๑ พบกันอีกครั้ง (๒)
“อือ เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ต้น ไม่ได้เจอกันนานแล้วล่ะ” เลือกจะบอกถึงสถานะที่ทำให้พวกเราได้รู้จักกัน ดวงหน้าหวานหม่นลงเล็กน้อยขณะที่แววตาเหม่อลอย คิดไม่ออกว่าเจอกันอีกครั้งในฐานะลูกค้าจะเป็นอย่างไร
“ดีเลย เขาว่าจะเข้ามาดูงานด้วย ฝากเธอต้อนรับเขาหน่อยนะ ส่วนฉันจะไปดูพวกพร็อบสำหรับวางของ” ตบบ่าเพื่อนแล้วหยิบกระเป๋าเตรียมออกไปดูของข้างนอก รับงานหลากหลายก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมเสมอ
“อืม เธอไปเถอะไม่ต้องห่วงทางนี้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่เมื่ออรญาเดินออกไปหล่อนก็พรูลมหายใจอย่างหนักอก
อ่านรายละเอียดของงานที่ฌาร์มต้องการด้วยแววตาสับสน ตัวหนังสือค่อยจางลงเรื่อยๆ ก่อนที่ดวงตากลมจะปิดลงเพื่อตัดการรับรู้ทุกอย่าง ตื่นเต้นกับการที่ต้องเจอเขาในรอบห้าปี
รู้ข่าวจากพี่ชายถึงรักที่ไม่สมหวังของร่างสูง แต่งงานได้เพียงสามเดือนก็เซ็นใบหย่าและแยกทางกับภรรยา จากที่เงียบขรึมอยู่แล้วกลายเป็นคนเก็บตัว ต้นเดือนมักมาพูดเรื่องของเพื่อนสนิทให้ฟัง แต่พอเห็นหล่อนเงียบเหมือนปิดการรับรู้ก็ไม่พูดอะไรอีก
เธอไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ แต่ก็นึกสงสารฌาร์ม...
เพราะแววตาวันที่เขานำการ์ดแต่งงานมาให้พี่ชายตน มันมีความสุขเหลือเกิน ชายหนุ่มคงรักเจ้าสาวมาก
ยิ่งคิดถึงเรื่องในอดีตก็ยิ่งเจ็บปวด เลือกจะสลัดความรู้สึกทั้งหมดทิ้งแล้วก้าวออกจากห้องทำงานของอรญา มายังห้องทำงานของตนที่อยู่ติดกัน ไม่ลืมแนะนำตัวกับพนักงานที่เพิ่งทราบว่าหล่อนเป็นเจ้านายอีกคน
เมื่อถึงเวลางานก็ต้องรวบรวมสติทั้งหมด นางสาวปริณดาที่สวมชุดนักเรียนของโรงเรียนหญิงล้วนวันนั้น สลัดคราบของเด็กกะโปโลทิ้งจนหมด เหลือเพียงสาวสวยสุดมั่นใจที่สวมเสื้อยืดทับด้วยเบลนเซอร์และกางเกงขาม้าเอวสูง ผมถูกรวบเป็นมวยเดินเข้ามาหน้าเซ็ทที่กำลังจะเริ่มถ่ายวิดีโออาหาร
“สวัสดีค่ะพี่ฌาร์ม ไม่ได้เจอกันนานเลย” หล่อนหยุดชะงักไปครู่หนึ่งยามที่ร่างสูงเดินเข้ามาในสตูดิโอ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่สามารถพรากความอ่อนเยาว์ของชายหนุ่มได้เลย
พี่ฌาร์มที่ยืนอยู่ตรงหน้า...ยังคงเหมือนวันแรกที่เจอกันไม่ผิดเพี้ยน
จะมีเพิ่มก็แค่หุ่นที่บึกขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างคนออกกำลังกาย และแววตาเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งรอบข้าง กลายเป็นคนด้านชาไปซะแล้ว
“เอ่อ...ปลายปี...เหรอ” เมื่อถูกทักแบบเป็นกันเองเขาก็ขมวดคิ้วไม่ค่อยชอบใจ ทว่าพอเพ่งมองหญิงสาวตรงหน้าดูอีกที ความทรงจำที่จางก็เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ผู้หญิงที่สวมเสื้อนักเรียนแขนยาวสีขาวผูกทับด้วยโบว์รูปกากบาทและกระโปรงสีน้ำเงินยาวเพียงเข่า เด่นชัดในความนึกคิด...
