๒ ความสัมพันธ์ก้าวกระโดด (๒)
เพิ่งรู้ว่าตนคอแข็งก็ตอนแข่งดื่มกับเพื่อนแล้วชนะผู้ชายทั้งกลุ่ม สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ปริณดาเป็นอย่างมาก
“พี่ฌาร์มรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวปลายมา” วิ่งหายเข้าไปในฝูงชน ฌาร์มคิดจะห้ามแต่ไม่ทัน จึงทำได้เพียงมองเข้าไปข้างในด้วยความเป็นห่วง
เพิ่งรับประทานอาหารด้วยกันเธอยังบอกอิ่มท้องจะแตก แล้วทำไมตอนนี้ถึงฝ่าเข้าไปร่วมเล่นเกม มองเหยือกขนาดหนึ่งพันมิลลิลิตรก็เริ่มหนักใจ
ถ้าหล่อนไม่อ้วกแตกก็คงเมาไม่รู้เรื่อง คาดว่ามีเรื่องลำบากให้ต้องตามเก็บอีกแน่นอน
ฌาร์มถึงกับส่ายหัวแล้วยืนกอดอกจ้องปริณดาตาไม่กระพริบ อย่างน้อยตนก็ต้องรับผิดชอบในฐานะเพื่อนพี่ชาย ไม่อาจปล่อยหล่อนไว้คนเดียวได้ ยิ่งเห็นร่างบางโบกไม้โบกมือให้ตนแล้วเข้าประจำที่พร้อมร่วมแข่งขันก็ทำให้ร้อนใจมากกว่าเดิม
จะไหวหรือเปล่า...
“ได้ผู้เข้าแข่งขันครบแล้วนะครับ เราเริ่มกันเลยดีกว่า!”
“อึก อึก”
ดวงตาคมเบิกกว้างยามที่ปริณดายกเหยือกขึ้นดื่มแล้วหมดไปกว่าครึ่งภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เสียงเชียร์ดังสนั่นยิ่งทำให้ผู้เข้าแข่งขันฮึกเหิม ปากหยักเผยอเล็กน้อยยามจ้องร่างบางตาไม่กระพริบ
ผู้เข้าแข่งขันมีทั้งหมดสี่คน ซึ่งหล่อนเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว แล้วดูเหมือนจะแซงหน้าที่เหลือเมื่อดื่มไม่หยุดพัก น่าจะใช้คำว่ากรอกอาจตรงบริบทมากกว่า
“ไหนบอกว่าอิ่มแล้ว ดื่มเข้าไปขนาดนั้นได้ยังไง” พึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงเบียดผู้คนเพื่อเข้ามายืนด้านใน ตอนแรกไม่คิดสนใจแต่ตอนนี้ไม่สามารถละสายตาจากน้องสาวของเพื่อนสนิทได้เลย ทั้งเป็นห่วงและทึ่งกับทักษะการดื่ม
น่าตกใจเรื่องเธอดื่มเบียร์ไม่พอ ยังต้องกังวลว่าหญิงสาวจะอาเจียนออกมาหรือเปล่า อาหารอิตาเลี่ยนที่กินไปเมื่อครู่ยังไม่ย่อยแต่หล่อนกลับดื่มน้ำเมาเข้าไปหนึ่งเหยือก
ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา...
“โอ้โห น้องผู้หญิงคนสวยหมดไปแล้วครึ่งเหยือกครับ ยังไม่ถึงสามสิบวินาทีเลย เก่งมากๆ พี่ชายเสื้อแดงตามมาติดๆ แล้วครับ” ฌาร์มไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลุดยิ้มยามมองปริณดาที่ตั้งหน้าตั้งตาดื่มไม่สนใจใคร ต่างจากชายที่เข้าร่วมแข็งขันพากันหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่อาจดื่มจนหมดตามเวลากำหนด
“หมดเวลา! น้องผู้หญิงได้รับรางวัลไก่ทอดสูตรพิเศษและเงินขวัญถุงหนึ่งพันบาท!!”
