๕ คบเพราะรับผิดชอบ (๑)
๕
คบเพราะรับผิดชอบ
ฌาร์มเลิกงานเร็วจึงถูกปริณดารบเร้าให้มารับ เธอไม่ค่อยอยากขับรถยนต์เพราะเบื่อรถติดในเมืองหลวง จึงเลือกใช้ขนส่งมวลชนเพื่อง่ายต่อการเดินทางทั้งยังประหยัดอีกต่างหาก
ที่สำคัญจะได้มีข้ออ้างติดรถแฟนไปทำงาน และสามารถขอร้องให้เขามารับได้ ไม่เห็นจะมีข้อเสียตรงไหน น้ำมันก็ไม่ต้องเติม เงินในกระเป๋าแทบไม่พร่อง...ถ้าไม่หมดไปกับของกิน
ซึ่งส่วนมากเป็นร่างสูงที่คอยเลี้ยงดูปูเสื่อหล่อนอย่างดีมาตลอด
ระหว่างทางกลับบ้านก็ร้องเพลงคลอไปกับการเปิดวิทยุ เขาเองก็แปลกใจที่ปริณดาเลือกจะฟังเพลงจากวิทยุมากกว่าเลือกลิสต์รายการเพลงเอง เธอให้เหตุผลว่าชอบการสุ่มเพลงของดีเจ ทั้งยังได้รู้จักเพลงหลากหลายแนวไม่ซ้ำ จนตอนนี้หญิงสาวรู้จักเพลงลูกทุ่งเยอะกว่าเมื่อก่อน
“เดี๋ยวแวะไปกินข้าวบ้านพี่ก่อนนะ แม่อยากเห็นหน้าปลาย” อมยิ้มมุมปากตอนที่ร่างบางเต้นไปกับเสียงเพลง ถึงจะใช้แค่มือกับร่างกายท่อนบนก็ตาม หล่อนก็ยังดูสนุกสนานจนได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยถึงชะงัก รีบหันขวับมามองแฟนหนุ่ม
“ทำไมพี่ฌาร์มไม่บอกก่อนคะ จะได้เตรียมของไปให้คุณแม่ ดูสิ...ชุดปลายก็ไม่ค่อยสวยด้วย ไม่เป็นทางการ” ก้มมองชุดที่สวมใส่เป็นเพียงเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ ถึงมีเบลนเซอร์สวมทับเสื้อยืดก็ยังดูไม่น่าประทับใจกับการพบว่าที่แม่สามีครั้งแรกอยู่ดี
เธอเริ่มสอดส่ายสายตาเพื่อหาร้านเสื้อผ้า เผื่อแวะข้างทางแล้วจอดลงซื้อจะได้เปลี่ยนทันที อยากให้ท่านประทับใจ...
ทว่าอาจจะไม่ทันเมื่อฌาร์มเลี้ยวเข้ามาในซอยของหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าหวานฉายแววกังวลผิดจากอารมณ์สุนทรีเมื่อครู่ เหลือบมองคนรักแล้วทำได้แค่ทอดถอนใจพลางยกมือขึ้นกอดอกอย่างง้องอน
อุตส่าห์จะได้มาไหว้ฝากเนื้อฝากตัว กลับไม่มีของติดไม้ติดมือสักชิ้น ท่านจะหาว่าหล่อนเป็นคนไม่รู้จักความหรือเปล่า
“สวยแล้ว...แม่พี่ใจดีไม่ต้องคิดมากหรอก” ผละมือจากพวงมาลัยแล้วลูบศีรษะมนเป็นการปลอบ พวกเขาคบกันมาจะครบเดือนแล้ว ต่างเรียนรู้นิสัยของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มรู้ดีว่าปริณดาชอบให้กอดและลูบศีรษะ ไม่ว่าเธอจะอยู่ในอารมณ์ไหน พอถูกแฟนหนุ่มปลอบก็คลายความกังวลทันที เหมือนว่าเขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่หล่อนยอมเชื่อฟังหมดทุกอย่าง
โดยไม่มีข้อแม้...