โดยเฉพาะรอยยิ้มเป็นประกายกับแววตาสุกสกาวของหล่อน
น่าอิจฉาเหลือเกิน...ทำไมถึงมีความสุขได้มากขนาดนี้
“ค่ะ ปลายปีน้องสาวของพี่ต้นเดือนเอง ปลายกลับมาจากนิวซีแลนด์ได้สองสามวันแล้ว” เธอยังคงสดใสเหมือนวันวาน ต่างจากเขาที่หัวใจด้านชาไปซะแล้ว
ฌาร์มคงไม่รู้ว่าหล่อนต้องข่มอาการตื่นเต้นมากแค่ไหนตอนคุยกับเขา มือบางชื้นเหงื่อจนต้องแอบเช็ดขากางเกงของตัวเอง แต่เธอก็ยังสบตาเขาไม่ยอมหลบ เพราะอยากมองให้เต็มตาว่าคนตรงหน้าคือความจริง
ไม่ใช่เพียงจินตนาการเหมือนที่เคยเห็นหลายครั้งยามนึกถึง
“ยินดีต้อนรับกลับไทยครับ”
“ปลายหุ้นกับเพื่อนทำงานฟู๊ดสไตลิส ถ้าพี่ฌาร์มอยากได้อะไรหรือปรับแก้ตรงไหนบอกได้เลยนะคะ ปลายจะทำสุดความสามารถ” ยังคงเจื้อยแจ้วไม่หยุด เหมือนในอดีตที่เธอพยายามชวนเขาคุยแต่ชายหนุ่มก็ตัดบทแทบทุกครั้ง
“ขอบคุณครับ”
เหมือนเขาไม่อยากพูดคุยด้วยเท่าไหร่ เธอจึงยิ้มหน้าม่านแล้วค่อยปลีกตัวเข้ามาจัดการงาน เริ่มวันแรกแต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี หญิงสาวคอยกำกับว่าภาพต้องออกมาอย่างไร เธอมีประสบการณ์ด้านนี้เพราะเคยทำตอนอยู่ต่างประเทศ
แต่สีหน้าของลูกค้าที่ขึงขังจนเริ่มกังวล หรือว่าภาพที่ออกมายังไม่ตรงตามความต้องการของเขา...
