บทที่ 3. เมื่อกวางน้อยติดกับ
ลีโอนาร์ดมีท่าทีตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็มีคนวิ่งแทรกเข้าไปในรถของเขา แต่เมื่อเห็นหน้าของเจ้าหล่อนชัดๆ หัวใจหนุ่มก็ไหวระริกด้วยความยินดี ชายหนุ่มหันไปทางด้านที่เธอวิ่งมาแล้วก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นร่างสูงเข้าไปในรถด้วยท่าทางสงบนิ่ง...
“ออกรถได้..” ชายหนุ่มบอกเสียงห้วนและรถคันหรูก็แล่นออกไปทันที เฟื่องลดาหันไปมองด้านหลังก็พบว่าชายคนนั้นเดินหายกลมกลืนไปกับผู้คนที่อยู่ๆ ก็พากันปรากกฎตัวขึ้นเดินกันขวักไขว่ทั้งที่เมื่อก่อนหน้าที่เธอจะวิ่งขึ้นรถมานั้น บนถนนร้างผู้คนเหมือนว่าทั้งโลกมีเพียงเธอกับคนร้ายคนนั้นเพียงสองคน
นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือเพราะเธอตกใจจึงไม่ทันสังเกตว่ามีคนอยู่รอบๆ มากมาย... เฟื่องลดามัวแต่คิดอย่างสับสนจึงไม่ทันได้สังเกตคนข้างๆ
แล้วหญิงสาวถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างโลกอกที่ตนรอดพ้นจากที่ตรงนั้นมาได้ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ว่าตนอยู่ที่ไหนอย่างไรแล้วยิ่งหันมาเจอหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เฟื่องลดาถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ผู้ชาย ผู้ชายที่หล่อมากๆ ด้วย.. หญิงสาวกรีดเสียงสูงอยู่ในอก กวาดตามองรอบกายและวกกลับมามองใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังมองเธออยู่เช่นกัน..
เธอนั่งอยู่เบาะหลังของรถหรูที่ราคาแพงลิบและยังเป็นรถที่ออกแบบมาพิเศษที่แยกส่วนโดยสารข้างหลังกับคนขับเพื่อความเป็นส่วนตัว และเธอก็เดาว่าชายคนนี้คงจะมีตำแหน่งใหญ่โตหรือไม่ก็รวยไม่น้อยหรือไม่ก็เป็น.. มาเฟีย... อยู่ๆ คำนี้ก็ลอยเข้ามาในหัวหญิงสาวหน้าซีดลงอีกครั้ง
“คะ คือ เอ่อ คือฉัน เอ่อ.. หนีคนร้ายมา เลยเสียมารยาทขึ้นรถของคุณเพื่อหนีคนร้ายตอนนี้คงพ้นจากอันตรายแล้วฉันขอลงหน้าโรงแรมข้างหน้านั่นก็ได้ค่ะ”
เฟื่องลดามองซ้ายมองขวาทั้งขยับตัวอย่างอึดอัดรู้สึกถึงสิ่งที่อันตรายกว่า หญิงสาวหันมามองหน้าของคนที่นั่งข้างๆ อีกครั้งอย่างพิจารณารู้สึกคุ้นหน้าเขาแต่ไม่รู้ว่าเคยรู้จักหรือเห็นเขาที่ไหน
“คุณคะ ฉันเชื่อว่าคุณฟังภาษาอังกฤษเข้าใจ กรุณาจอดให้ฉันลงข้างหน้าเถอะค่ะ”
เฟื่องลดาย้ำอย่างร้อนรนเมื่อรถเริ่มวิ่งห่างตัวเมืองออกไปทุกทีๆ มือเล็กพยายามจะเปิดประตูลนลานทั้งที่รถวิ่งอยู่
“ถ้าไม่อยากตายก็อยู่นิ่งๆ” ประโยคแรกที่ออกจากปากของคนตัวใหญ่ที่นั่งเงียบมาตลอดก็ทำให้เธอขนลุกด้วยความหวาดหวั่น หญิงสาวหันไปมองเขาหน้าตื่น
“ฉันแค่อยากจะลงจากรถ จอดรถให้ฉันเถอะค่ะ”
“คงไม่ได้ เพราะคุณนำความเดือดร้อนมาให้ผมด้วย”
“หมายความว่ายังไง..” เฟื่องลดาขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ
“ผมไม่รู้ว่าคุณเห็นอะไรผู้ชายคนนั้นถึงได้ตามมา แต่เท่าที่เห็นคงไม่ใช่เรื่องดีและมันจะต้องเป็นเรื่องร้ายแรง เช่น การฆาตกรรม หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นจะต้องฆ่าคุณปิดปาก.. ผมพอจะเดาถูกไหม..” เขาหันมาถามสีหน้าเรียบเฉยเฟื่องลดาพยักหน้าช้าๆ
“แล้วเมื่อคุณวิ่งเข้ามาหาผมก็เท่ากับว่าคุณนำพาเรื่องร้ายมาด้วย มันอาจจะคิดว่าผมเป็นพวกเดียวกับคุณ แล้วลองคิดดูสิว่าชีวิตของผมจะตกอยู่ในอันตรายด้วยมั้ย คุณจะจากไปโดยที่ไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือไง..” มันก็อาจจะจริงที่ว่าเธอนำพาความเดือดร้อนมาให้เขาด้วย แต่เท่าที่ดูแล้วท่าทางเขาไม่น่าจะกลัวอันตรายจากใครเลยคนอื่นต่างหากที่ต้องกลัวเขา อีกอย่างเธอว่าเขาดูน่ากลัวกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นสิบเท่า เฟื่องลดาคิดในใจ...