สิ้นเสียงระฆังบ่งบอกว่าหมดเวลาแข่งขันก็ได้ผู้ชนะพอดี ร่างบางกระโดดตัวลอยเมื่อความพยายามสัมฤทธิ์ผล เธอแค่สนุกกับการได้แข่งขันไม่ค่อยหวังถึงของรางวัลเท่าไหร่
ถึงไม่ชนะก็คิดในแง่ดีว่าได้ดื่มเบียร์ฟรีหนึ่งเหยือก
“เย้ๆๆ” ร้องไชโยพร้อมกับเดินไปถ่ายรูปรับรางวัล ทุกคนต่างชื่นชมหญิงสาวขณะที่หล่อนเริ่มเดินเซ จนร่างสูงต้องรีบเข้ามาประคองแล้วถือกล่องไก่ทอดที่ได้รับจากทางร้าน พาปริณดาออกไปจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด
เธอเดินตามเขาไม่ขัดขืน เหลือบชายตัวสูงแล้วก็ยิ้มกริ่ม ตนไม่ได้เมาแต่ก็อยากใช้โอกาสนี้ใกล้ชิดเขาจึงแสร้งเอนกายไปพิงคนที่ให้ความช่วยเหลือ
กลิ่นกายหนาหอมละมุนจนไม่อยากผละออกไป
“พี่ฌาร์ม เอิก...ง่า” หยัดกายยืนต่อหน้าเขา เผอเรอออกมาอย่างน่าอายจนต้องรีบปิดปากตัวเอง ฌาร์มกลั้นขำค่อยเดินอ้อมไปนั่งตำแหน่งคนขับ ส่วนเธอก็ยืนก่นด่าตัวเองในใจที่ทำเรื่องน่าอายต่อหน้าชายหนุ่ม
ไม่รู้จะมาเรออะไรตอนนี้ เสียภาพลักษณ์หมดเลย...
ไม่สิ...ความจริงภาพลักษณ์ของหล่อนน่าจะหมดตั้งแต่ดื่มเบียร์หนึ่งเหยือก สามารถเอาชนะผู้ชายที่เข้าแข่งขันด้วยกันได้แล้ว
“หึหึ ได้ไก่ทอดมาฟรีด้วย” เปิดประตูแล้วนั่งลงประจำที่ คาดเข็มขัดนิรภัยพลางหัวเราะมีความสุข ลืมเรื่องที่เรอใส่ชายหนุ่มทันที ถึงจะเห็นว่าอีกฝ่ายกลั้นขำจนหน้าแดง
“ไปหาที่กินกันเถอะค่ะ”
“ยังไม่อิ่มอีกเหรอ ก่อนออกมาจากร้านอาหารก็กินหมดเยอะแล้วนะ” ถึงกับหันขวับมาถามด้วยความทึ่ง ก่อนออกจากร้านอาหารก็กินหมดไปหลายอย่าง เธอยังสามารถดื่มเบียร์หนึ่งเหยือกทั้งชวนเขาไปกินไก่ทอดเป็นการปิดท้ายอีกต่างหาก
เริ่มสงสัยซะแล้วว่าท้องของหล่อนเป็นหลุมดำหรือเปล่า เติมอะไรเข้าไปไม่เคยเต็มสักที
“กินได้อีก ไปเถอะค่ะ” คำชวนของหล่อนไม่รู้ว่ามีผลต่อเขาเมื่อไหร่ ชายหนุ่มจึงเลือกจะพาเธอขับรถไปยังสวนสาธารณะที่อยู่แถวนั้นแล้วเดินถือกล่องไก่ทอดมานั่งกินด้วยกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ช่วงเย็นคนมาออกกำลังกายเต็มไปหมด
มีเพียงสองหนุ่มสาวที่เลือกกินไก่อย่างเอร็ดอร่อย แม้ก่อนหน้านี้จะรับประทานอาหารอิตาเลี่ยนแล้วก็ตาม
ฌาร์มมองคนตรงหน้าที่กินไก่ไม่สนใจตน นึกย้อนไปถึงวันแรกที่ได้พบปริณดาในชุดนักเรียนของโรงเรียนหญิงล้วน ใบหน้าใสเกลี้ยงเกลา รอยยิ้มสดใสกับดวงตาเป็นประกาย เหมือนเด็กสาวทั่วไปที่โลกทั้งใบมีเพียงความสุข
ตอนนี้เธอก็ไม่ค่อยต่างจากในอดีต เพียงแค่ดูโตขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก แววตายังคงซุกซนจนเขาอิจฉา
ทำอย่างไรจะสดใสได้เหมือนหล่อน...