“พี่ฌาร์มว่ายังไงบ้างคะ” เดินมาดูภาพที่ฉายบนหน้าจอโน้ตบุ๊ก คิ้วหนาขมวดเป็นปมพลางขยับออกห่างหล่อนเล็กน้อย ปากหยักเรียบตรงกับดวงตาเรียบเฉย ไม่ต้องถามก็รู้ว่ายังไม่ประทับใจกับภาพที่ได้
เธอเผลอกำชายเสื้อของตัวเองระหว่างที่กำลังลุ้นคำตอบ พอจะมองออกว่าฌาร์มไม่ค่อยชอบผลงานครั้งแรกของตน
งานครั้งนี้คือการจัดภาพอาหารแช่แข็งหลังจากนำไปอุ่นว่าน่ารับประทานมากแค่ไหน จัดตกแต่งให้สวยงามเพื่อดึงดูดผู้บริโภคตั้งแต่ครั้งแรกที่มอง
“ดีแล้วนะ...เดี๋ยวผมขอคุยกับคุณเอมดีกว่า เขารับผิดชอบตั้งแต่ต้นน่าจะรู้ความต้องการของผมดี” ประโยคธรรมดาที่เรียกคืนความมั่นใจของหล่อนไปจนสิ้น หญิงสาวไม่อาจแสร้งยิ้มต่อหน้าเขาได้จึงทำเพียงพยักหน้า
บอกตัวเองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่งานจะไม่ถูกใจลูกค้า
แต่เผอิญว่าลูกค้าคนนั้นดันมีผลต่อจิตใจของเธอ จึงทำให้ปริณดาเสียใจที่งานครั้งแรกของตนก็ไม่ผ่านซะแล้ว
“อ้อ ค่ะ” ฌาร์มไม่ได้พูดอะไรอีก เขาทำเพียงมองนาฬิกาแล้วเดินออกไปทันที ปล่อยร่างบางมองตามพลางพรูลมหายใจอย่างเหนื่อยล้า เงยหน้ามองเพดานแล้วบังคับน้ำตาไม่ให้ไหล
ตนไม่ใช่คนอ่อนแอจนต้องร้องไห้กับเรื่องเล็กน้อย แต่พอเป็นเรื่องของเขาทีไร...น้ำตามันก็ไหลลงมาทุกที
กลับถึงบ้านพร้อมกับความเหนื่อยล้าที่สะสม หล่อนเดินลากขาเข้ามาในห้องนั่งเล่นพบว่าพี่ชายกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาพร้อมกับเล่นเกมอย่างเมามัน โดยมีถุงขนมวางไว้บนอกเพื่อจะได้หยิบกินสะดวก
ถ้ามารดามาเห็นคงมีบ่นจนหูชา แต่ดีที่วันนี้พวกท่านต้องไปงานเลี้ยงฉลองเปิดร้านเพชรของเพื่อน จึงปล่อยให้ลูกทั้งสองอยู่บ้าน
“หน้าหงอยมาเชียว มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เหลือบมองน้องสาวแล้วกลับมาสนใจเกมในมือ หยิบขนมขบเคี้ยวมากินเล่น ไม่ค่อยสนใจปริณดาเท่าไหร่ คิดว่าคงเป็นเรื่องงาน
ตอนเขากลับมาไทยแล้วต้องเข้าทำงานที่บริษัทก็เครียดอยู่หลายวัน กดดันจากตำแหน่งและความคาดหวังของคนรอบข้าง
ตนไม่ใช่พนักงานธรรมดา แต่เป็นลูกชายคนโตที่วันหนึ่งต้องขึ้นบริหารธุรกิจโรงแรมแทนบิดา แบกความคาดหวังและพนักงานนับพันเอาไว้บนบ่า
แต่ตอนนี้เขาเลือกจะปล่อยวาง ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป...