ถึงเธอจะคิดมากเรื่องชุด แต่พอเจอคำชมของฌาร์มก็ทำให้ยิ้มแก้มปริ ดวงตากลมที่จ้องมองเสี้ยวหน้าคมมีเพียงความรักอย่างสุดซึ้ง
รถเลี้ยวเข้ามาในเขตรั้วบ้านหลังงาม เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาบ้านเขา ทั้งยังอยู่ในสถานะของแฟนอีกต่างหาก เผลอยืดอกอย่างภาคภูมิใจ กระทั่งพาหนะคันงามจอดลงตรงด้านหน้า โดยที่เธอยังคงเหลือบมองรูปปั้นเทพีแสนสง่าอยู่ลานหญ้ากว้าง
ค่อยหันมามองคนข้างกายที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัย ทำตามเขาอย่างเร่งด่วนเพื่อออกจากรถไปทักทายคนที่เดินออกมารออยู่หน้าบ้าน
เพิ่งสังเกตว่าบ้านของฌาร์มเป็นสไตล์อังกฤษ เน้นการออกแบบทรงคอทเทจ โทนบ้านจะเป็นสีอ่อนแสดงถึงความอบอุ่น ปีกกลางจะเด่นด้วยรูปลักษณ์ชวนมอง ขนาบด้วยปีกซ้ายปีกขวาที่หรูหราไม่ต่างกัน ทั้งยังมีศาลาริมน้ำให้พักผ่อนหย่อนใจ รอบบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมให้ความร่มรื่น
ไม่น่าเชื่อว่ามีเพียงมารดาของเขาอยู่ผู้เดียว ส่วนลูกชายขอย้ายไปอยู่คอนโดมิเนียมเพราะสะดวกในการเดินทางไปทำงาน
“มากันแล้วเหรอ” เจ้าของบ้านเดินออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง หล่อนจึงรีบยกมือไหว้ทันทีพร้อมยิ้มหวานเป็นการหว่านเสน่ห์ให้ผู้ใหญ่รักเอ็นดู
คุณพัชราภา ประมุขการณ์หัวเรือใหญ่ของบริษัท ผู้นำทางจนแลนด์ฟู๊ดขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าของธุรกิจภายในประเทศ เธอเริ่มธุรกิจกับสามีที่เสียชีวิตเมื่อสิบห้าปีก่อนด้วยโรคหัวใจ ท่านจึงครองตัวโสดมาโดยตลอด สนใจเพียงงานและลูกชาย ถึงจะมีคนเข้าหาไม่ขาดสายก็ปฏิเสธทุกคน
ความรักที่มีต่อสามียังไม่จางหาย จึงไม่อาจรักคนใหม่ได้...
“สวัสดีค่ะคุณน้า” ท่านรีบเข้ามากอดหล่อนอย่างรวดเร็วเหมือนเจอสมบัติอันล้ำค่า
ตลอดระยะเวลาห้าปีรู้ดีว่าฌาร์มยังคงกลัวการเริ่มรักครั้งใหม่ อีกทั้งหัวใจก็เต็มไปด้วยภาพความทรงจำของภรรยาเก่า ถึงอีกฝ่ายจะเริ่มต้นใหม่ไปนานแล้วก็ตาม
พอทราบว่าลูกชายกำลังคบกับน้องสาวของต้นเดือนจึงรีบเอ่ยปากให้พากลับมากินข้าวที่บ้าน เพื่อจะได้ทำความรู้จักว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไร
“น้าอะไรกัน เรียกแม่เถอะจ้ะ เราคนกันเองทั้งนั้นนะหนูปลาย” เมื่อท่านเปิดทาง มีหรือที่เธอจะไม่รีบคว้าเอาไว้ พยักหน้าแล้วเปลี่ยนคำเรียกทันที
“ค่ะคุณแม่”
คราวนี้คุณพัชราภาถึงกับยิ้มแก้มปริ มองลูกสาวคนใหม่ด้วยแววตาเอ็นดู เดินประคองกันเข้าไปในบ้านปล่อยลูกชายเดินตามหลัง เขาถึงขั้นส่ายศีรษะ รู้ทันทีว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นหมาหัวเน่า เมื่อท่านได้คนคุยถูกคอ
