๖ ถึงคราวบอกลา (๒)
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานเท่าไหร่ แต่ร่างบางก็เลือกจะเช็ดหน้าเช็ดตา คว้าไอแพดมาเปิดซีรี่ส์ตามที่บอกมารดา ถึงไม่ทราบว่าใครมาเคาะประตูก็ตาม ในใจแอบหวังว่าเป็นฌาร์มแต่ก็คิดเขาคงไม่ขึ้นมาหาตนเองหรอก
ชายหนุ่มมาบ้านเธอหลายครั้งแต่ไม่เคยคิดจะขึ้นมาบนห้องนอนของหล่อนเลย การอยู่ด้วยกันของเรามักมีเพียงเธอกุมบทสนทนาทั้งหมดเอาไว้ ส่วนร่างสูงเป็นผู้ฟังที่ดี แทบไม่พูดหรือเล่าเรื่องราวในแต่ละวันว่าผ่านอะไรบ้าง
นึกว่าเขาชอบฟัง แต่พอลองย้อนพินิจดูอีกครั้ง...
ฌาร์มคงไม่ต้องการแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตของเขาให้หล่อนทราบ
“ฮึก พี่ต้น” เปิดประตูออกมาพบกับพี่ชายที่ทำหน้าฉงน แล้วเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของน้องสาวเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา เข้ามาปลอบปะโลมทันที นึกเป็นห่วงว่าเกิดเรื่องร้ายแรง เพราะครั้งล่าสุดที่เห็นหญิงสาวร้องไห้ปานจะขาดใจคือวันที่รู้ว่าฌาร์มจะแต่งงาน
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เมื่อตอนเย็นยังกินข้าวพูดคุยกันสนุกสนาน ตกดึกทำไมถึงปล่อยโฮได้ล่ะ
“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรเราหรือเปล่า”
“ไม่ ดูซีรี่ส์แล้วมันเศร้า” คำตอบของปริณดาเล่นเอาคนตัวสูงถึงกับทอดถอนใจด้วยความระอา นึกว่ามีเรื่องร้ายแรงซะอีก
ที่แท้ก็อินกับละครมากเกินไป
“โธ่ ยัยบ๊องเอ๊ย” เธอหลุดขำกับการเอามือเท้าสะเอวของพี่ชาย พยายามไม่แสดงพิรุธออกไป กลัวว่าถ้าพูดจะได้เลิกกับฌาร์ม
หล่อนไม่อาจเลิกกับเขาได้ ถึงจะอยู่ในสถานะแฟนที่รู้ว่าชายหนุ่มไม่ได้รักตนเลยก็ตาม
ตื่นเช้าด้วยตาที่บวมปูด เธอถึงกับต้องเอาน้ำแข็งมาประคบ ทั้งยังใช้ทักษะในการแต่งหน้าเข้าช่วยเพื่อกลบรอย พยายามสุดความสามารถจนส่องกระจกอีกครั้งจึงไม่เหลือร่องรอยที่บ่งบอกว่าร้องไห้ทั้งคืน
ลงมารับประทานอาหารเช้ากับครอบครัวด้วยความอ่อนล้า เธอไม่อยากขับรถไปเองจึงขอติดรถพี่ชายไปบริษัท ความอยากอาหารเป็นศูนย์จึงออกมารอต้นเดือนที่หน้าบ้าน พอมองออกไปนอกรั้วเห็นร่างสูงกระโดดไปมาพลางโบกมือทักทายก็นึกสงสัย จนต้องเดินเข้าไปหา
“สวัสดีครับคุณทราย” หากจำไม่ผิดเขาคือหนุ่มข้างบ้านที่เอาผลไม้มาให้เมื่อคืน
แต่ทำไมเรียกชื่อเธอผิดล่ะ!