“เมาหรือเปล่า” มองแก้มนวลที่แดงปลั่งจึงเอ่ยถาม โดยไม่รู้เลยว่าเธอกำลังเขินกับสายตาของเขาที่จ้องตนไม่วางต่างหาก
“โธ่พี่ฌาร์มดูถูกกันไปแล้ว เหยือกแค่นี้ไม่ทำให้ปลายเมาได้หรอกค่ะ” บอกปัดทันทีแล้วแทะกระดูกไก่จนหมดเกลี้ยง หยิบอีกชิ้นขึ้นมากินไม่ได้มองว่าฝั่งของตัวเองมีกระดูกกองไว้กี่ชิ้น ขณะที่ร่างสูงแค่ชิ้นเดียวยังกินไม่หมด
“อื้ม ไก่อร่อยดีนะ น่าจะมีโค้กสักกระป๋อง”
“น้ำเปล่าก็พอแล้ว”
“ปลายแบ่งให้พี่ฌาร์มเอาไปกินที่บ้านด้วยนะ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่จะไปส่งปลายอยู่บ้าน”
“ขอบคุณครับ” ดูเหมือนหล่อนจะมีน้ำใจ แต่ความจริงคืออิ่มจนไม่สามารถยัดลงท้องได้อีก
เขาทราบดีจึงตอบรับไม่ขัด ช่วยกันเก็บอาหารที่กินแล้วไปล้างมือให้สะอาด หญิงสาวไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย เธอชวนเขาเดินเล่นเพื่อย่อย อย่างไรก็มาสวนสาธารณะแล้วจะรีบกลับทำไมล่ะ โอกาสที่จะได้อยู่กับคนที่ตัวเองแอบรักสองต่อสองไม่ได้มีมาง่ายๆ
ต้องรีบตักตวงให้คุ้ม ไม่รู้โอกาสแบบนี้จะวนมาอีกเมื่อไหร่
“ปลายดีใจนะคะที่ได้กลับมาเจอพี่อีก ถึงจะในฐานะลูกค้าก็เถอะ” ความเงียบที่โอบล้อมไม่ได้ทำให้ฌาร์มรู้สึกอัดอัด
ยามเย็นที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า หลอดไฟทำงานให้ความสว่าง แต่บรรยากาศโดยรอบกลับคึกคักเพราะมีคนมาออกกำลังกาย
ทว่าสำหรับปริณดา...ในสายตากลับมีเพียงเขา
“ไปอยู่นิวซีแลนด์สนุกไหม” หล่อนแทบกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเป็นฝ่ายถูกชวนคุย เพราะตลอดเวลาตนต้องพยายามคิดหัวข้อเรื่องเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบ
หรือว่าฌาร์มอาจมีใจ!
“สนุกดีค่ะ ได้ใช้ชีวิตแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อน ไม่ต้องอยู่ในกรอบที่พ่อกับหม่าม้าขีดเส้นไว้ให้ อยากทำอะไรก็ทำ แต่ปลายก็คิดถึงเมืองไทยอยู่ดี”
ชีวิตของเธอเหมือนเพียบพร้อมไปทุกอย่าง ซึ่งต้องแลกมากับกรอบที่พ่อแม่วางเอาไว้ตลอด เธอยอมตามใจพวกท่านไม่ได้คิดว่ามันหนักหนา ชีวิตของตนถือว่าดีกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ
จนได้ไปเรียนต่อนิวซีแลนด์อยู่กับคุณอาที่ตามใจหลานสาวสุดที่รักทุกอย่าง กรอบนั้นจึงถูกทำลายพร้อมกับได้ลองสิ่งแปลกใหม่ เจอโลกที่กว้างกว่าเดิม เรียนรู้หลายสิ่งหล่อหลอมให้เป็นปริณดาคนปัจจุบัน
ทว่าถึงจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือความรักที่ยังคงมีชายผู้หนึ่งซุกซ่อนอยู่ในหัวใจเสมอ
“แล้วพี่ฌาร์มล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดี...ทำธุรกิจหัวหมุน” คำตอบสั้นบ่งบอกถึงชีวิตห้าปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
นอกจากงานแล้ว...ก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอีก
เขาปิดประตูหัวใจตั้งแต่เลิกกับภรรยา กลายเป็นคนไม่ศรัทธาในความรักและไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผู้หญิงคนไหนเข้ามา เหมือนต้องการเว้นที่นั้นเอาไว้...
“เป็นเสี่ยใหญ่รวยแล้ว พี่ต้นพูดเรื่องพี่ฌาร์มให้ฟังบ่อยมากว่าเป็นคนขยันจนพาบริษัทมาไกลขนาดนี้ ดีใจด้วยนะคะ” เธอชวนคุยทั้งที่ใจเริ่มเขวยามเห็นดวงตาหม่นหมอง ถึงจะเดินข้างกันแต่หล่อนก็เหลียวมองคู่สนทนาเสมอ ต่างจากเขาที่มองไปข้างหน้า
ปริณดาจึงเห็นความเศร้าที่ฉายชัด...
