ตอนที่ 2 หรือมันคือแค่การแสดง (2)
ทั้งที่หญิงสาวไม่ได้ใส่ชุดล่อแหลมแถมยังนอนเฉยๆ แค่ได้สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเธอก็ทำเอาเขาเป็นได้มากขนาดนี้ อันตรายจริงๆ
เขาไม่ควรเข้าใกล้เธอ...
แม้จะบอกอย่างนั้น การสั่งตัวเองนั้นทำได้ แต่สั่งคนเป็นพ่อนั้นไม่ได้เลย วันไหนมีเรียนบ่าย ท่านก็ใช้ให้ไปส่งเขมิกาที่โรงเรียน วันไหนมีเรียนเช้า ตอนเย็นก็ให้ไปรับหญิงสาวที่โรงเรียน แถมวันไหนพ่อของเขาติดงานจนต้องกลับบ้านดึก ท่านก็บอกให้พวกเขาออกไปหาอะไรกินข้างนอกบ้าง และจัดการจองร้านและโต๊ะไว้ให้เรียบร้อย
“พ่อกำลังคิดจะทำอะไรครับ” ไตรทศถามคนเป็นพ่อขึ้นในวันหนึ่ง หลังจากที่สังเกตดูแล้ว ท่านให้เขาออกไปโน่นมานี่กับเขมิกา รวมไปถึงการออกไปกินข้าวนอกบ้านตามลำพังบ่อยเกินความจำเป็น
“คิดจะทำอะไร” นายทศพลยังตีหน้าซื่อเปิดหนังสือในมืออ่าน ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองลูกชาย
“ทำไมต้องชอบให้ผมไปไหนมาไหนกับยัยขวัญข้าวด้วย”
คราวนี้นายทศพลปิดหนังสือและวางมันลงบนโต๊ะ ถอนแว่นตาและวางมันลงบนหนังสืออีกที ก่อนจะหันมามองคนเป็นลูกชายด้วยสีหน้าจริงจัง
“เรามีกันอยู่แค่นี้ แกก็ต้องหัดดูแลน้องเอาไว้บ้าง ไม่ใช่ตั้งแง่รังเกียจตลอด ถามจริงๆ ทำไม”
“งั้นผมก็ถามพ่อบ้างว่าทำไมถึงเอาเด็กคนนี้เข้ามาในบ้าน และทำไมพ่อต้องดูแลเอาใจใส่เธอมากกว่าผมที่เป็นลูกแท้ๆ ด้วย อย่าบอกน่ะว่าพ่อเลี้ยงเธอเพื่อ...” ไตรทศหยุดคำพูดเอาไว้แค่นั้น เมื่อเห็นสีหน้านิ่วคิ้วขมวดของคนเป็นพ่อ
“เพื่ออะไร พูดมันออกมา” นายทศพลบอกอย่างใจเย็น แม้จากน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงออกของลูกชายทำให้เขาพอจะเดาได้รางๆ ว่าประโยคต่อจากนั้นคืออะไร
“แทนแม่ของผม” พูดจบก็หลบสายตาทันที และเตรียมตัวเตรียมใจโดนสวดบทใหญ่ ทว่ากลับไม่ใช่ พ่อเขาไม่บ่น ไม่ด่า และที่สำคัญไม่ปฏิเสธด้วย
หรือที่เขาเดามันจะเป็นเรื่องจริง
“อะไรทำให้แกคิดอย่างนั้น”
“ผมเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น” ไตรทศมองคนเป็นพ่ออย่างจับผิด และรอฟังว่าต่อไปท่านจะพูดยังไงต่อ ปฏิเสธหรือให้เขาทำใจยอมรับเด็กสาวอายุเพียงแค่สิบห้าเป็นแม่เลี้ยง
“พ่อก็เชื่อในสิ่งที่พ่อคิดและทำ ปฏิเสธไปแกก็คงไม่เชื่อใช่ไหม”
ไตรทศใช้ความเงียบเป็นคำตอบ นายทศพลจึงหัวเราะในลำคอแล้วยื่นมือไปตบไหล่ลูกชายหนักๆ “สักวันแกจะรู้เองว่าสิ่งที่พ่อพูดมันคือเรื่องจริง และเรื่องจริงอีกเรื่องที่แกไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็คือ ถ้าพ่อไม่อยู่แล้ว แกต้องคอยดูแลหนูขวัญข้าว”
“พูดอะไรครับ พ่อรับมาเองก็ดูแลเองสิ จะมาโยนภาระให้ผมทำไม” ไตรทศพูดเหมือนไม่ใส่ใจ แต่จริงๆ แล้วเขากำลังบอกทางอ้อมว่า ท่านจะไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
“คิดว่าพ่อเป็นอมตะหรือไง ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องไปสักวัน” นายทศพลพูดเสียงกลั้วหัวเราะไม่สนใจว่าลูกชายจะคิดมาก จนโดยอีกฝ่ายปราม
“พอเถอะพ่อพูดอะไรก็ไม่รู้” ไตรทศตัดบทสนทนา เพราะยิ่งพูดคนเป็นพ่อก็ยิ่งเลอะเทอะ
“ขวัญข้าวเป็นเด็กที่น่าสงสาร”
จู่ๆ ท่านก็พูดขึ้นลอยๆ และในขณะที่กำลังตั้งใจจะฟังต่อ ท่านกลับเงียบไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น “ถ้าเรื่องก่อนหน้าที่พ่อพูดเป็นความจริง ก็ภาวนาอย่าให้ความสงสารกลายเป็นความรู้สึกอื่นก็แล้วกันนะครับ”