“ปลายค่ะ สงสัยเมื่อคืนคงอยู่ไกลเลยไม่ได้ยิน” แก้ไขชื่อของตัวเองพร้อมกับหาเหตุผลแก้ต่างให้เขา ซึ่งกองปราบรีบขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็ว รู้สึกผิดที่เรียกหล่อนอย่างมั่นใจ แต่ดันเรียกผิดซะอย่างนั้น
อุตส่าห์เดินไปเดินมาทำทีมาทิ้งขยะเพื่อรอทักทายหญิงสาวโดยเฉพาะ...
“ผมขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย คุณกองปราบจะไปทำงานแล้วเหรอคะ” พอจะจำชื่ออีกฝ่ายได้จึงถาม
“เรียกผมว่าปราบเฉยๆ ก็ได้ครับ เรียกกองปราบเต็มยศแล้วฟังดูแปลกๆ” เขาพยายามจะลดทอนช่องว่างระหว่างเรา
แม้จะมีรั้วกั้นกลางเอาไว้ ก็ยังสอดส่องสายตาเข้ามาจ้องใบหน้าหวาน ถึงตนจะไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้าน แต่ดูเหมือนเดือนนี้จะมีวันหยุดเยอะกว่าปกติ บางครั้งคงต้องเอามาใช้ซะแล้วล่ะ
หวังเพียงสาวตรงหน้าจะยังโสด...
“ค่ะพี่ปราบ” เรียกอย่างเป็นกันเอง ก่อนโบกมือลาเมื่อพี่ชายเรียกให้ไปขึ้นรถ หล่อนส่งยิ้มให้เขาเป็นการปิดท้าย ทำเอาหัวใจของกองปราบถึงกับเต้นแรง ค่อยยกมือจับที่อกด้านซ้ายแล้วเพ้อพกถึงหญิงสาว
ขอให้เขาสมหวังในรักครั้งนี้ด้วยเถอะ
หลังจากวันนั้นผ่านไป เธอยังคงคบกับฌาร์มเกือบสามสัปดาห์ ทุกอย่างเป็นปกติดูไม่ออกเลยว่าชายหนุ่มฝืนใจคบ หญิงสาวจึงเลือกหลอกตัวเองอยู่อย่างนั้น แม้คำพูดของเขากับต้นเดือนจะดังก้องหูก็ตาม
หลายครั้งที่นอนร้องไห้จนตาแดงก่ำ ซึ่งทุกครั้งก็โทษบทละครที่เขียนเศร้าเกินไป นักแสดงก็ถ่ายทอดอารมณ์ดีจนหล่อนอิน
อย่างเช่นครั้งนี้ที่ร้องไห้เพราะเผลอฝันถึงคำพูดของฌาร์มที่บอกจะพยายามรัก...
ความรักของเราสวนทางกัน...
คนหนึ่งพยายามจะรัก ส่วนเธอก็พยายามจะเลิกรัก
แต่กลับทำไม่ได้...
เขาเคยพูดว่าตนเห็นแก่ตัวที่รั้งญาดาเอาไว้ คราวนี้เป็นเธอเองที่เห็นแก่ตัว รู้ว่าฌาร์มไม่รักแต่ก็ยังเลือกจะยื้อให้ชายหนุ่มอยู่ข้างกายไม่ยอมปล่อย
“พี่ฌาร์ม...” ทุกเที่ยงจะต้องมายังบริษัทของแฟนสุดหล่อ
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน หล่อนถืออาหารมาเต็มสองมือพร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่คนที่เงยหน้ามองกลับรีบลุกจากเก้าอี้เข้ามาเชยดวงหน้ามนขึ้นเพื่อให้เห็นถนัด ร่องรอยแดงยังเด่นชัดตามขอบตากลม จนนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“ทำไมวันนี้ตาแดงล่ะ ร้องไห้มาเหรอ” รู้ว่าไม่ควรดีใจ แต่ปริณดากลับยิ้มออกเมื่ออีกฝ่ายทักท้วง
เขาสนใจเธอแล้ว...