“เจอพี่ฌาร์มวันนี้ เขามาเป็นลูกค้าบริษัทของปลาย” สิ่งที่ทราบไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เขาเป็นคนแนะนำพีเอครีเอทีพให้เพื่อนเอง เพียงแค่ไม่ได้บอกฌาร์มว่าน้องสาวเป็นเจ้าของบริษัท
“อ่าหะ แล้วยังไง”
พอถูกถามก็พูดไม่ออก เหตุผลของเธอดูจะกลายเป็นเด็กน้อยลงไปทันทีถ้าบอกว่าตนเศร้าเพราะถูกเขาปฏิเสธงาน จึงเลือกจะเลี่ยงแล้วเปลี่ยนเป็นปรึกษาปัญหาความรัก
“เปล่าหรอก...แค่เสียดายที่เขายังไม่ได้แต่งงาน” ถึงกับละสายตาจากเกมเพื่อมามองน้องสาวที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ทอดถอนใจเหมือนคนคิดไม่ตก
“อ้าว ไหนบอกชอบไอ้ฌาร์ม ถ้ามันไม่แต่งงานก็ต้องดีใจสิ เรามีหวังแล้วนะ”
“เจ็บกว่าเดิมน่ะสิ อย่างน้อยถ้าเขาแต่งงานปลายก็จะได้ไม่ต้องหวังเพราะเขามีเจ้าของแล้ว แต่พอเขาไม่แต่ง...ปลายก็ได้แต่หลอกตัวเองว่ามีหวัง ทั้งที่ความหวังมันริบหรี่” ก้มมองมือแล้วเอนกายพิงพนักโซฟา คราวนี้ต้นเดือนถึงกับปิดเกมแล้วลุกมานั่งข้างนอกสาว วางถุงขนมเอาไว้ที่โต๊ะเล็ก ยกมือตบไหล่บางถามเชิงปลอบ
“ให้พี่ช่วยอะไรไหม” คำถามเรียบง่ายแต่เรียกรอยยิ้มให้คนเป็นน้องสาวแทบจะทันที หล่อนส่ายหน้าพร้อมกระชับกระเป๋าสะพาย ไม่อยากนั่งเศร้าอยู่ต่อหน้าพี่ชาย พาลทำให้เสียบรรยากาศ
“ไม่หรอก ปลายโอเค ขึ้นห้องก่อนนะแล้วจะลงมากินข้าวเย็นด้วย” ต้นเดือนมองตามคนอายุน้อยกว่า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรความรักของปริณดาถึงจะสมหวัง
ดูทีท่าว่าฌาร์มจะไม่ตกลงปลงใจโดยง่าย
สงสัยคงต้องขุดหลุมให้ตกบ่วงหน่อยแล้ว...
ทำงานมากว่าหนึ่งสัปดาห์หล่อนเริ่มปรับตัวได้แล้ว ผลงานของปริณดาเป็นที่พึงพอใจของลูกค้า เรียกความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง
ตารางงานวันนี้เป็นของบริษัทแลนด์ฟู๊ด ทว่าไม่มั่นใจฌาร์มจะมาคุมเองหรือเปล่า เพราะเขามีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานบริษัท คงไม่ลงมาดูงานเล็กน้อยด้วยตัวเองเหมือนอย่างครั้งนั้นที่ว่างและมาคุยงานแถวนี้พอดี จึงแวะเข้ามาตรวจงาน
ร่างบางแทบกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่เมื่อมองไปที่ประตูหลายรอบ ลุ้นว่าคนที่เปิดเข้ามาจะเป็นชายในฝันหรือเปล่า
แล้วเขาก็ปรากฏตัวเข้ามาในสายตาของหล่อนด้วยชุดสูทสีเทา เข้ากับรูปลักษณ์ของผู้บริหารมาดเนี๊ยบ ราวพระเอกซีรี่ส์ที่ตนดูเป็นประจำ
“สวัสดีค่ะพี่ฌาร์ม ต่อจากนี้ปลายจะเป็นคนดูแลโปรเจคทั้งหมดของบริษัทพี่เองค่ะ” เดินมาแนะนำตัวกับเขา เมื่อได้รับมอบหมายงานจากเพื่อน อรญาต้องไปดูโปรเจคอื่นเธอเลยขันอาสาด้วยความเต็มใจ
แต่ดูเหมือนลูกค้าสุดหล่อจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่...
