๘ เจ็บจนชา (๑)
๘
เจ็บจนชา
ผลิตภัณฑ์ใหม่กำลังจะออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด เขาจึงมีงานเพิ่มกองเป็นตั้งอยู่บนโต๊ะ จนไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้ แต่เมื่อทราบว่ามีการถ่ายภาพโฆษณาอาหารแช่แข็งกับพีเอครีเอทีฟจึงรีบออกจากบริษัท ตรงไปยังที่หมายซึ่งอาจได้พบกับปริณดา
เขาไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร...
สิ่งที่พอจะคิดออกตอนนี้คือต้องโผล่หน้าไปให้เธอเห็นบ่อยๆ แต่การงานก็รั้งเอาไว้ไม่ยอมให้ไปเจอดวงหน้าหวาน ไม่รู้ป่านนี้กองปราบจะทำคะแนนไปถึงไหนแล้ว
“สวัสดีค่ะคุณฌาร์ม มาดูงานด้วยตัวเองอีกแล้วเหรอคะ” รีบก้าวขึ้นมาชั้นสอง กวาดสายตามองทั่วห้องแต่กลับไม่พบหญิงที่อยากเจอ
อรญาเป็นคนรับผิดชอบงานนี้โดยตรง พอเห็นรองประธานเดินเข้ามาดูงานเองก็รีบทักทาย ร่างสูงเลือกพยักหน้าแต่สายตาไม่ได้มองคู่สนทนาสักนิด
“ครับ”
แม้เขาจะเคยมาดูงานเองบ้าง แต่รู้ดีว่าช่วงนี้ฌาร์มค่อนข้างยุ่ง เธอจึงประหลาดใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวเข้ามาในสตูดิโอถ่ายทำ
ทว่ายังคุยกันได้ไม่ถึงไหน ประตูก็เปิดออกเรียกความสนใจจากท่านรองฯ ได้เป็นอย่างดี รีบหันขวับมองทางด้านหลังรวดเร็ว พบร่างแบบบางเดินเข้ามาข้างใน โดยข้างกายหล่อนมีผู้ติดตามที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์มาด้วย
“พี่ปราบจะนั่งรอจริงเหรอคะ น่าจะอีกนานกว่างานปลายจะเสร็จ” วันหยุดที่ไม่มีงาน หนุ่มนักบินขันอาสาเป็นคนรถให้ปริณดาด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าหล่อนจะไปไหนเขาก็ยินยอมพร้อมใจไปด้วย จะได้มองดวงหน้าหวานไม่คลาดสายตา
รู้สึกว่าคะแนนของตนเริ่มตีตื้นผู้ชายในอดีตของหล่อน ถึงไม่ทราบว่าเป็นใคร...
แต่เชื่อว่าตนต้องดีกว่าแน่นอน
“วันนี้พี่ไม่มีบิน ยังไงก็เป็นวันพัก...อีกอย่างอยากมาดูงานของปรายด้วย พี่ว่าน่าสนุกดีนะ” คนที่เงี่ยหูฟังถึงกับหน้าตึงมากกว่าเดิม รู้ว่าเป็นเพียงข้ออ้างของผู้ชายที่พยายามมาเกาะแกะแฟนเก่าตนแค่นั้น
ฌาร์มนิ่งเงียบแล้วพยายามพุ่งความสนใจไปที่งาน แต่เหตุผลของการมาที่นี่ก็เพื่อมาเจอปริณดา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนทั้งคู่ตลอดเวลา อยากเดินเข้าไปแทรกกลางยังพยายามข่มใจตัวเองเอาไว้ ไม่อยากตกเป็นเป้าความสนใจของผู้อื่น
โดยไม่รู้เลยว่าทุกคนที่อยู่ในสตูดิโอให้ความสนใจกับรักสามเส้ามากแค่ไหน
เพราะรู้ดีว่าฌาร์มเลิกกับเจ้านายของตน และกองปราบคือหนุ่มคนใหม่ที่กำลังจีบปริณดา สองหนุ่มเจอกันแบบนี้จะเกิดการชิงนางหรือเปล่า...
“งั้นนั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ” เหลือบมองพบว่าร่างบางหยิบเก้าอี้มาให้กองปราบนั่ง พร้อมยิ้มหวานจนรองประธานรูปหล่อถึงกับกัดฟันกรอด
พยายามสนใจงานของตัวเอง ยืนนิ่งอยู่หน้าเซ็ทพร้อมยกมือขึ้นกอดอก ดวงหน้าคมเคร่งขรึมไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดคุยด้วย กระทั่งอรญายังต้องขยับออกห่างร่างสูง
รู้สึกได้ถึงรังสีร้อนที่แผ่ออกจากกายหนา...
