#5
โหยวกู่โหม่วโอบเอวเด็กสาวนางนั้น พามาหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงานของเสียนอี่ จากนั้นกล่าวเสียงจริงจังว่า “อีกไม่ถึงสี่เดือน หรัวเอ๋อจะมาเป็นฮูหยินของข้า ข้าพานางมาเรียนรู้บัญชีจากเจ้า ยามที่นางรับช่วงต่อไปทำ จะได้ไม่มีปัญหา”
“เอาไว้ถึงเวลานั้น เจ้าค่อยพานางมา แต่หากนางอยากเรียนรู้จริง เจ้าก็รับนางมาเป็นอนุเสียสิ ข้าเต็มใจจะสอนให้” เสียนอี่ตอบกลับโดยมิคิดเงยหน้าจากบัญชีในมือ
“เสียนอี่! จะมากไปแล้วนะ เจ้ายังจะดื้อรั้นไปเพื่ออันใด ถึงอย่างไร เจ้าก็ไม่มีทางตั้งครรภ์!” กู่โหม่วเริ่มจะมีโทสะ
“ท่านพี่กู่โหม่ว ใจเย็นเจ้าค่ะ อีกแค่สี่เดือนเองหรัวเอ๋อรอได้เจ้าค่ะ” ถึงจะกล่าวห้ามปราม แต่จางหม่านหรัวกลับตีหน้าเศร้า แทนที่กู่โหม่วจะระงับโทสะ กลับมีโทสะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน เขาตบสองมือลงบนโต๊ะเสียงดัง “เสียนอี่!”
ครั้นเห็นว่านางยังไม่มีทีท่าจะสนใจ ก็จิกเข้าที่เส้นผมของนาง กระชากจนหน้าหงาย “ข้าเรียกเจ้าไม่ได้ยินหรือ!”
“ฮูหยิน” มู่หยุนคิดจะเข้ามาช่วย
“หากเจ้ากล้าเสนอหน้าเข้ามา ข้าจะโบยเจ้าให้ตาย!” โหยวกู่โหม่วหันไปตวาดสาวใช้ ก่อนจะดึงสายตากลับมามองภรรยา
สีหน้าของเสียนอี่ยังสงบราบเรียบ แทบจะรอให้โหยวกู่โหม่วตบตีตนเองเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าพอ โหยวกู่โหม่วสะบัดมือออกอย่างนึกรังเกียจ
เสียนอี่ยกมือขึ้นจัดเส้นผมหลุดลุ่ยให้เข้าที่เข้าทาง พลางมองไปที่คนทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา กล่าวเสียงเย้ยหยันว่า “พวกเจ้าสองคนช่างเหมาะสมกันเหมือนผีเน่ากับโลงผุจริงๆ คนหนึ่งลืมคุณคน อีกคนหน้าด้านไร้ยางอาย คุณหนูจาง เจ้าจะรีบเสนอหน้ามาให้ข้าโขกสับเพื่ออันใด หรือที่บ้านเจ้าไม่มีเงินจะใช้ ข้าว่านะ นิสัยอย่างเจ้า ไปเป็นนางโลมได้สบายเลย หากอยากหาเงินเร็วละก็นะ นู่น หอจิ่นอู่นู่น นอนถ่างขาไม่ถึงชั่วยามก็ได้แล้ว”
“เสียนอี่!”
“นี่เจ้า!”
เสียนอี่ไม่สนใจสีหน้าเดือดดาลของทั้งสอง นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองด้วยสายตาเหยียดหยาม “แค่สี่เดือนพวกเจ้ารอไม่ได้แล้ว? ฮึ! แล้วถ้าเกิดข้าตั้งครรภ์ขึ้นมา พวกเจ้ามิผิดหวังตายไปเลยหรือ พวกเจ้าควรทำใจเอาไว้บ้างก็ดีนะ โดยเฉพาะเจ้า จางหม่านหรัว เจ้าเที่ยวออกไปไหนมาไหนกับสามีข้าเพื่อประกาศตัวไปทั่ว เกิดไม่ได้แต่งขึ้นมาจริงๆ ข้าอยากรู้นัก ว่าเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
“เหอเสียนอี่ อย่าให้มันมากไปนัก คิดว่าข้าทำอันใดเจ้ามิได้กระนั้นหรือ?!”