“แล้วคุณเอมล่ะ” ถามถึงคนที่เคยดูแลงานของตน
ฌาร์มไม่ชอบการโยนงานไปมาเหมือนไม่เป็นมืออาชีพ งานของแต่ละบุคคลมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขาชอบสิ่งที่อรญารังสรรค์มากกว่าเพราะเข้ากับผลิตภัณฑ์ของตน ทั้งยังตรงตามความต้องการ พอเปลี่ยนคนก็เหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่
เขาคิดในใจว่าไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาซะเลย แต่เลือกเงียบเพื่อฟังเหตุผลของคนตรงหน้า
“เอมไปดูแลอีกงานค่ะ แต่พี่ฌาร์มไม่ต้องห่วงเลยนะคะ ปลายจะตั้งใจทำงานเต็มที่แล้วสร้างสรรค์ผลงานที่ดึงดูดลูกค้าให้พี่แน่นอน” ท่าทีมั่นอกมั่นใจของหล่อนทำให้เขาไม่อยากขัด เลือกพยักหน้าอย่างขอไปที
“ครับ”
งานวันนั้นเห็นถึงความตั้งใจของหญิงสาว เธอทำงานเป็นมืออาชีพมากกว่าวันแรก เหมือนศึกษางานมาเป็นอย่างดีว่าควรทำอย่างไรอาหารแช่แข็งจึงจะน่ารับประทาน
“ปลายว่าเราเน้นความสดของอาหารอีกนิดดีไหมคะ เพิ่มความเงาของไก่สักหน่อย ใส่ผงปาปริก้าลงไปด้วยค่ะ” นำประสบการณ์มาใช้กับงาน เธอถามความต้องการของชายหนุ่มและใส่ความคิดเห็นของตนเองด้วย ภาพที่ออกมาจึงทำให้ดวงตาคมจ้องไม่วางตาด้วยความพึงพอใจ
“พี่ฌาร์มว่ายังไงบ้างคะ”
“ผมว่าดีนะ” คำตอบของเขาเรียกรอยยิ้มหวาน แต่เลือกเม้มปากแน่นไม่ให้แสดงอาการมากเกินไป
เธอได้รับคำชมจากเขาแล้ว...
อุตส่าห์นั่งทำการบ้านมาอย่างดี เพียงเพื่อลบคำสบประมาทและแววตาของเขาที่ปรามาสตนเอาไว้ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ต้องพยายามมากเช่นนี้
แต่เมื่อเป็นคนที่ตนสนใจ กลับเอาทุกเรื่องแม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยมาคิด
ไม่น่าเชื่อว่าฌาร์มอยู่ดูงานจนเสร็จ เขาค่อนข้างพึงพอใจกับผลงานของหล่อนเป็นพิเศษ เมื่องานเรียบร้อยจึงเดินเข้าไปบอกปริณดาที่ทุ่มเททำทุกอย่าง หล่อนคอยกำกับช่างภาพ ออกความคิดสร้างสรรค์ซึ่งผลออกมาน่าพึงพอใจ
“วันนี้เหนื่อยเลยนะ” บอกทุกคนแล้วสายตามาหยุดอยู่ที่ร่างบาง ยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อยค่อยเดินออกจากห้อง ทว่าหญิงสาวรีบเดินไปยืนเคียงข้างคนตัวสูงซะก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ เหนื่อยแต่สนุกดี พี่ฌาร์มไปกินข้าว...”
“ผมกลับก่อนนะ” ฟังไม่ทันจบก็รีบตัดบทเมื่อเห็นว่าตนอยู่ที่นี่นานเกินไป ยังเหลืองานกองเป็นตั้งที่โต๊ะ ทั้งยังต้องไปพบลูกค้าตอนเย็นอีก ถ้าช้ากว่านี้อาจจะไปไม่ทัน
“พี่ฌาร์มไปกินข้าวด้วยกันไหมคะ!” แต่ก็ต้องหยุดเมื่อร่างบางมายืนตรงหน้า เธอรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อชวนเขากินข้าวเย็นด้วยกัน ดวงตากลมจ้องฌาร์มตาแป๋วด้วยหัวใจที่เต้นแรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก
ขอร้องล่ะ...ตอบตกลงทีเถอะ
“ขอโทษที พอดีผมมีนัด เชิญตามสบายเลยครับ”
“อ่า ค่ะ” เธอไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างหรือความจริง แต่หญิงสาวก็ยอมหลีกทางให้เขา
เอาไว้คราวหน้าก็ได้ ยังมีเวลาอีกเยอะที่จะเริ่มทำความรู้จักกับเขาใหม่ วันนี้ยังไม่ได้กินข้าว วันหน้าอาจจะได้นั่งเคียงข้างตอนแต่งงานก็ได้
ใครจะไปรู้อนาคตกันล่ะ
กลับถึงบ้านด้วยใบหน้าหม่นหมองอีกครั้ง ทั้งที่ตอนเช้าหล่อนยิ้มแย้มด้วยความสดใส เพียงแค่คิดว่าจะได้เจอรักแรกก็เหมือนมีน้ำเย็นชโลมใจ
ลืมคิดเสียสนิทว่าสำหรับเขาแล้ว เธอเหมือนตัวน่ารำคาญ...