หล่อนจัดที่นั่งให้กองปราบเรียบร้อย จึงคิดจะเริ่มทำงาน ทว่าพอเห็นแผ่นหลังกว้างที่คุ้นเคย ริมฝีปากก็เหยียดตรง เท้าหนักจนไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้ เลือกยืนนิ่งอยู่ที่เดิมนานนับนาที จึงรวบรวมสติและความกล้า เข้าไปทักทายอดีตแฟนหนุ่ม เพื่อไม่ให้คนในที่นี้เอาไปพูดลับหลังได้ว่าจบกันแบบไม่ดี
ถึงเขาจะไม่ได้รักเธอ แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นมองฌาร์มในแง่ร้าย....
ตนยังมีความหวังดีให้แก่เขาเสมอ และรักไม่เสื่อมคลาย
“พี่ฌาร์ม มาดูงานเหรอคะ” เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มหลังสูดลมหายใจเรียกความกล้าให้ตัวเอง ทำเหมือนไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว ทั้งที่ตอนนี้ตื่นเต้นเป็นอย่างมากกับการเผชิญหน้า
สามเดือนที่คิดว่าตัดขาดได้ ความจริงแล้วยังเฝ้าคะนึงหาแต่ชายหนุ่ม ไม่มีสักคืนที่จะลืมอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของอีกฝ่ายได้
“ใช่” เลือกตอบเพียงสั้นๆ
พอจะชวนเธอคุยก็ไม่ทันเมื่อปริณดาเดินไปหาอรญาเรียบร้อยแล้ว จึงยืนมองหน้าจอมอนิเตอร์ที่ถ่ายภาพอาหารของตนออกมาได้น่ารับประทานเหลือเกิน
ร่างสูงค่อยถอยหลังเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่ามองหญิงสาวไม่ถนัด พอเหลียวไปดูกองปราบ ก็พบหนุ่มนักบินเอาแต่จ้องคนรักเก่าของตนตาไม่กระพริบ สร้างความหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก
แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะสถานะของเราเป็นเพียงพี่น้อง...
สิ่งเดียวที่เขาต้องทำตอนนี้คือจ้องร่างบางเพื่อระวังความปลอดภัยให้เธอ คนอย่างกองปราบมองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี
“ปลาย...เธอรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ที่หลังบ้างไหม” อรญาละสายตาจากงานที่ทำ มองรอบห้องแล้วพบว่าหนุ่มหล่อสองคนต่างจ้องเพื่อนของตนเป็นตาเดียว เล่นเอาต้องก้มมากระซิบคนข้างกายเพื่อถามไถ่
“ทำไม”
“ทั้งคุณฌาร์มทั้งคุณปราบจ้องเธอเขม็งเลย ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไง” พูดเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน หล่อนจึงหันไปมองทั้งกองปราบและฌาร์ม พบว่าสองสายตากำลังจ้องมาที่ตนจริง จึงรีบหลบสายตาแล้วกลับมาสนใจงาน
สำหรับหนุ่มนักบินพอเข้าใจ ทว่าทำไมท่านรองฯ ที่แสนเย็นชาถึงมองเธอล่ะ...
เขากำลังหวงก้างหรือเปล่า
รีบส่ายศีรษะกับความคิดนั้น ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเมื่อรู้เต็มอกว่าไม่ได้ถูกเขารัก จึงรีบบอกปัดแล้วพุ่งความสนใจไปที่งานของบริษัทแลนด์ฟู๊ด ไม่อยากฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้
“ทำงานเถอะ ไม่อยากคิดอะไรแล้ว” รีบทำงานของตัวเอง ไม่เหลียวกลับไปมองร่างสูงทียังคงจ้องตนไม่ละสายตา ทั้งที่บอกมาดูงานแต่เหมือนไม่สนใจผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์ครั้งนี้
ไม่รู้ว่าหล่อนควรดีใจหรือเปล่าที่สามารถทำให้ฌาร์มสนใจตัวเองได้...
“สวัสดีครับ ครับ ผมจะรีบไป” จังหวะที่กอดอกมองแผ่นหลังบาง กลับมีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์พอดีจึงต้องรับสาย พอทราบว่าเกิดปัญหาที่โรงงานจึงรีบผละไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้บอกลาเสียด้วยซ้ำ
จนปริณดาที่ได้ยินเสียงฝีเท้าและประตูที่เปิดพร้อมกับปิดลงเสียงเบาต้องเหลียวมอง ดวงตากลมฉายแววเสียดายอย่างเห็นได้ชัด อรญาที่ยืนข้างกันสังเกตเห็น รีบสะกิดพร้อมกระซิบถามที่ข้างหู
“มองตามตาละห้อย นึกว่าเลิกรักเขาแล้วซะอีก”
“ถ้าตัดใจมันง่ายเหมือนตัดกระดาษก็ดีน่ะสิ...ฉันจะได้ไม่ต้องเจ็บอยู่แบบนี้” พึมพำเสียงเบา
ความรู้สึกรักมันตัดกันไม่ได้ง่ายหรอก ไม่อย่างนั้นห้าปีที่ผ่านมาเธอคงลืมเขาไปแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่เห็นหน้าก็ตกหลุมรัก จนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะลบเลือน ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่จึงจะสามารถลบฌาร์มออกไปจากใจได้
“แต่เธอก็ยังมีคุณปราบที่พร้อมเข้ามาดามใจนะ”
ถึงจะมีชายอื่นอยู่ข้างกาย หัวใจก็ยังดื้อรั้นจะไปอยู่ข้างเขาทุกที...