“อือ ดูซีรี่ส์ฉากเศร้า ร้องตั้งหลายชั่วโมง ขนาดเอาน้ำแข็งประคบกับแต่งหน้ายังไม่ช่วยอะไรเลย ดูสิ...” ผละออกห่างแล้ววางอาหารไว้บนโต๊ะ ค่อยเข้ามาโอบกอดร่างสูงเอาไว้ เอนศีรษะซบแผงอกกว้างเหมือนต้องการออดอ้อน
ปากหยักยกยิ้มนึกเอ็นดูหญิงสาว ค่อยยกมือขึ้นลูบผมนุ่มพลางเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง หลายครั้งที่เธอร้องไห้เพราะอินกับละครมากเกินไป
“พี่ก็นึกว่าเป็นอะไรมากซะอีก เพลาลงได้แล้วนะดูหนังเศร้าเนี่ย” ดูเหมือนว่าคำโกหกของหล่อนจะได้ผล จึงเผลอยิ้มก่อนจะเงยหน้าแล้วทำปากยื่น เอ่ยอ้อนเสียงเล็กเพื่อให้ดูน่ารัก เขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตที่คางสาก
“ปลอบหน่อย” คนฟังหลุดยิ้มทันที ค่อยโอบกอดร่างแบบบางแล้วโยกตัวไปมา
“โอ๋ๆๆ”
ยิ่งเขาดีกับเธอมากเท่าไหร่ หญิงสาวก็ยิ่งเสียใจมากเท่านั้นยามคิดว่าทุกอย่างมันคือความพยายาม ไม่ได้ออกมาจากใจจริง
อย่างเช่นที่เขาทำตอนนี้...เพราะเห็นหล่อนเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทเท่านั้น
“ปลายรักพี่ฌาร์มมากนะ รักมากๆๆๆ” ย้ำความรู้สึกของตัวเองให้เขาทราบ หล่อนบอกรักทุกครั้งที่มีโอกาส
ทว่าครั้งนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เอ่อล้นออกจากอก ดวงตากลมร้อนผ่าวกลัวว่าจะร้องไห้ต่อหน้าเขาจนต้องรีบซุกแผงอกหนาแทนการเงยหน้ามองดวงตาคม เมื่อไหร่หัวใจของเราจะตรงกันสักที เธอจะรอให้ถึงวันที่เขารักตนได้หรือเปล่า
มันต้องมีวันนั้นสิ...
“เราอย่าเลิกกันได้ไหม” ขอร้องเสียงสั่น เธอกลัวมาตลอดว่าสักวันเขาจะบอกเลิกตัวเอง ไม่ต้องการให้วันนั้นมาถึง
ปริณดายังอยากอยู่กับร่างสูงไปอีกแสนนาน แต่ก็ไม่รู้ว่าหล่อนจะทนเห็นแก่ตัวไปได้อีกนานเท่าไหร่ การอยู่กับคนที่ไม่ได้รักมันเหนื่อยแบบนี้เอง ถึงแม้ว่าเขาจะดีกับเธอก็ตาม
มีเพียงตัวแต่ไร้ซึ่งหัวใจ...
“อินกับซีรี่ส์ล่ะสิ” รับรู้ว่าหญิงสาวร้องไห้เมื่อเสื้อของตนเปียกชุ่มน้ำตา ค่อยเชยคางมนขึ้นแล้วบรรจงเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน
“ค่ะ” แย้มยิ้มออกมาทันที แล้วค่อยจ้องดวงหน้าคมตลอดเวลา ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปจากสายตาของตัวเอง
“ชีวิตจริงของเราต่างกับละครนะ อย่ายึดติดกับเรื่องพวกนั้นเกินไปจนเอามาคิดมากในชีวิตจริง” เตือนหญิงสาวแล้วค่อยผละออก คิดจะจับมือเธอแล้วจูงไปนั่งที่โซฟา ทว่าปริณดาเลือกถอยห่างจนมือหนาคว้าอากาศ
ตอนนั้นเองที่หัวใจของเขากลับรู้สึกวูบโหว่งอย่างประหลาด...