“คุณคิดถูกแล้วว่าผมน่ากลัวกว่าผู้ชายคนนั้น และผมก็ไม่ได้กลัวใครจะมาทำร้ายด้วยแต่ผมก็ไม่อยากยุ่งเรื่องที่ผมไม่ได้ก่อ..” เหมือนมานั่งอยู่ในความคิดของเธอ เฟื่องลดาหน้าแดงด้วยความอับอายที่เขารู้เท่าทันความคิดตน
“คือ ฉัน.. ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรก็เท่านั้น” หญิงสาวเอ่ยอย่างอัดอั้นน้ำตาก็พานจะไหล
“ผมเข้าใจ เอาเป็นว่า เราคงต้องคุยกันยาว..”
เป็นคำพูดที่ทำให้เฟื่องลดารู้สึกหวั่นไหวในอก พูดกันอีกยาว นั่นก็หมายความว่า เธอจะต้องติดรถเขาไปอีกไกล แล้วทีนี้เธอจะกลับโรงแรมอย่างไร.. หญิงสาวหันมองรอบกายแล้วก็เริ่มหวาดหวั่นเมื่อถนนที่รถวิ่งมานั้นไม่ได้อยู่ในตัวเมืองอีกต่อไปและเธอก็สังเกตว่ามันเหมือนเส้นทางส่วนบุคคลที่มุ่งไปยังสถานที่ไหนสักแห่งที่เป็นส่วนตัวที่สุด อาจจะเป็นเชฟเฮ้าส์หรือคฤหาสน์ หรือ..
คฤหาสน์นั่นล่ะถูกต้องแล้ว... หญิงสาวบอกตัวเองเมื่อเห็นสถานที่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า คฤหาสน์หลังงามที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าและสวนสวยเขียวขจีงดงามราวภาพวาด เฟื่องลดาหน้าตื่นเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ในวันนี้ ยิ่งรถกำลังจะวิ่งผ่านรั้วอัลลอยด์ใหญ่ยักษ์สูงลิบลิ่วเข้าไปยังคฤหาสน์ที่อยู่เบื้องหน้าเธอก็ยิ่งกลัว หนีสิ จะรออะไร.. ความคิดที่คิดได้ในตอนนี้คือ หนี.. ไปขอความช่วยเหลือที่สถานทูตดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้นขณะที่รถชะลอความเร็วลงรอประตูเปิดเฟื่องลดาก็เตรียมตัวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีไว้ที่ขาทั้งสองข้าง เสียงคลิกเบาๆ ดังขึ้นที่ประตูรถนั่นแสดงว่าประตูถูกปลดล็อกจากห้องคนขับหญิงสาวเหลือบตามองเหมือนไม่ได้ใส่ใจมันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อสบโอกาสที่รถยังชะลอความเร็วแล่นผ่านประตูที่ค่อยๆ เปิดอย่างอัตโนมัติเฟื่องลดาก็เปิดประตูแล้ววิ่งลงจากรถทันทีสองเท้าวิ่งไปยังประตูที่ค่อยๆ เลื่อนปิดโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมอง แต่แล้วเธอก็ต้องหันกลับไปเมื่อได้ยินเสียงๆ หนึ่ง
โฮ่งๆๆๆ เสียงเห่ากระโชกดังสนั่นท่ามกลางความเงียบของบรรยากาศที่รายล้อมด้วยต้นไม้เขียวขจี เฟื่องลดาเบิกตากว้างเมื่อเจ้าสุนัขตัวโตพันธุ์อัลเซเชี่ยลตัวใหญ่วิ่งกวดมายังเธอ
“โอ๊ะ ตายแน่ๆ ยายเฟื่อง..”