หรือบางทีเขาอาจจะยังไม่ลืมรักเก่า
“ขอบคุณครับ” พวกเขาเดินเล่นกันจนครบหนึ่งรอบถึงได้ชวนกลับบ้าน
ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรเหมือนจมอยู่ในความคิดของตัวเอง หล่อนไม่อยากมั่นใจว่าความรู้สึกของฌาร์มที่มีต่อภรรยาเก่าจะหมดหรือยัง แต่เธอก็ไม่ย่อท้อที่จะเอาชนะใจชายหนุ่ม เพราะอย่างไรก็คงตัดใจจากอีกฝ่ายไม่ได้อยู่แล้ว
สู้เดินหน้าลุยให้รู้ดำรู้แดงไปเลยดีกว่า
บนโต๊ะอาหารที่ครอบครัวต้นตระการอยู่พร้อมหน้า เธอไหว้วานคนรถให้กลับไปขับรถของตนที่อยู่หน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนกลับบ้าน โชคดีที่มันยังจอดสนิทไม่โดนล็อคล้อหรือมีรอยขีดข่วน
ใบหน้าหวานผ่องใสจากการนอนเต็มอิ่มและมีเรื่องชวนประทับใจ ดูเหมือนว่าบุพการีทั้งสองจะสงสัย ต่างจากต้นเดือนที่รู้ความเคลื่อนไหวของน้องทุกอย่างเพราะอีกฝ่ายมาเล่าให้ฟัง
ฌาร์มโทรมาถามเมื่อคืนว่าทำไมถึงผิดนัด ก็ได้แต่บอกไปว่างานเยอะเป็นอันเข้าใจ เพราะสองหนุ่มบ้างานพอกัน เพียงแค่ต้นเดือนอาจจะหนักกว่าหน่อย ช่วงนี้ค่อยลดลงมาบ้างแล้วเพื่อให้เวลาครอบครัว
“ปลายปี...ม้าได้ข่าวว่าเรามีแฟนเหรอ” ถามกลางโต๊ะอาหารหลังจากที่รู้เรื่องเมื่อคืน แต่เก็บงำเอาไว้ไม่ถามลูกสาว
“ใครบอกหม่าม้า”
“พี่เปรมน่ะสิ เขาเล่าให้ฟังหมดแล้วเรื่องที่แฟนของลูกไปกินข้าวด้วย ถ้ามีแฟนทำไมไม่บอกม้าจะได้ไม่นัดต้องดูตัว ดูสิ...ม้าโดนเพื่อนถอนหงอกเลย” ส่งค้อนวงโตให้คนที่เก็บเงียบเรื่องแฟนไม่ยอมบอกตน คราวแรกก็นึกว่าโสดซะอีก
ไม่รู้ว่าคบใครถึงต้องปิดบังเอาไว้ หรือจะเป็นพวกไม่เอาถ่าน...
“คือ คือลืมบอกน่ะม้า อยากให้เซอร์ไพรส์มากกว่า” รีบหาข้ออ้างที่คนเป็นพี่ชายฟังก็ทำได้เพียงยิ้มขำ ถ้ามารดารู้ว่าแฟนของลูกสาวเป็นใครคงดีใจจนเนื้อเต้น
“แล้วแฟนเราเป็นใคร เห็นเปรมบอกว่าชื่อฌาร์มไม่ใช่เหรอ ชื่อเหมือนเพื่อนสนิทพี่ชายเราเลยนะ” ตอนได้ยินชื่อครั้งแรกก็ตกใจ แต่คิดว่าคงไม่ใช่คนเดียวกับที่ตนคิดหรอก
ลูกสาวของนางไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ฌาร์มจะชอบ...แต่แอบคิดว่าถ้าเป็นจริงก็ดีเหมือนกัน
“ค่ะ! พี่ฌาร์มเป็นแฟนของปลายเอง” พูดจบด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ หล่อนอยากพูดแบบนี้มานานแล้ว
ต้นเดือนถึงกับเบิกตากว้างแล้วส่งสายตาคมดุให้น้องสาว เห็นถึงความยุงยากที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อมารดาทราบเรื่อง ถ้าการเป็นแฟนคือเรื่องจริงคงไม่ต้องปวดหัวหรอก
“ว่าไงนะ!”
แต่มันเป็นเรื่องโกหกต่างหาก!