“ปลายไปทำงานดีกว่า พี่ฌาร์มจะได้ทำงานของตัวเอง ไว้ตอนเย็นเจอกันนะคะ” รีบโบกมือลาแฟนหนุ่มทันที เธอเช็ดน้ำตาของตัวเองพลางยิ้มกว้างให้เขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่อยากคาดหวังกับความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่หล่อนก็ไม่รู้จะทนได้นานอีกแค่ไหนเช่นเดียวกัน ถึงจะรักมากแต่การอยู่ในความสัมพันธ์ที่ต้องคอยคาดหวังตลอดเวลามันก็รู้สึกเหนื่อย หล่อนไม่อยากพยายามอีกแล้ว
“เย็นนี้พี่มีนัดกับลูกค้า คงกลับดึก” รีบบอกเธอทันที
เขามีนัดกับลูกค้าประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเรียกร้องมาว่าอยากไปสังสรรค์แล้วคุยธุรกิจด้วย ชายหนุ่มจำต้องตกปากรับคำ และคิดว่าคงจะกินเวลานานพอสมควร
“ปลายรอได้...ปลายจะไปรอพี่ที่ห้อง” ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ถึงชอบไปขลุกอยู่ที่ห้องของฌาร์ม เหมือนว่าเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะไม่ได้มาเยือนอีก
“คีย์การ์ด” เดินไปหยิบคีย์การ์ดให้หล่อนทันที ปริณดารับมาใส่กระเป๋าพลางเขย่งปลายเท้าจุมพิตที่แก้มสาก
“ขอบคุณค่ะ” โบกมือลาพลางเดินออกจากห้องทันที ปล่อยร่างหนามองตามแล้วค่อยแย้มยิ้มไม่รู้ตัว เดินมานั่งที่โซฟาเริ่มลงมือรับประทานอาหาร
พอคบกับหล่อนก็กินข้าวตรงเวลา ซึ่งปกติเขามักได้กินข้าวเที่ยงตอนบ่ายสองหรือบ่ายสาม ตามแต่จะว่างช่วงไหน หรือทำงานดึกก็เลือกจะเข้านอนโดยไม่กินมื้อเย็น ส่วนช่วงเช้าก็ดื่มแค่กาแฟกับขนมปัง
ทว่าเมื่อคบปริณดาที่เคร่งกับการรับประทานอาหารสามมื้อ ก็กลายเป็นติดกินข้าวทุกมื้อไปซะอย่างนั้น...
“คุณฌาร์มคะมีแขกมาขอพบค่ะ” ถึงเวลางานเขาก็นั่งประจำที่ เริ่มตรวจเอกสารที่เหลืออย่างเคร่งเครียด ค่อยหยิบโทรศัพท์มารับเมื่อมีสายจากเลขานุการหน้าห้อง สายตายังคงไล่อ่านตัวอักษรไปเรื่อยเพื่อประมวลผล
“ช่วงบ่ายผมไม่มีนัดไม่ใช่เหรอ” ถึงกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย คิดว่าตนจำไม่ผิด
มีนัดแค่ช่วงเย็นที่ต้องต้อนรับลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่น แล้วทำไมวันนี้ถึงมีคนมาหาโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า กำลังจะบอกปัดแต่ประตูก็ถูกเปิดออกซะก่อน
แอ๊ด
ดวงหน้าคมเงยมองคนที่เข้ามาใหม่ เผยอปากเล็กน้อยอย่างตกตะลึง นัยน์ตาเบิกกว้างแล้วค่อยวางสายโทรศัพท์ ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอตัวเป็นๆ อีกครั้ง หลังจากห่างหายไม่มาเจอหน้าร่วมห้าปี ถึงจะเห็นข่าวคราวทางโทรทัศน์
หรือข้อความเชิญไปงานแต่งก็ตาม...
