#11
“เป็นอย่างไรบ้าง ลีลาตาแก่เช่นข้าดีกว่าเจ้าหนุ่มกู่โหม่วใช่หรือไม่”
“อืม ระ..เร็วหน่อย โอ๊ย อื้ม”
เปี่ยวหลุนรีบรัวบั้นท้ายกระแทกตับๆ
“อร๊า” หว่านหรัวแหงนหน้าร้องคราง นิ้วเท้าจิกเกร็ง เขาเองก็ใกล้เต็มที รีบเร่งความเร็วเต็มที่
เสียงตับๆ ดังถี่รัวก้องโกดังร้าง ไม่นานเสียงคำรามต่ำของเปี่ยวหลุนก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงหวีดร้องด้วยความสุขสมของหว่านหรัว
เปี่ยวหลุนทิ้งตัวลงไปทาบทับ ทั้งคู่นอนกอดกันหายใจหอบเหนื่อย
ครั้นพอหายเหนื่อย ทั้งสองพลันรีบถอดอาภรณ์ของตนเองออกเปลือยกายแนบชิดกันกว่าร่วมชั่วยาม หลังจากแต่งตัวเสร็จ ยังจูบแลกลิ้นกันอย่างอ้อยอิ่ง
“คุณหนู พวกเราไปต่อที่จวนกันเถิด ฟ้ามืดแล้ว ข้ารับรองว่าจะทำให้ท่านจะมีความสุขกว่านี้อีก” เปี่ยวหลุนกล่าวหลังจากที่ผละริมฝีปากออก
“ได้” หว่านหรัวติดใจ ตอบรับอย่างเคลิบเคลิ้ม
เปี่ยวหลุนรีบกลับออกไปบังคับรถม้า พานางไปจวนเล็กของเจ้านาย
หลังจากนั้น ทั้งสองก็บรรเลงเพลงสวาทกันทั้งคืน
ส่วนบนเตียงโหยวกู่โหม่วคือบุตรสาวของเปี่ยวหลุนซึ่งร้อนแรงไม่แพ้บิดาเลย กู่โหม่วมีความสุขยิ่ง หลุนอี้ใช้ปากได้เก่งยิ่งนัก
“อ่า” เขาขยุ้มเส้นผมของนาง กดลงบนอวัยวะกึ่งกลางลำตัวของตนเอง กระทั่งส่วนนั้นกระตุกในปาก ฉีดน้ำออกมาในที่สุด “โอ้ว กลืนลงไป เชื้อพันธุ์ของข้ามีค่าดังทอง”
หลุนอี้ฝืนใจกลืนน้ำขาวขุ่นลงคอ กลิ่นคาวทำให้นางเกือบอาเจียน หากมิใช่เพราะถูกบิดาบังคับ นางไม่มีวันจะทำเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด
ก่อนหน้านั้น หลุนอี้หนีตามคนรักไป พอเชยชมนางสมใจ ชายผู้นั้นก็หนีหาย หลุนอี้จำต้องซมซานกับมาหาบิดามารดา อีกเดือนต่อมา ถึงได้พบว่าตนเองตั้งครรภ์ บิดาคิดใช้ครรภ์นี้หลอกว่าเป็นลูกของโหยวกู่โหม่ว ส่งนางมาปรนนิบัติเขา
หากแต่ความคิดของโหยวกู่โหม่วนั้น กลับมิได้มีเรื่องลูกเลยสักกระผีก เขากำลังลุ่มหลงอยู่ในกามารมณ์ กลางวันได้เสพสุขกับหว่านหรัว ส่วนกลางคืนได้เสพสุขกับหลุนอี้ เขาถึงกับมีความคิดจะกระทำกับพวกนางพร้อมกันในคราเดียว
ลั่วหยาง
หลังจากเดินทางรอนแรมมาสามเดือน ในที่สุดเสียนอี่ก็มาถึงลั่วหยาง ระหว่างทางนางกับสุ้ยหยวนยังแวะซื้อของตามหมู่บ้านไปขายตามเมืองต่างๆ ได้เงินมาเล็กน้อย เมืองลั่วหยางมิใช่เล็กๆ ยังดีว่าบิดามารดาของไป๋อวี้เสวี่ยได้งานเป็นคนรับใช้บ้านขุนนางใหญ่จึงมิใช่เรื่องยากที่จะตามหาพวกเขา
เสียนอี่นำชุดที่ไป๋อวี้เสวี่ยลืมไว้ที่บ้านเก่ามาสวมใส่ ก่อนจะใช้ผ้าคลุมผมเข้าไปเคาะประตูหลัง ประตูใหญ่ของจวนขุนนางมิใช่ว่าใครจะเที่ยวไปเคาะได้ส่งเดช นางจึงเลือกประตูที่ข้ารับใช้ ใช้ผ่านเข้าออก
บุรุษท่าทางเคร่งขรึมจริงจังเป็นผู้มาเปิด เสียนอี่ลดผ้าคลุมผมลง เผยให้เห็นใบหน้ากระจ่างใส
“ท่านลุง ข้าแซ่ไป๋ ชื่อ อวี้เสวี่ยมาขอพบบิดามารดา รบกวนพี่ชายช่วยไปตามพวกเขาหน่อยได้หรือไม่ บิดาข้าชื่อจ้าวเซิ่ง มารดาข้าชื่อมู่โถว”
ชายผู้นั้นได้ฟัง ใบหน้าพลันอ่อนลงเล็กน้อย เขาเป็นยามเฝ้าประตู จ้าวเซิ่งเป็นคนขับรถม้าย่อมรู้จักคุ้นเคยกัน เขาพอรู้ประวัติครอบครัวนี้อยู่บ้าง
“มิใช่ว่าบุตรสาวของจ้าวเซิ่งไปทำงานเป็นสาวใช้ที่หยางโจวหรือ?”
