลย" หน้าหง่อยคล้ายคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อชุดทำงานขาดลุ่ยจนไม่สามารถใส่ทำงานได้ เงินเกือบสามพันหายไปกับตาหมายความว่าต้องกลับเข้าไปซื้อใหม่อีกครั้ง เงินก็ยิ่งไม่มียังต้องเจอเรื่องเฮงซวยเพราะผู้ชายเฮงซวยที่เธอไม่ปรารถนาอยากเจอมาตลอดสองปี ชนินธรเห็นสีหน้าอีกฝ่ายไม่สู้ดีนัยน์ตาแดงก่ำย่อมรู้ดีว่าต้องร้องไห้แย่งสิ่งของในมือตาหวานตรวจเช็คดูมันเสียหายไปแล้วจริงๆ ยิ่งรองเท้าส้นหลุดจนใส่ไม่ได้
“ชุดทำงานเหรอ เดี๋ยวซื้อให้ใหม่"
"ไม่ต้อง" ดึงกลับมาคืนยัดใส่ถุงอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินออกจากจุดนี้ ทว่าชนินธรคว้าแขนแล้วรั้งไม่ให้ไป ในเมื่อได้เจอกันแล้วจะปล่อยให้เดินจากไปอีกง่ายๆได้ยังไง
"จะพาไปซื้อชุดใหม่"
“ก็บอกว่าไม่เป็นไร” ยังยืนยันคำเดิม ไม่อยากรับความช่วยเหลือจากอดีตแฟนเก่า แต่มันคงไม่เป็นผลชนินธรช้อนคนตัวบางอุ้มพาดบ่าไปที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ตกใจตื่นดิ้นด๊อกแด๊กอยู่บนบ่าหัวห้อยโต่งเต่งผมยาวสวยสีดำตกลงตามแรงโน้มถ่วงลากไปกับพื้นถนน
“ปล่อย ฉันนะคุณชนิน” คำพูดคำจาบ่งบอกว่าเขาเป็นคนอื่นไปสำหรับเธอแล้วจริงๆ แต่กระนั้นชนินธรจะไม่เอามาใส่ใจและทำเป็นหูทวนลมอุ้มตาหวานแล้วจับยัดเข้ารถสปอร์ต
“นั่งอยู่เฉยๆ”
“จะพาไปไหน”
“พาไปซื้อของพวกนี้” ชูเสื้อผ้าที่มันขาดขึ้นมาจากนั้นก็โยนมันลงถังขยะสีเหลืองที่ตั้งไว้ริมฟุตบาท ในขณะที่ตาหวานพยายามจะเปิดและดันตัวเองลงจากรถก็ไม่อาจสู้แรงคนตัวโตได้ ทั้งยังถูกขู่หากตาหวานก้าวเท้าลงมา แล้วเขาวิ่งไล่จับทันเมื่อไหร่จะเอาจับมัดไว้รถ 3 วัน 3 คืนและถ้าชนินธรทำจริงหมายความว่างานที่รับปากพี่สาวคนสนิทไว้ก็จะกลายเป็นคนเทงานไปในทันที
ตาหวานนั่งเงียบบนรถหรูคันใหม่ที่ไม่เคยนั่งและเหมือนว่าเจ้าของมันจะเพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่เดือน เมื่อทำอะไรไม่ก็ต้องนั่งนิ่งตัวเกร็งในยามที่ได้กลิ่นตัวอันคุ้นเคย แม้จะไม่ดอมดมมานานก็ยังจำกลิ่นนี้ได้ดี แทนที่ชนินธรจพาเธอไปห้างเดิมที่เพิ่งเลือกซื้อชุดและอยู่ไม่ไกลมาก ทว่ากลับพาไปยังห้างดังหรูและมีผู้คนเดินกันอย่างล้นหลามขึ้นชื่อว่าห้างหรูสินค้าก็ย่อมแพงเป็นธรรมดา ลานจอดชั้นใต้ดินถูกล้อแม็กทรวงสวยเหยียบจองเป็นเจ้าของ
“คราวนี้ลงได้” ไม่ถือว่าเป็นการสั่งแต่เป็นการขอความร่วมมือให้ตาหวานลงจากรถและเดินไปด้วยกันดีๆ มาถึงขนาดนี้ก็คงต้องลงและให้ความร่วมมือดีๆ ในการเดินชนินธรเป็นฝ่ายเดินตามหลังให้ตาหวานเดินนำหน้าเพราะถ้าคนตัวเล็กเดินตามหลังอาจจะหาทางวิ่งหนีเขาก็ได้
โซนเสื้อผ้าที่เป็นเหมือนบูทเซลล์ตาหวานเลือกเดินโซนนี้เป็นราคาที่จับต้องได้ ทว่าเนื้อผ้าหรือคัตติ้งการตัดเย็บมันไม่ได้เนี้ยบเท่าเสื้อผ้าแบรนด์ ยังไม่ทันที่เธอจะได้หยิบจับออกมาทาบบนตัวชนินธรก็จับต้นแขนเล็กลากเข้าช้อปแบรนด์เนมในทันที
“ลากฉันมาทำไม”
“เลือกเอาเลย จะเอากี่ตัวก็เลือก” เขาผายมือเปิดกว้างให้ตาหวานได้เข้าเลือกอย่างพอใจ ดูเหมือนว่าผู้หญิงตรงหน้าจะไม่ยอมเช่นกัน ตาหวานมองหน้าและตั้งใจจะเดินออก