“ถ้าเป็นดา...ฌาร์มจะให้เข้าพบไหมคะ”
“ญาดา...” พึมพำเรียกภรรยาเก่าเสียงเบาราวคนละเมอ
ขณะที่เจ้าของชื่อกลับแย้มยิ้มแล้วเดินมานั่งตรงข้ามเขา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเขาก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
กลับมารอที่ห้องของฌาร์ม โดยที่หล่อนไม่ได้นั่งเฉยอย่างเดียว เลือกจะทำความสะอาดเช็ด ถู ปัด กวาดครบทุกขั้นตอน เห็นเสื้อผ้ากองเต็มตะกร้าก็ไปจัดการให้ทุกอย่างจนถึงขั้นตอนการอบแห้งแล้วนำมารีดจนเรียบกริบ ไม่เคยทำให้ใครอย่างนี้มาก่อน
หญิงสาวพยายามหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลา นึกจะทำอาหารแต่ก็รู้ว่าสุดท้ายต้องทิ้ง เปลืองวัตถุดิบและแก๊ส เลยเลือกนั่งดูละครต่างประเทศ สลับกับหยิบโทรศัพท์เพื่อดูเวลา อยากทักไปถามแฟนหนุ่มก็กลัวว่าเขาจะยุ่ง
“ยังไม่มาอีกเหรอ...” หลับไปหนึ่งตื่น พอลืมตาพบว่าใกล้จะเที่ยงคืนจึงพึมพำด้วยความสงสัย ท้องเริ่มร้องประท้วงด้วยความหิว
“ลงไปซื้อของกินไว้รอพี่ฌาร์มดีกว่า” ข้างล่างคอนโดมิเนียมมีร้านอาหาร เธอจึงคิดจะไปฝากท้องที่นั่นแล้วซื้ออาหารมาไว้ให้คนรัก
ลงมาข้างล่างพลางสวมเสื้อคลุมสีเข้มของเขา จังหวะที่เดินออกมาจากคอนโดมิเนียม ทันเห็นรถป้ายทะเบียนคุ้นตาขับเข้าไปทางโซนจอดรถวีไอพีพอดี เธอมองตามแล้วอุทานเสียงเบา คิดจะเดินตามแต่ก็ต้องชะงักเท้า
“อ่ะ รถพี่ฌาร์มไม่ใช่เหรอ”
เลือกเดินไปซื้อของกินอย่างเร่งด่วน กลัวว่าเขาจะถึงบนห้องก่อนตัวเอง ไม่นานก็ถือกล่องอาหารขึ้นไปด้านบน ทั้งยังวิ่งจนหอบเพื่อพบความว่างเปล่า
“ทำไมยังไม่ขึ้นมาบนห้องอีกล่ะ” นึกฉงนเมื่อห้องยังคงว่างเปล่า หรือบางทีเขาอาจจะขึ้นมาไม่ได้เพราะไม่มีคีย์การ์ดหรือเปล่า คิดได้ดังนั้นจึงรีบโทรหาร่างสูงอย่างรวดเร็ว พลางกดลิฟต์เพื่อจะได้ไปรับชายหนุ่มขึ้นมาด้านบน
“ฮัลโหล พี่ฌาร์มทำไม...” รอไม่นานปลายสายก็รับ
เธอกำลังจะถามว่าทำไมเขาไม่ขึ้นมาสักที แต่อีกฝ่ายกลับพูดแทรกพร้อมกับปั้นน้ำเป็นตัวจนคนฟังชาดิกไปทั่วกาย
‘ขอโทษนะ พี่น่าจะกลับดึก ตอนนี้ยังคุยกับลูกค้าไม่เสร็จเลย ปลายนอนก่อนเลยก็ได้’
ฌาร์มโกหก...
มือบางที่จับโทรศัพท์เริ่มสั่น แต่ก็พยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้แสดงพิรุธจนเขาจับได้ ลิฟต์เคลื่อนตัวไปช้าๆ แล้วหยุดชั้นล่างสุด เธอเดินออกมาแล้วถามย้ำอีกรอบเพื่อให้เขาคิดก่อนตอบ เอ่ยอ้อนวอนในใจให้ชายหนุ่มพูดความจริง
อย่าโกหกกันเลย
“คุยงาน...ยังไม่เสร็จอีกเหรอคะ”
‘อืม’ จังหวะที่เขาเงียบไป เธอหวังว่าฌาร์มจะบอกว่าถึงคอนโดแล้ว แต่ชายหนุ่มเลือกจะตอบรับเสียงสั้นเหมือนพึมพำในลำคอ
ยิ่งทำให้คนฟังเจ็บปวดมากกว่าเดิม...