“ผมขอขึ้นไปบนห้องก่อนนะครับ” เขาพูดขัดคนทั้งสองที่เหมือนจะคุยกันจนลืมว่ายังมีคนเดินตาม คนเป็นแม่ทำเพียงพยักหน้าแล้วหันมาถามปริณดา
“เรามาคุยกันดีกว่า...แม่เพิ่งรู้ว่าฌาร์มคบกับหนู เป็นน้องสาวของต้นเดือนเหรอจ๊ะ” เพื่อนของฌาร์มมีไม่เยอะ เท่าที่สนิทกันจริงและไปมาหาสู่บ่อยก็เห็นจะมีแต่ลูกชายของบ้านต้นตระการอย่างต้นเดือน
ตอนแรกท่านก็นึกว่าไปหาเพื่อน
ที่ไหนได้...ไปจีบน้องสาวของเพื่อนสนิทซะอย่างนั้น
“ค่ะ หนูชื่อปลายปีค่ะ รู้จักกับพี่ฌาร์มมานานแล้วแต่เพิ่งคบกันจริงจังไม่กี่สัปดาห์ค่ะ เอ่อ ปลายขอโทษนะคะที่ไม่ได้ซื้อของมาสวัสดีคุณแม่” ยังคงติดใจเรื่องของจนต้องกล่าวขอโทษ แต่คุณพัชราภาไม่คิดมากสักนิด กลับเลือกจับจูงมือบางเข้าห้องอาหารเพื่อรับประทานขนมที่เตรียมไว้ต้อนรับอีกฝ่ายโดยเฉพาะ
อุตส่าห์ถามลูกชายว่าแฟนชอบกินอะไร กลับไม่ได้คำตอบจึงต้องทำแบบเดาสุ่ม หวังว่าปริณดาจะชอบ
“เรื่องแค่นี้เอง แม่ไม่ซีเรียสหรอกจ้ะ...แม่ทำขนมไว้ให้หนูเยอะเลย เราไปกินที่ห้องอาหารดีกว่า” ร่างบางเดินตามท่านโดยมีรอยยิ้มแต้มมุมปาก หนทางรักของเราดูสว่างสดใสไร้เมฆหมอกปกคลุม จนบางครั้งเธอก็นึกกลัวว่ามันอาจเป็นเพียงภาพลวงตา
นั่งคุยกับคุณพัชราภาสักพักเห็นว่าร่างสูงขึ้นห้องมานานจึงได้ขออนุญาตมาตาม คุณผู้หญิงของบ้านประมุขการณ์รีบบอกห้องของลูกชายเพียงคนเดียวทันที หล่อนจึงไม่รอช้าเดินขึ้นบันไดมายังชั้นสองที่โอ่โถงไม่แพ้ชั้นหนึ่ง
ก้าวมาทางด้านซ้าย พลางพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มที่แต้มมุมปากเป็นนิจ เธอรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากกับการจะได้เห็นห้องนอนของคนรัก
“ห้องพี่ฌาร์ม...อยู่ปีกซ้ายห้องแรก ประตูสีดำ อ่า ห้องนี้แน่นอน” หยุดอยู่หน้าประตูสีเข้ม กำลังจะยกมือขึ้นเคาะแต่เห็นว่ามันถูกแง้มเอาไว้เหมือนปิดไม่สนิท จึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปข้างในเสียงเบากลัวจะรบกวนเจ้าของห้อง
“ไม่ได้ปิดประตูด้วย”
กวาดสายตามองไปรอบห้องกว้างที่เป็นหกเหลี่ยม กรุผนังด้วยกระจกแต่ถูกม่านทึบปิดเอาไว้ มีแสงสว่างจากหลอดไฟบนเพดาน เตียงสี่เสาตั้งไว้กลางห้อง เน้นความหรูหราน่าจะเป็นรสนิยมของคุณพัชราภามากกว่าบุตรชาย
ไม่รู้ว่าเสียงฝีเท้าของเธอเบาไปหรือเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ แผ่นหลังกว้างเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าเช็ดตัวพันด้านล่าง หยดน้ำเกาะตามลำตัวบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ
ทำไมถึงไม่ไปเช็ดตัว...กลับเลือกมายืนอยู่หน้าโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง
เหมือนกำลังพินิจบางสิ่ง...