แต่ล่ะวันผ่านไปด้วยความเหนื่อยล้า งานหนักจนไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำตามความต้องการของตัวเอง เขาพยายามจะติดต่อปริณดาผ่านโทรศัพท์ แต่ทั้งเบอร์และข้อความก็ถูกบล็อกเอาไว้หมด
เพิ่งรู้จักความเจ็บปวดก็ตอนนี้แหละ...
เธอปิดโอกาส ไม่ยอมให้เขาได้เริ่มต้นใหม่ ทั้งยังดูเหมือนว่าหญิงสาวจะไปได้ดีกับกองปราบ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด
ภาพที่ชายอื่นได้ไปเที่ยวกับปริณดาสร้างความรำคาญใจให้ฌาร์มเป็นอย่างมาก เมื่อวันนี้ว่างจึงคิดวิธีเพื่อจะได้เจอหน้าร่างบาง แต่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
กระทั่งมีสายโทรศัพท์เรียกเข้าที่ช่วยชีวิตตน...
‘วันนี้ว่างไหม ฉันว่าจะชวนมากินข้าวที่บ้าน’ เพียงแค่ต้นเดือนเอ่ย เขาก็รีบตกปากรับคำทันที
“ว่าง เดี๋ยวรีบไป” เก็บเอกสารที่ยังอ่านไม่จบ กดวางสายแล้วรีบไปยังบ้านต้นตระการด้วยรอยยิ้มกว้าง ระหว่างทางเจอผลไม้จึงแวะซื้อไปฝาก ปากหยักยกยิ้มมีความสุข เพียงแค่คิดว่าจะได้เจอหน้าปริณดาอีกครั้ง
รถยนต์เลี้ยวเข้ามาในบ้านหลังงาม จอดที่ด้านหน้าแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกระเช้าผลไม้ เดินอย่างองอาจเข้าไปข้างใน คิดจะยิ้มให้ทุกคนแต่กลับพบหน้าของกองปราบซะก่อน รอยยิ้มจึงหุบลงทันที
ผู้ชายคนนี้มาได้อย่างไร...
“เพื่อนผมมาพอดีเลย” ต้นเดือนหันมาเจอฌาร์มก็รีบลุกจากโซฟา เดินมากอดคอเพื่อนสนิทพร้อมกับยิ้มกว้าง
ร่างบางไม่นึกว่าเขาจะมากินข้าวด้วยเพราะพี่ชายไม่ได้บอกก่อน เริ่มอึดอัดกับสายตาของคนตัวสูงที่จ้องนิ่ง ก่อนเคลื่อนสายตาไปหยุดยังกองปราบซึ่งนั่งข้างหล่อน
ไม่ชอบ...ไม่ชอบใจสักนิด
“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ผมซื้อผลไม้มาฝากครับ” ยกมือไหว้ประมุขทั้งสองด้วยท่าทีนอบน้อม เขาเรียกท่านด้วยความสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อน จนต้นเดือนกลั้นยิ้มเอาไว้แทบไม่อยู่ รู้ดีว่าเพื่อนของตนพยายามเอ่ยถึงสถานะเก่า
ว่าเคยเป็นแฟนกับน้องสาวของเขามาก่อน เพื่อให้กองปราบทราบและยอมถอย
“ขอบคุณมากนะลูก มามือเปล่าก็ได้ไม่เห็นต้องเอาอะไรมาฝากเลย ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น” คุณรุ่งรดาเดินเข้ามารับของแล้วให้แม่บ้านนำไปเก็บในห้องครัว ยังคงเอ็นดูฌาร์มเหมือนเดิมถึงจะเลิกกับลูกสาวของตนไปแล้วก็ตาม
“ยังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก นี่ฌาร์มเพื่อนของผมเองครับ ส่วนนี่คุณปราบเพื่อนข้างบ้าน” กองปราบมองชายที่มาใหม่ด้วยแววตาไม่ไว้วางใจ
เขาสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง ทั้งบรรยากาศที่เปลี่ยนไป และสายตาของปริณดาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