หล่อนเดินมายังลานจอดวีไอพีของเพนส์เฮ้าส์ จ้องมองช่องที่ควรว่างแต่กลับมีรถคันหรูจับจอง ไม่มีใครมาจอดแทนที่เขาได้หรอก นอกจากเจ้าของห้อง
“งั้นปลายนอนก่อนนะ” กลืนก้อนสะอื้นลงคอ ค่อยตอบเขาเสียงเบา เพราะตอนนี้หล่อนกำลังสะอื้นไห้กับความจริงที่เจ็บปวด
ไม่รู้ว่าบ่อยแค่ไหนที่เขาต้องมานอนอยู่ลานจอดรถโดยบอกกับเธอว่าทำงานที่บริษัท นึกย้อนดูแล้วก็มีหลายครั้งเหมือนกัน เพียงแต่ตนไม่เฉลียวใจเท่านั้นเอง
‘ครับ’ กดตัดสายทันทีเมื่อฌาร์มพูดจบ
ไม่อาจมองทะลุเข้าไปในกระจกสีทึบได้ เธอทำเพียงปิดปากแล้วปล่อยโฮยามหลบหลังเสา เขาอยู่แค่เอื้อมแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย
“ฮือ”
เลือกจะขึ้นมาบนห้องแล้ววางอาหารทั้งหมดไว้ที่โต๊ะ ล้มตัวลงบนโซฟายาวพลางหยิบหมอนมากอด ร้องไห้อย่างไม่อายด้วยความเสียใจ หัวใจเจ็บจนหายใจเข้าลำบาก มันปวดไปหมดเมื่อเห็นความจริงตรงหน้า
เขาพยายามมากเหลือเกินที่จะรักเธอ...
“ปลาย...ทำไมร้องไห้อีกแล้วล่ะ” หญิงสาวจมอยู่กับตัวเอง ร้องไห้จนเผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขาเรียกเสียงเบาข้างหู ค่อยเอื้อมมือเช็ดน้ำตาที่แห้งจนเหลือเพียงรอย
“พี่ฌาร์ม” พอลืมตาตื่นก็รีบผวาไปกอดร่างสูงทันที ไม่ทันให้เวลาเขาได้ตั้งตัว
“ใจเย็นนะ ร้องไห้ทำไมบอกพี่ได้หรือเปล่า”
“ฝันร้ายค่ะ” เลือกจะโกหก เหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลพบว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสองครึ่ง ไม่คิดว่าเขาจะนอนอยู่บนรถนานขนาดนี้
“พี่อยู่ตรงนี้ พี่อยู่ตรงนี้ไม่ต้องกลัว” กอดปลอบแล้วลูบแผ่นหลังบาง
รู้ว่าเธอเป็นคนอ่อนไหวแต่ไม่นึกว่าจะเป็นมากขนาดนี้ จนตนเองรู้สึกผิดที่ปล่อยให้หญิงสาวนอนร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
ยามเห็นน้ำตาของปริณดาก็ปวดใจ ไม่อยากให้เธอร้องไห้ อยากให้หล่อนมีเพียงรอยยิ้ม ในเมื่อเธอเหมาะกับความสุขมากกว่าความทุกข์ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมช่วงนี้ถึงคิดอย่างนั้น
หรือบางที...เขาอาจจะเริ่มรักคนในอ้อมกอดแล้วก็ได้
การมาทำงานในวันที่อ่อนแรงช่างกินพลังกายและใจเหลือเกิน หล่อนเดินเข้าบริษัทเหมือนร่างไร้วิญญาณ เลือกเข้าห้องทำงานของเพื่อนสนิทแทนการไปนั่งที่ห้องของตัวเอง คิดไม่ตกมาหลายวันว่าควรทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง
“ถามอะไรหน่อยสิเอม” เลือกทรุดกายลงบนโซฟา มองเพื่อนสนิทด้วยแววตาเหนื่อยล้า