“พี่ฌาร์มคะ” ตัดสินใจเรียกเขา แต่กลับสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายยัดของบางสิ่งใส่ลิ้นชักแล้วปิดเสียงดังจนเธอถึงกับยกมือทาบอก
ปึง
“เข้ามาทำไมไม่เคาะประตูก่อน” ตวัดตามองอย่างไม่ชอบใจ หล่อนนิ่งไปสักพักแล้วค่อยเอ่ยราวกับคนไม่มีสติ
ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอมุมนี้จากฌาร์ม ทั้งที่ปกติเขาไม่ค่อยอารมณ์เสียใส่เธอเท่าไหร่...
“ขอโทษค่ะ ปลายลืม...” เธอทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรเอามือไว้ตรงไหนหรือหลบสายตาเขาดีไหม หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่อาจก้าวเข้ามาใกล้คนรักได้ เผลอกลืนน้ำลายลงคอข่มความกังวลของตัวเอง
สายตาของเขาที่มองหล่อนเมื่อกี้...ไม่มีความรักอยู่ในนั้นเลย
“ช่างเถอะ ตามสบายเลยนะพี่ไปแต่งตัวแป๊บเดียว” บอกปัดเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองพูดแรงเกินไป เลือกจะเดินเข้าห้องแต่งตัวพร้อมกำโทรศัพท์แน่น เธอมองตามเขาแล้วทำเพียงพึมพำเสียงเบาด้วยความน้อยใจ
“ค่ะ”
ปริณดาถือวิสาสะเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะขนาดเล็กข้างหัวเตียง จ้องมันอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังวัดใจตัวเองว่าจะกล้าเปิดดูหรือเปล่า ของข้างในที่ทำให้ร่างสูงอารมณ์ขึ้นจนเผลอมองหล่อนด้วยแววตาคมดุอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตัดสินใจเลื่อนลิ้นชักแล้วค่อยหยิบรูปที่พลิกคว่ำให้หงาย พอจะคาดเดาในใจได้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอดีตที่เขาไม่อาจลืมเลือนได้สักที
“รูปแต่งงาน...” จ้องดวงหน้าคมที่ยิ้มกว้าง ส่งความสุขจากปากไปถึงแววตา โดยที่เธอไม่เคยเห็นเขายิ้มแบบนี้กับตนเลยสักครั้ง
คนที่ใส่ชุดเจ้าสาวยืนข้างกันคือญาดา เจ้าสาวแสนสวยที่เป็นเหมือนอดีตซึ่งไม่อาจลบเลือนได้ของเขา ทั้งที่คบกับคนอื่นไปแล้วแต่ก็ยังซุกซ่อนอยู่ในใจฌาร์มเสมอ
ปริณดารีบปิดลิ้นชักแล้วเงยหน้ามองเพดาน กระพริบตาถี่ไม่ให้น้ำตาไหลประจานความอ่อนแอของตัวเอง ถึงจะเสียใจแค่ไหนก็ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้
ตลอดเวลาที่คบกันหล่อนพอจะมองออก แต่เลือกปัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง ขอเพียงแค่เขาอยู่ข้างตนก็พอแล้ว ความรักค่อยสร้างไปด้วยกันได้...