หญิงสาวอุทานด้วยใจเต้นแรงอะดรีนาลีนพุ่งพล่านในสายเลือด ขาทั้งสองข้างที่แทบจะหมดแรงกลับมีกำลังเพิ่มขึ้น หญิงสาวออกแรงวิ่งสุดฝีเท้าจนเกือบจะพ้นประตูแล้ว แต่..
“กรี๊ดดดด.. โฮ้งงงง...”
เสียงกรีดร้องและเสียงเห่ายาวๆ ดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ร่างเล็กล้มลงและเจ้าสุนัขตัวใหญ่ก็กระโจนมาถึงตัวเธอพอดี.. เฟื่องลดาได้ยินเสียงอะไรต่อมิอะไรอื้ออึงอยู่ในหูแต่แยกแยะไม่ได้สักอย่างว่าเกิดอะไรขึ้น
เจ็บจังแต่บอกไม่ถูกว่าเจ็บตรงไหนบ้าง เธอถูกกัดรึเปล่านะ.. หญิงสาวคิดอย่างมึนงงและรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทันแล้วทุกอย่างก็ดับวูบไปพร้อมกับสติของเธอ...
“โตโต้ ออกมานี่.. อย่ายุ่งกับของของฉัน..” ลีโอนาร์ดเรียกเจ้า โตโต้ ที่ยังคงก้มๆ เงยๆ ทำจมูกฟุดฟิดๆ ดมร่างเล็กที่นอนหมดสติอยู่ใต้อุ้งเท้าของมัน เจ้าโตโต้ไม่ได้กัดหรือทำร้ายหญิงสาวแต่อย่างใด มันเพียงแต่หยุดไม่ให้เธอวิ่งพ้นกำแพงไปได้เท่านั้นเอง อูโก้ซึ่งยืนมองอยู่ห่างๆ แทบกลั้นหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางหวงของของลีโอนาร์ด หวงแม้แต่กับหมา..
“นายหัวเราะฉันเหรออูโก้..” อูโก้สะดุ้งแทบหุบยิ้มไม่ทันได้แต่ยืดตัวตรงทำหน้าเคร่งเครียด
“เปล่าครับ”
“หากฉันรู้ว่าพวกนายสามคนหัวเราะฉันละก็จะหักเงินเดือนสามเดือนทันที”
ลีโอนาร์ดพูดพร้อมทั้งช้อนร่างเล็กมอมแมมขึ้นมาจากพื้นหญ้านุ่ม ตัวเบาราวกับนุ่น นั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มคิดดวงตาสีมรกตมองใบหน้าซีดขาวนั้นอย่างเอ็นดูพร้อมทั้งนึกเคืองที่เจ้าหล่อนวิ่งหนีเขาเหมือนว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมารเสียอย่างนั้น วันนี้อุตส่าห์แต่งตัวหล่อแล้วเชียวเธอยังไม่หลงเสน่ห์เขาเลยให้ตายเถอะ...
