#4
มู่หยุนเดินเข้ามายกเก้าอี้ ไล่เก็บสมุดบัญชีกลับมาวางบนโต๊ะ เสียนอี่ลุกเดินเข้าไปในห้องพ่อสามี
เพียงได้สบตากับเขา น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้พลันไหลทลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงอย่างไร นางก็เหลือเขาเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวแล้ว เสียนอี่วิ่งเข้าไปกอดเขาซบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น
ขณะลูบหลังปลอบประโลมนาง นัยน์ตาคู่นั้นผุดประกายเย็นเยียบ เขาค่อยๆ เชยคางของนางขึ้นมาจุมพิต ฝ่ามือของเขาล้วงเข้ามาในสาบเสื้อเคล้าคลึงปทุมถันอวบอิ่ม เสียนอี่กระตุกเชือกผูกเอวกางเกงของเขาออก เลื่อนลงไปไว้ที่หน้าขา ก่อนจะประคองท่อนเนื้อที่เริ่มจะพองตัวเข้ามาไว้ในฝ่ามือ ค่อยๆ ชักขึ้นลงเบาๆ
เขาเองก็ไม่น้อยหน้า หลังจากที่นางขึ้นมานั่งคุกเข่าคร่อมร่างเขาบนเตียงแล้ว ฝ่ามือของเขาสอดเข้าไปใต้กระโปรงหยอกเย้าส่วนอ่อนไหวของนาง กระทั่งมันฉ่ำแฉะ เขาผละจากยอดอกขึ้นมาจุมพิตนางอีกครั้ง พลางจับส่วนแข็งขึงถูไถไปตามร่องฉ่ำ จนเสียนอี่ทนไม่ไหว ค่อยๆ กดตัวลงไปครอบครองส่วนหัวซุกซนของเขาเสียเอง
“อืม” นางครางในลำคอเบาๆ ด้วยความพึงใจ ส่งลิ้นเข้าไปพัวพันกับปลายลิ้นของเขาในโพรงปาก กระทั่งครอบครองตัวตนเขาเข้ามาในร่างจนสุด ถึงได้ค่อยๆ ขยับสะโพกอย่างเนิบนาบ ลมหายใจถี่แรงของพ่อสามี ฟังแล้วเร้าอารมณ์ยิ่ง เสียนอี่เริ่มโยกเร็วขึ้น
นางดันแผ่นอกของเขาให้นอนราบลงบนเตียง จากนั้นขย่มเขาจนน้ำพุ่ง เสียนอี่เองก็สมความปรารถนาตามไปติดๆ
“แฮ่กๆ” นางทิ้งตัวลงไปทาบทับเขาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง หายใจหอบเหนื่อย
อีกด้านหนึ่ง ในรถม้า ร่างกึ่งเปลือยสองร่างกำลังเกี่ยวกระหวัดรัดรึงกันแนบแน่น คาดว่าท่านนายอำเภอคงมิรู้ ว่าที่แท้บุตรสาวใจง่ายเพียงใด เพียงปิ่นอันเดียว นางถึงกับปล่อยตัวปล่อยใจให้โหยวกู่โหม่วเชยชมโดยไม่เลือกสถานที่
“พี่กู่โหม่ว อื้ม หรัวเอ๋อ จะ..เจ็บ บะ..เบาเจ้าค่ะ” เสียงตับๆ ดังออกไปถึงข้างนอก คนบังคับรถม้ากับพ่อบ้านจางได้แต่มองหน้ากันแล้วพากันส่ายหน้า
จางเปี่ยวหลุนเป็นแค่ญาติห่างๆ ที่นายอำเภอไม่นับญาติ ไหนเลยจะใส่ใจ ว่าบุตรสาวนายอำเภอจะทำตัวเหลวแหลกแค่ไหน เพราะเขาเองก็มีบุตรสาวที่อยากให้แต่งกับกู่โหม่วเช่นกัน
“โอ้ว หรัวเอ๋อ ซี๊ด” มาถึงจุดนี้แล้ว มีหรือโหยว่กู่โหม่วจะยอมผ่อนแรง เขาเป็นคนเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร มิเคยใส่ใจความรู้สึกของสตรีในยามร่วมอภิรม ทั้งที่พึ่งจะครั้งแรกของจางหว่านหรัวแท้ๆ แต่เขากับกระแทกไม่ยั้ง ฟังจากเสียงเนื้อกระทบเนื้อก็รู้แล้ว