สักวันฌาร์มก็รักเธอเองนั่นแหละ
“ห้องพี่ฌาร์มสวยดีนะคะ แต่งแบบเรียบๆ” เหลียวไปมองร่างสูงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดไปรเวทธรรมดา แต่พออยู่บนกายหนาก็ดูดีขึ้นมาทันที
เธอพยายามชวนเขาคุยไม่ให้บรรยากาศเงียบ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ชอบให้คนอื่นบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว รีบโอบเอวบางพาเดินออกไปข้างนอกทันที
“ห้องพี่ไม่น่าสนใจหรอก เราลงไปข้างล่างดีกว่า”
“ค่ะ” ตอบอย่างว่าง่าย เหลียวมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน ถึงจะพยายามหลอกตัวเองแต่ก็รู้ถึงความจริงเป็นอย่างดี
ฌาร์มไม่ได้รักเธอ...
บอกลากับคนรักแล้วเดินเข้าบ้านด้วยท่าทีโรยแรง เธอต้องยิ้มตลอดเวลาทั้งที่ไม่อยากยิ้ม แสดงว่าตนมีความสุขแม้ในใจจะมีข้อกังขามากมาย หลอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาเริ่มรัก ทุกอย่างต้องใช้เวลาในการพัฒนา มาถึงจุดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว
แต่ปริณดารู้ตัวเองดีว่าหล่อนไม่อาจฝืนไปได้ตลอด...
“หน้าหงอยมาเชียว เกิดอะไรขึ้นอีกหรือเปล่า” ทรุดกายลงบนโซฟาห้องนั่งเล่น ตอนนี้ต้องการระบายความในใจกับใครสักคน แล้วดูเหมือนพี่ชายที่กำลังนอนเล่นเกมน่าจะเป็นผู้ให้คนปรึกษาที่ดีได้ จึงเหลือบมองเขา แล้วค่อยเอ่ยเสียงเบาเหมือนกำลังถามตัวเองมากกว่า
“พี่ต้นว่า...คนเราจะลืมรักเก่าได้ไหม ถ้ารักครั้งนั้นมันฝังใจมากๆ” พอฟังคำถามจบก็นิ่งคิดสักพัก
“มันต้องแล้วแต่คนนะ อย่างพี่ก็ลืมแฟนเก่าได้เพราะพี่ตัดทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา รักษาใจของตัวเอง ปลายก็เห็นสองสามเดือนพี่ก็ลืมแล้ว หรือบางคนอาจจะมีความทรงจำร่วมกันมากต้องใช้เวลานานหน่อย” สิ่งที่ต้นเดือนเลือกทำเมื่อเลิกกับแฟนคือการตัดขาดทุกอย่าง ไม่หวนกลับไปคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นอีก
ต่างจากคนเป็นน้องสาวที่ยังคอยแอบส่องฌาร์มตลอดเวลาถึงตัวจะห่างกันก็ตาม หล่อนรู้ความเคลื่อนไหวของเขามากกว่าตอนอยู่ไทยซะอีก
แต่น่าเสียดายที่ชายหนุ่มไม่ค่อยอัพเดทเรื่องราวประจำวันเท่าไหร่ เธอจึงทำได้เพียงแค่ดูรูปเขาซ้ำๆ เพื่อคลายความคิดถึง
“ถามตัวเองก็ได้นะว่าลืมความรักที่มีให้ไอ้ฌาร์มได้หรือเปล่า เห็นบอกว่าชอบตั้งแต่เรียนมอหก ขนาดจบมหา’ลัยยังชอบมันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ” โดนย้อนกลับก็นิ่งอึ้ง หล่อนรู้ดีว่ารักแรกมักจะลืมยาก
โดยเฉพาะตอนนี้ที่พัฒนาความสัมพันธ์เป็นคู่รัก สร้างความทรงจำร่วมกันมากมายจนเธอไม่อาจตัดใจจากเขาได้
“เฮ้อ ไปดีกว่า” พรูลมหายใจเสียงหนัก หยิบกระเป๋าค่อยลุกจากโซฟาเดินออกไปข้างนอก แต่ถูกพี่ชายรั้งไว้ด้วยคำถามที่แสนธรรมดา
“ไปไหน”