“ก็เอาสิ มัวชักช้าอยู่ไย คนอย่างข้าไม่มีอะไรจะเสีย จะลองกันสักตั้งก็ย่อมได้!”
“เจ้า!” โหยวกู่โหม่วยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองนางอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ สุดท้ายก็มิกล้าลงมืออยู่ดี
“หรัวเอ๋อ พวกเราไปกันเถิด เจ้าไม่ต้องห่วง จะอย่างไรตำแหน่งฮูหยินของข้าต้องเป็นของเจ้าอยู่ดี อีกแค่สี่เดือนเอง ไม่นานหรอก” เขาหันมาแค่นเสียงใส่นาง ก่อนจะโอบประคองคนรักเดินจากไป
ถึงจะบอกว่าหัวใจด้านชาแล้ว แต่เอาเข้าจริง เสียนอี่ยังคงรู้สึกเจ็บอยู่ดี สุดท้ายก็ปิดหน้าร้องไห้จนตัวโยน
ในห้องนอนด้านข้าง แววตาของบุรุษที่นั่งอยู่บนเตียง เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งพันปี ทุกถ้อยคำของโหยวกู่โหม่วเขาได้ยินมันชัดเจน
กู่โหม่วกำลังลุ่มหลงจางหว่านหรัว หลังออกจากจวนแล้ว เขาพานางไปที่จวนเล็ก บนรถม้าหว่านหรัวนั่งอยู่บนตักเขาเสื้อผ้าหลุดลุ่ย โหยวกู่มือหนึ่งกำลังชักนิ้วเข้าออกช่องทางเร้นลับของนาง ส่วนอีกมือบีบขยำเต้าอวบอิ่ม หว่านหรัวพิงหลังกับแผ่นอกของเขาด้วยความเสียวซ่าน หัวเข่าของนางตั้งชันขึ้นทั้งสองข้าง ชายกระโปรงด้านหน้ากองอยู่บนหน้าท้อง
กระทั่งนิ้วเท้าทั้งสิบของนางจิกเกรงร่างกายกระตุก “อ๊า พี่กู่โหม่ว”
กู่โหม่วชักนิ้วออกมาชมน้ำใสที่ไหลย้อยไปตามง่ามนิ้วอย่างหื่นกระหาย รีบถอดผ้าคาดเอวดึงกางเกงลงไปไว้ที่หน้าขา ดันร่างของนางให้นอนโก้งโค้ง ตลบชายกระโปรงขึ้นไปไว้บนสะโพก จับส่วนหัวจ่อเข้าที่ปากทาง ค่อยๆ สอดใส่เข้าไปช้าๆ
ครานี้ หว่านหรัวมิได้เจ็บอย่างคราแรก เพราะช่องทางตรงนั้นฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำ กู่โหม่วเริ่มชักเข้าชักออก จนเกิดเสียงดัง แจ๊ะๆ
นับว่ากู่โหม่วอึดทนยิ่ง กระทั่งมาถึงจวนแล้วยังมิยอมปลดปล่อย พ่อบ้านจางกับคนบังคับรถม้ายืนมองรถม้าโยกคลอนไปตามจังหวะ พร้อมกับฟังเสียงครางอย่างเหลือเชื่อ เกือบครึ่งชั่วยามเขาถึงลงมา
กู่โหม่วอุ้มหว่านหรัวลงมาจากรถม้าทั้งที่อวัยวะวะสองส่วนยังเชื่อมติดกัน เขาหันมาสั่งพ่อบ้าน “ประเดี๋ยวหยิบกางเกงข้าลงมาด้วย”
บ่าวทั้งสองคนพึ่งจะทราบ ว่าภายใต้เสื้อคลุมมิดชิดที่คลุมสองร่างเอาไว้นั้น โหยวกู่โหม่วมิได้สวมกางเกง
“อื้ม” หว่านหรัวถูกกระแทกไปตามจังหวะการเดินจนเผลอครางออกมา
กู่โหมวรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำกับนางต่อหน้าผู้คน เขาจึงมิได้พานางเข้าไปในจวน แต่พาไปนั่งที่ม้าหินใต้ต้นหลิวแทน หว่านหรัวกลายมาเป็นนั่งคร่อมตักของเขา