มีอะไรที่เขาไม่รู้หรือเปล่า
“สวัสดีครับ” ค้อมศีรษะแล้วเอ่ยทักทาย แต่ฌาร์มเลือกจะพยักหน้าโดยไม่ตอบอะไรกลับ ปรายตามองกองปราบแล้วค่อยหันไปทางอื่น ประกาศความเป็นศัตรูชัดเจนจนหนุ่มนักบินรู้สึกไม่ชอบหน้าเพื่อนของต้นเดือน
ร่างบางไม่กล้ากระทั่งจะมองดวงหน้าคมที่ตนคิดถึง เธอพยายามตัดขาดจากเขา อีกทั้งชายหนุ่มก็ไม่ค่อยมาให้เห็นหน้า เรื่องระหว่างเราจบลงแล้ว
แต่เหมือนยังจบไม่สมบูรณ์
“มาครบแล้วก็ไปกินข้าวกันดีกว่า หิวแล้ว” คุณปรีชาทนความอึดอัดไม่ไหว ต้องเอ่ยชวนทุกคนไปรับประทานอาหารเมื่อถึงเวลา โดยมีสองหนุ่มเพื่อนซี้เดินรั้งท้าย ท่านรองฯ รีบกระซิบถามต้นเดือนอย่างรวดเร็ว พยายามเบาเสียงที่สุด
“นายทำไมไม่บอกว่ามีใครมาบ้าง”
“ฉันจะไปรู้เหรอ ตอนมันมาส่งยัยปลายที่บ้าน ม้าก็ชวนกินข้าวพอดี ฉันจะทำอะไรได้บ้างล่ะ” ช่วงนี้กองปราบหมั่นทำคะแนนมาหาน้องสาวเขาทุกครั้งที่ว่าง คุณรุ่งรดาก็เปิดไฟเขียวเต็มที่ คนเป็นพี่ชายไม่อาจเอ่ยขัดอะไรได้
อีกอย่างกองปราบก็เป็นคนดี ถ้าได้ลงเอยกันเขาก็ไม่ขัดข้อง ถึงตนจะสนับสนุนเพื่อนสนิท ทว่าต้องแล้วแต่การตัดสินใจของน้องสาว
เมื่อฌาร์มไม่ยอมเริ่มสักที...
ช่วยไม่ได้หากพลาดโอกาสนี้ไป
“วันนี้มีคนร่วมโต๊ะเยอะเลย ม้าลงครัวเองทำสุดฝีมือลองชิมดูนะ” กองปราบไม่พลาดโอกาสนั่งข้างร่างแบบบาง ทำให้ฝั่งตรงข้ามปริณดากลายเป็นฌาร์มที่จับจอง ข้างเขาคือเพื่อนสนิทที่ถึงกับเผยอปากค้างเมื่อเห็นอาหารนับสิบเมนูบนโต๊ะ
เลี้ยงคนได้ทั้งหมู่บ้านกระมัง ไม่รู้มารดาว่างจากงานหรืออย่างไรถึงเข้าครัวแสดงฝีมือด้วยตัวเอง คงคิดจะชวนกองปราบมารับประทานอาหารด้วยกันตั้งแต่แรก
“ผมนึกว่าน้องปลายทำซะอีก” ปากหวานไม่พอ สายตายังเหลียวมองคนข้างกาย พร้อมกับยิ้มให้หล่อนอีกต่างหาก
แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งถึงความรู้สึก ช่างต่างจากเพื่อนของเขาเหลือเกิน จนอยากให้ฌาร์มแสดงออกบ้าง
“ปลายทำแค่ผัดเต้าหู้ค่ะ อยากกินเลยให้หม่าม้าสอน” รีบออกตัวแล้วก้มหน้ากินข้าว รับรู้ถึงสายตาคมของคนที่นั่งตรงข้าม เขายังมองหล่อนไม่หยุดตั้งแต่มาถึงบ้าน ไม่รู้ว่าต้องการจะพูดอะไรกันแน่
“พี่ขอชิมหน่อยล่ะกันนะ...อื้ม อร่อย สงสัยต้องมาฝากท้องที่บ้านนี้ทุกวันแล้ว” รีบเอื้อมไปตักผัดเต้าหูเข้าปากทันที เพียงแค่ลิ้มรสก็รีบเอ่ยชมจนคนตัวเล็กทำหน้าไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าเขาชมจริงหรือแกล้งยอหล่อน
“กินที่อื่นบ้างก็ได้ครับ มากินบ่อยเดี๋ยวจะเอียน” ต้นเดือนได้ฟังก็ต้องรีบขัดแทนเพื่อนของตน เห็นชัดว่าฌาร์มไม่ชอบใจแต่ไม่กล้าพูดอะไร ช้อนส้อมในมือถูกกำแน่นจนแทบจะงอตามแรงแล้ว