“เจ้าค่ะ ข้าพึ่งมาจากหยางโจว พอดีว่าผู้มีพระคุณของข้าเสียชีวิตไปแล้วข้าเลยต้องกลับมา”
“อ้อ เป็นเช่นนั้นเองหรือ ถ้าอย่างนั้น เจ้ารอสักประเดี๋ยว”
ครอบครัวสกุลไป๋แต่เดิมพักอาศัยอยู่ในเมืองหยางโจว หลังจากได้เงินจากเสียนอี่ ถึงได้พาไปอวี้เสวี่ยมาหาหมอในเมืองหลวง กระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้ว สองผัวเมียได้งานในบ้านขุนนาง แต่ตอนนั้นไป๋อวี้เสวี่ยยังป่วยกระเสาะกระแสะอยู่ จึงมิได้ช่วยบิดามารดาทำงาน หลังจากหายแล้ว จ้าวเซิ่งส่งนางไปหยางโจว เพื่อให้บุตรสาวไปทำงานเป็นสาวใช้ตอบแทนบุญคุณของเสียนอี่แต่สุดท้าย.....
ใบหน้ายิ้มแย้มของจ้าวเซิ่งตอนที่เปิดประตูออกมา แข็งค้างไปชั่วขณะ
“ท่านพ่อ” เสียนอี่รีบเรียกเขาเพราะเกรงจะผิดสังเกตพลางฉีกยิ้มกว้างเดินเข้าไปหา
แม้จะไม่ได้เจอกันสองปี แต่จ้าวเซิ่งยังพอจำเสียนอี่ได้ เพราะนางเป็นหญิงสาวที่มีลักษณะโดดเด่น เมื่อเห็นว่านางเรียกเขาว่าบิดา ทั้งยังทำท่าสนิทสนมราวกับว่านางคือเสวี่ยเอ๋อ จ้าวเซิ่งรู้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“เสวี่ยเอ๋อ ไฉนจึงกลับมาเล่า พ่อให้เจ้าไปเป็นสาวใช้โหยวฮูหยินมิใช่หรือ?”
เสียนอี่ทำหน้าเศร้า อันที่จริงนางมิได้เสแสร้งความรู้สึกนั้นมันมาจากใจจริงๆ “โหยวฮูหยินเสียแล้วเจ้าค่ะ”
จ้าวเซิ่งได้ยินก็ตกใจ โหยวฮูหยินมิใช่ว่ายืนอยู่เบื้องหน้าเขาหรอกหรือ คงมิใช่ว่า? “ละ..แล้ว หยุนเอ๋อเล่า?” จ้าวเซิ่งเริ่มจะปากคอสั่น ในหัวคิดถึงความเป็นไปได้หลายทาง ถึงสาเหตุที่เสียนอี่มาปรากฏตัวที่นี่
น้ำตาของเสียนอี่เอ่อคลอดวงตา กล่าวว่า “พวกเราหาที่คุยกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
จ้าวเซิ่งเริ่มใจคอไม่ค่อยดี เขาหันไปบอกยามที่ยืนอยู่เบื้องหลัง “พี่จ้งข้าขออนุญาตพาบุตรสาวเข้าไปได้หรือไม่”
ยามแซ่จ้งผู้นั้นพยักหน้า “ได้ แต่อย่าให้นานนักนะ หากเจ้าอยากให้นางอยู่นาน ต้องไปเรียนท่านพ่อบ้านด้วยตัวเอง”