“ว่ามา” เลือกปิดงานทุกอย่างแล้วสนใจเพื่อนที่อยู่ตรงข้าม
“ถ้าคบกับคนที่เขาไม่ได้รัก เธอยังจะทนคบเขาต่อไปหรือเปล่า” ชั่งใจอยู่หลายวันว่ามีความสุขกับการคบโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รักจริงหรือ เธอยังสามารถทนต่อสถานการณ์ที่น่าอึดอัดได้หรือเปล่า
การพยายามยิ้มทั้งที่ไม่อยากยิ้ม...มันเหนื่อยเหลือเกิน
“ไม่อ่ะ ยิ่งคบก็ยิ่งเจ็บ รู้เต็มอกว่าเขาไม่รักแล้วจะดันทุรังอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นมลพิษกับตัวเองทำไม สู้อยู่คนเดียวแล้วทำให้ตัวเองมีความสุขไม่ดีกว่าเหรอ...ถามทำไม หรือคุณฌาร์ม...” ส่ายหน้าแล้วพูดตามความคิดของตัวเอง แล้วเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ซะก่อน จึงปิดปากแล้วเอ่ยถึงบุคคลที่สาม
“เปล่าหรอก พอดีดูซีรี่ส์แล้วอินเลยมาถามเธอดูว่าจะตัดสินใจยังไง” แต่ปริณดาก็รีบแก้ต่างให้เขาอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องการให้เพื่อนมองฌาร์มไม่ดี
“อ้อ ก็นึกว่าไปเจอมากับตัวเอง แต่ฉันเห็นคุณฌาร์มเขาก็ดูแลเทคแคร์เธอดีนะ บางวันก็มารับที่บริษัทพาไปกินข้าวข้างนอกอีก”
“ฉันอ้อนน่ะ” ยิ้มเนือยแล้วบอกความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะตนขอ มีหรือที่ชายหนุ่มจะยอมมารับถึงหน้าบริษัท
“จ้ะ อวด คนอวดแฟน” แต่ดูเหมือนเพื่อนสนิทจะเข้าใจไปอีกทาง หล่อนจึงไม่อยากแก้ ให้เข้าใจไปแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน
“อีกหน่อยก็ไม่มีให้อวดแล้ว” พึมพำกับตัวเองเหมือนตกตะกอนกับความคิด
เธอไม่อยากแบกความรู้สึกนั้นเอาไว้บนบ่าอีกแล้ว ควรปลดพันธนาการแล้วปล่อยฌาร์มไปสักที พวกเราคงมีวาสนาต่อกันแค่นี้...
ร่างสูงเสร็จจากงานก็รีบมาตามนัดของปริณดาทันที เขาวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบนรูฟท็อปบาร์ที่มีคนนั่งประปราย บรรยากาศยามเย็นของกรุงเทพสวยน่ามอง ยิ่งเปิดไฟสว่างสมกับคำว่าเมืองศิวิไลซ์ แต่เขาไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่
เลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามกับคนรักที่คอยอยู่ก่อนแล้ว เธอยกค็อกเทลขึ้นจิบแล้วยิ้มให้เขา ดวงตากลมมองใบหน้าหล่อไม่คลาดเคลื่อน ราวกับต้องการจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ
ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยสมหวังกับรักแรก...
“ขอโทษที่มาสายนะ ช่วงนี้พี่ยุ่งกับอาหารตัวใหม่ที่กำลังจะวางขาย...มีอะไรพิเศษหรือเปล่าถึงนัดมาดินเนอร์ข้างนอก” ไม่บ่อยนักที่เธอจะชวนออกมากินข้าวนอกบ้าน ส่วนใหญ่หญิงสาวชอบซื้อเข้าไปกินที่คอนโดฯ หรือไม่อย่างนั้นก็ชวนไปกินข้าวที่บ้านมากกว่า
จึงคิดว่าต้องเป็นโอกาสพิเศษและสำคัญมากอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันคือความพิเศษอะไร
“ค่ะ พิเศษ” เธอตอบโดยที่แววตามีเพียงความว่างเปล่า ฝืนยิ้มให้เขาแต่ส่งไปไม่ถึงดวงตาด้วยซ้ำ ซึ่งชายหนุ่มมองไม่ออกว่าเธอกำลังต่อสู้กับจิตใจตัวเองเป็นอย่างมากว่าควรเดินหน้าหรือพอแค่นี้
“อะไรเหรอ”
“สั่งอาหารก่อนเถอะค่ะ” เปลี่ยนเรื่องทันที
หล่อนอยากให้โอกาสตัวเองได้อยู่กับฌาร์มนานกว่านี้ ต่อลมหายใจให้กันอีกหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์
พวกเขาสั่งอาหารอิตาเลี่ยนมาสองถึงสามอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าครั้งสุดท้ายที่อาจจะได้กินอาหารร่วมกันก็ยังเลือกเมนูอิตาเลี่ยน เหมือนครั้งแรกที่เจอกันแล้วอ้างว่าเขาเป็นแฟน
ตอนนั้นก็กินอาหารอิตาเลี่ยนจนเกลี้ยงจาน...
แค่คิดก็น้ำตาซึมจนต้องหันไปทางอื่นเพื่อแอบปาดน้ำตา เธอรักเขามากเหลือเกิน แต่ก็ไม่อาจเห็นแก่ตัวรั้งชายหนุ่มไว้ได้
“พี่ฌาร์มจำได้ไหมว่าเราคบกันนานเท่าไหร่แล้ว” คำถามแรกก็ทำให้คนตัวสูงนิ่งอึ้ง จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคบกันวันไหน เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่
“เอ่อ พี่ คือว่า...”
“ครบรอบสองเดือนที่เราเป็นแฟนกันแล้วค่ะ วันนี้...หกสิบเอ็ดวันพอดี ปลายเลยชวนมาฉลอง” หล่อนเฉลยวันเวลาพร้อมกับยกค็อกเทลขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
คิดไว้แล้วว่าคนตรงหน้าคงจำไม่ได้ แต่พอเจอสถานการณ์จริงก็ยิ่งเจ็บ
“อ้อ ขอโทษนะที่พี่จำไม่ได้” รู้สึกผิดกับหญิงสาวเมื่อเห็นว่าแววตากลมหม่นลง คิดจะเอื้อมไปจับมือบางแต่เธอก็รีบชักมือออกแล้ววางบนตัก ทำให้เขารู้สึกวูบโหวงในหัวใจอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ ปลายเข้าใจ” ยิ้มปลอบคนที่เอ่ยคำขอโทษ แม้ตัวเองจะแตกสลายมากแค่ไหนก็ไม่เคยถือโทษคนตรงหน้าเลย
“พี่ฌาร์มคะ ตั้งแต่เราคบกันมาสองเดือน ปลายบอกรักพี่ตลอดเลย...พี่บอกรักปลายบ้างได้หรือเปล่าคะ” พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้กลัวว่ามันจะไหล
คำถามนี้เหมือนปริณดากำลังอ้อนวอนเขา ขอเพียงแค่ชายหนุ่มบอกรัก...เธอก็พร้อมจะเดินเคียงข้างเขาเหมือนเดิม กำมือแน่นภาวนาให้อีกฝ่ายบอกรัก
“พี่...”
แต่เขาก็อึกอักไม่กล้าพูด จนเธอยิ้มแล้วปล่อยน้ำตาไหลเปื้อนแก้มจนต้องปาดออกอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจเด็ดขาดว่าควรปล่อยรักครั้งนี้ไปสักที
“เราเลิกกันเถอะค่ะ”
ฌาร์มนิ่งอึ้งไม่คิดว่าจะถูกบอกเลิก...เพียงเพราะตนไม่ได้บอกรัก