“ให้ผมช่วยไหมครับเจ้านาย” โอเว่นทำทีจะเข้าไปช่วยอุ้มคนในวงแขนเจ้านายหนุ่ม แต่ต้องรีบถอยออกมายืนตัวตรงเมื่อเจอแววตาดุๆ
“ไปซ่อนตัวจากที่นี่สักพักเถอะนายน่ะ ฉันอยากจะรู้นักว่าใครเป็นคนคิดแผน เลือกคนได้เหมาะกับงานมาก”
พูดไปขณะเดินเข้าไปยังคฤหาสน์หนุ่มโสดที่ไม่เคยมีหญิงสาวคนไหนได้เข้ามาค้างอ้างแรมที่นี่ แต่ตอนนี้คงจะมีแล้ว และดูท่าคงจะได้อยู่ที่นี่นานเลยทีเดียว ส่วนเจ้าโตโต้ก็วิ่งตามเจ้านายของมันไปอย่างอยากรู้อยากเห็น
“อูโก้ครับคิดแผนนี้” เบนรีบบุ้ยใบ้ไปทางอูโก้ที่ยืนกลั้นยิ้มจนปวดแก้มอยู่ข้างๆ
“นายรับผิดชอบแผนของนายไปอูโก้ อย่าให้ฉันมัวหมองด้วยล่ะ และห้ามบอกคุณย่าเด็ดขาด”
“ครับ” ทั้งสามหนุ่มรับคำพร้อมกันแล้วมองตามแผ่นหลังกว้างของเจ้านายหนุ่มไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม เจ้านายอุ้มเธอเหมือนว่าเป็นสิ่งเปราะบาง”
โอเว่นชายหนุ่มผิวดำหน้าตาขึงขังออกไปทางโหดนิดๆ แต่เป็นคนอ่อนโยนที่สุดในกลุ่มสามหนุ่มพูดขึ้นพลางเกาหัวที่มีผมหยิกขอดเต็มศีรษะอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น หากโอเว่นเห็นสิ่งนี้คนเดียวเขาก็คงจะคิดว่าตัวเองตาฝาดแน่ๆ
“ไม่ นายไม่ได้ตาฝาดและนายก็ต้องหายหัวไปสักพัก”
อูโก้ย้ำแล้วเดินตามลีโอนาร์ดเข้าไป โอเว่นหันไปมองเบนซึ่งก็ยักไหล่แบมืออกข้างตัวแล้วก็เดินตามอูโก้ไปอีกคน
“สรุป ฉันต้องหายหัวไป คือ โดนขับออกจากกลุ่มสักพักสินะ เกิดมามีหน้าตาเหมือนคนร้ายนี่ทำตัวลำบากจริงจริ๊ง” โอเว่นเดินไปที่รถของตนแล้วขับออกไป
ทางด้านลีโอนาร์ดที่อุ้มร่างไร้สติของเฟื่องลดาไปยังห้องซึ่งอยู่ติดกับห้องของตนก็ค่อยๆ วางร่างเล็กลงบนที่นอนนุ่มอย่างทะนุถนอมแล้วหันไปสั่งสาวใช้ให้เข้ามาดูแลเช็ดเนื้อเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอเป็นการใหญ่ อูโก้ส่งกระเป๋าเดินทางของเธอให้สาวใช้นำไปเก็บอย่างรู้หน้าที่สองหนุ่มจึงเดินเลี่ยงไปที่ห้องทำงานและเป็นห้องสมุดของคฤหาสน์ จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าลีโอนาร์ดเป็นคนชอบอ่านหนังสือ
“นายทำดีมากแต่เสี่ยงเหลือเกิน ฉันยิ่งถูกเพ่งเล็งว่าเป็นเจ้าพ่อขาใหญ่อยู่นะ”
“ก็ดีแล้วไงครับ ผมจะได้ทำงานง่าย”
“นี่คิดจะใช้ฉันเป็นตัวล่อเป็นตัวสร้างข่าวฉาวเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจรึไง”
“ทำไมรู้ทันเรื่อยเลย” อูโก้หัวเราะเบาๆ
“เอาเป็นว่าฉันจะอยู่ที่นี่สักพักนะ นายอยากทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้ฉันเดือดร้อน ช่วงนี้ขอพักร้อน”
ลีโอนาร์ดยิ้มกว้างเมื่อคิดถึงคนที่นอนอยู่อีกห้อง อูโก้เห็นท่าทางของคนอยากพักร้อนแล้วก็ได้แต่ขบขันหวังว่าการพักร้อนของลีโอนาร์ดจะเป็นสุข เพราะดูจากท่าทางของหญิงสาวชาวไทยคนนั้นแล้วดูพยศไม่น้อยเลยทีเดียว...
เปลือกตาบางที่ประดับด้วยแพขนตางามงอนค่อยๆ กระพือขึ้นช้าๆ ก่อนจะเบิกกว้างเมื่อเห็นเพดานห้องไม่คุ้นตา เฟื่องลดาผวาขึ้นจากที่นอนนุ่มทันทีหันซ้ายหันขวาสำรวจรอบกายอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัวก่อนจะก้มสำรวจตัวเองแล้วถอนใจเมื่อเธออยู่ในสภาพที่เรียบร้อยไม่มีร่องรอยบาดเจ็บร้ายแรงอะไร และไม่มีรอยถูกสุนัขกัด นอกจากเจ็บที่แขนเล็กน้อยอาจจะเป็นเพราะตอนที่เธอล้มลงเท้าแขนลงกับพื้นแขนข้างซ้ายของเธอจึงมีรอยถลอกนิดหน่อยแต่ก็เห็นว่ามันถูกทำความสะอาดและทายาแล้วเรียบร้อย...