สองขาของจางหว่านหรัวถูกจับแบะออก ส่วนนั้นราวกับถูกตอกด้วยของแข็งเสียงดัง ปัก ปัก สองมือของกู่โหม่วทั้งบีบทั้งขยำปทุมถันเต่งตึงอย่างมิคิดออมแรงเลยแม้แต่น้อย
หว่านหรัวทั้งเจ็บทั้งจุกจนแทบจะขาดใจตายเสียให้ได้ ดีว่าเสียงคำรามเสร็จสมของโหยวกู่โหม่วดังขึ้นเสียก่อน
“อ่า” กู่โหม่วทิ้งตัวลงไปทาบทับร่างนางหายใจหอบเหนื่อย โดยมิคิดจะถอนส่วนนั้นออก พอหายเหนื่อยก็ตะโกนสั่งคนบังคับรถม้าขับวนรอบเมือง
หว่านหรัวหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริง นางมิควรเลย “พะ..พี่กู่โหม่ว พะ..พอเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ไหวแล้ว” นางอ้อนวอนเขาทั้งน้ำตา ที่ได้มาคือจุมพิตปิดปาก พร้อมกับส่วนที่พองตัวกำลังขยับเสียดสีผนังภายใน
เพื่อปิ่นอันเดียว นางถึงกับถูกเขาทำจนสลบ เท่านั้นยังไม่พอ จางเปี่ยวหลุนยังวางแผนให้กู่โหม่วพานางไปทำต่อที่จวนเล็กอีกทั้งคืนจนหมดสภาพ
จางเปี่ยวหลุนอยู่กับกู่โหม่วมานานพอ ที่จะรู้ว่าโหยวกู่โหม่วเป็นคนเบื่อง่าย หว่านหรัวคิดว่ายอมพลีกายให้เขาแล้วจะทำให้โหยวกู่โหม่วหลงไหล นางคิดผิดไปถนัด ตอนนี้นับว่าบุตรสาวของตนหมดคู่แข่งแล้ว จางเปี่ยวหลุนคิดอย่างย่ามใจ
เย็นนี้เสียนอี่ทานอาหารเย็นพร้อมพ่อสามี กว่าจะกลับเรือนก็ตอนฟ้ามืด
ชีวิตประจำวันของเสียนอี่ยังคงเป็นเช่นเดิม ที่เพิ่มเติมมาคือนางใช้เวลาอยู่ในห้องกับพ่อสามีนานกว่าเดิมเล็กน้อย กู่เลี่ยวพูดไม่ได้ แต่ต่อให้พูดได้ นางก็คิดว่าเขาคงไม่พูด เขาเป็นคนเคร่งขรึมมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่นางดูแลเขามายังมิเคยเห็นเขายิ้มเลยสักครั้ง
นับวันความสัมพันธ์ของนางกับพ่อสามียิ่งลึกซึ้ง คราแรกจากเพียงแค่ทางกาย ทว่าเวลานี้ กลับมีความสัมพันธ์ทางใจเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกครั้งในยามร่วมรัก ริมฝีปากของเขาและนางแทบจะไม่ได้ผละจากกันเลย ราวกับว่าเขาต้องการบอกความรู้สึกผ่านจุมพิตเร่าร้อนแทนวาจา เสียนอี่เอง ก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน ในฐานะของนางและเขาคงมิอาจเปิดเผยความในใจได้ คงทำได้เพียงแค่ใช้ร่างกายกับการกระทำแทนถ้อยคำวาจาแล้ว
เสียนอี่ค่อยๆ ขยับลุกจากตัวเขา แต่ส่วนนั้นยังมิทันถอนออกจากร่างนางจนหมด สะโพกกลับถูกเขาจับยึดเอาไว้ เขาส่ายหน้า มองนางด้วยสายตาออดอ้อน เสียนอี่เข้าใจทันที ว่าเขาไม่อยากให้นางลุกไป จึงทิ้งตัวลงนั่งดังเดิม กู่เลี่ยวราวกับเด็กได้ลูกวาด เขากดจุมพิตบนริมฝีปากนางซ้ำๆ อยู่รายคราติด เสียนอี่ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
หลังจากรีดน้ำจากเขาไปอีกครึ่งค่อนวัน นางถึงได้กลับออกมาทำงาน เสียนอี่พึ่งจะลงได้ไม่เท่าไหร่ โหยวกู่โหม่วก็พาดรุณีน้อยนางหนึ่งเข้ามาในเรือน สายตาที่มองนางแฝงไว้ด้วยความเหยียดหยัน