“คุณผู้หญิงเชิญเลือกดูได้เลยค่ะ” พนักงานร้านที่เป็นผู้หญิงกล่าวทักทายสวัสดีต้อนรับจนตาหวานเกรงใจ การเดินกลับเข้ามาในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะชนินธรแต่เพราะการเซอร์วิสของพนักงานที่มันดีเยี่ยมจนเธอเองทำตัวไม่ถูก เดินไปทางไหนพนักงานก็อำนวยความสะดวกให้ทางนั้นหยิบอะไรพนักงานก็ช่วยหยิบจนเคอะเขินไปทุกอริยบท
“ขอเป็นกระโปรงทรงนี้สองตัวและเสื้อตัวนี้สองตัวเหมือนกันค่ะ” เอ่ยเสียงแผ่วๆอย่างเกรงใจ อีกทั้งราคาบนป้ายก็ตัวละ 5 พัน ยังไม่รวมรองเท้าหุ้มส้นอีก 1 คู่
“เอาอย่างละ 3 รองเท้า 2 และกระเป๋าใบนี้ด้วย” ชนินธรนั่งชี้และให้พนักงานหยิบ ทั้งหมดนี้คือของที่เขาต้องการซื้อให้เธอคืน
“ฉันไม่เอากระเป๋า”
“เอาไปเถอะ น่าจะได้ใช้” ความจริงคืออยากซื้อให้เฉยๆ ตาหวานจะใช้หรือไม่ใช้ก็เป็นเรื่องของเธอ
เมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็ต้องรับมันอย่างจำยอมแม้สีหน้าจะบ่งบอกว่าไม่สบายใจมากนักที่ต้องรับของมีมูลค่าเป็นเงินหลายบาทขนาดนี้ ถ้าเป็นเมื่ิอก่อนตาหวานคงไม่ปฏิเสธแต่ตอนนี้เธอกับเขาเป็นแค่คนรู้จักกันการรับของจากใครสักคนคงต้องคิดให้ดี แต่ทว่าในครั้งนี้เหตุเกิดจากอุบัติเหตุที่ชนินธรต้องรับผิดชอบ
“ได้ของครบแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”
“ดูหนังกันไหม” เป็นคำชวนที่ทำชนินธรประหม่าพอสมควร แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเล และแม้การชวนดูหนังจะไม่เป็นผลก็เปลี่ยนเป็นการชวนไปกินข้าวมื้อเที่ยงเพราะในเวลานี้มันก็ปาเข้าไปบ่ายโมงครึ่งแล้ว
“ไม่เป็น-“ พูดยังไม่จบประโยคข้อมือเล็กก็ถูกดึงจนตัวโยกตามแรงของอีกฝ่าย นับแทบไม่ถ้วนวันนี้ตาหวานถูกชนินธรลากไปลากมากี่รอบกันแล้ว
ร้านข้าวมันไก่
“ข้าวมันไก่ไม่เอาเลือด 2 จานครับ” ชนินธรตะโกนสั่งข้าวมันไก่ไม่เอาเลือดเป็นผลให้ตาหวานนั่งเงียบเม้มปากหายใจติดขัดเพราะปกติแล้วเธอไม่ชอบการกินเลือดไม่ว่าจะหมูหรือไก่หรือในอาหารประเภทไหนก็ตาม อาหารจานเดียววางลงตรงหน้ามีน้ำซุปถ้วยเดียวและถาดน้ำจิ้มวางคู่มา แตงกวาที่อยู่บนจานของตาหวานชนินธรตักมันออกมาใส่จานตัวเองโดยไม่ขออนุญาต ตาหวานไม่ชอบกินแตงกวา การกระทำของคนตรงหน้ายิ่งทำให้เธอประหม่าไปใหญ่
“กินสิ” สั่งให้เธอตักข้าวใส่ปากในขณะที่ตัวเองตักกินไปครึ่งจานตาหวานก็ยังมองเม็ดข้าวอยู่แบบนั้น
“….”
“ถ้าไม่กินจะป้อน” เป็นผลให้ตาหวานคว้าช้อนและจ้วงข้าวมันไก่เข้าปากในทันที แม้ชนินธรจะอดอมยิ้มกับคนตรงหน้าไม่ได้ก็ต้องทำเป็นเฉยและก้มหน้าซดน้ำซุปร้อนๆเข้าปากเพื่อให้ตาหวานได้กินข้าวอย่างสบายใจ บนโต๊ะเหล็กสีแดงไม่มีบทสนทนาอะไรนอกจากเสียงเคี้ยวแต่มันก็ทำให้ชนินธรรู้สึกดีไปเองฝ่ายเดียว อย่างน้อยก็ได้เจอหน้าผู้หญิงที่คร่ำครวญหามาตลอดสองปี
จานข้าวเกลี้ยงหมดทุกเม็ด ชนินธรเดินไปจ่ายเงินด้านในไม่ถึง 2 นาที่ที่เขาหันหลังให้ตาหวาน พอหันกลับมาคนที่นั่งกินข้าวด้วยกันสักครู่ก็หายไปแล้ว ตาหวานแอบซิ่งหนีออกไปโดยที่ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าเธอวิ่งหายไปทางไหน
“…” มองซ้ายมองหาคนตัวบาง ทว่าหัวเสียเมื่อปล่อยให้ตาหวานหลุดมือไปแบบยังไม่รู้เลยว่าบ้านอยู่ไหนทั้งตั้งใจจะขอเบอร์ไว้ติดต่อก็พลาดจนได้
“ไวซิบ อย่าให้ได้เจออีกนะ คราวนี้ไม่ปล่อยแน่”