“มีอะไรอีก หน้าหงอยมาอีกแล้ว...ไหนบอกวันนี้ทำงานกับไอ้ฌาร์มไงล่ะ” ทรุดตัวนั่งลงที่โซฟายาวตรงห้องนั่งเล่น เอื้อมไปหยิบน้ำหวานของพี่ชายมาดื่มจนหมดแก้ว นึกสงสัยว่าช่วงนี้ต้นเดือนไม่ทำงานหรืออย่างไร ทำไมกลับบ้านตรงเวลานัก
เมื่อห้าปีก่อนถ้าไม่ถึงสองทุ่มก็ไม่เห็นพี่ชายกลับบ้านหรอก
“เฮ้อ อย่าให้พูดเลย ปลายแค่ชวนไปกินข้าวเย็นเขาก็ปฏิเสธบอกมีนัดแล้ว” น้ำดื่มพอจะดับความร้อนรุ่มในอกได้บ้าง คว้าหมอนมากอดแล้วเอนกายพิงพนักโซฟา
ยิ่งรู้ว่าเขาโสดก็มีความหวังมากกว่าเดิม หล่อนคิดว่าตนดีพอที่จะยืนเคียงข้างฌาร์ม การทำให้เขารักคงไม่ยากนักหรอก แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่เปิดโอกาส
“มันอาจจะมีนัดจริงๆ ก็ได้”
“คงอย่างนั้นแหละ...พี่ต้นมีอะไรจะแนะนำน้องไหม ในการพิชิตใจเพื่อนพี่น่ะ” เหลือบมองพี่ชายเพื่อขอความเห็น แต่คำตอบดันทำให้คนที่เอนหลังพิงพนักถึงกับผุดลุกนั่งตัวตรง
“ไม่มี มันแค่ไม่ชอบผู้หญิงจีบก่อน” นิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วค่อยตอบ
หลายปีที่ผ่านมาใช่ว่าไม่มีผู้หญิงเข้าหาฌาร์ม เพียงแค่อีกฝ่ายตอบปฏิเสธทันทีเมื่อรู้ว่าถูกหมายปอง แผลจากรักครั้งก่อนยังหลงเหลือร่องรอยเอาไว้ชัดเจน กลายเป็นคนกลัวความรักไปเสียแล้ว
หรือไม่อย่างนั้นก็คงไม่พร้อมเปิดใจให้หญิงคนไหน...เพราะไม่อาจลืมรักเก่าได้
“อ้าว”
“เอาน่า เผื่อจีบแล้วฟลุ๊คติดไง จีบๆ ไปเถอะ น้องสาวพี่สวยขนาดนี้ใครบ้างจะไม่ชอบ อีกอย่างพี่อยากได้ไอ้ฌาร์มเป็นน้องเขยด้วย จะได้คุยกันถูกคอ” คำเยินยอของต้นเดือนทำให้ปริณดายิ้มกว้าง โผเข้ามากอดแขนพี่ชายแล้วเอ่ยชมอย่างประจบ
“พี่ชายใครทำไมน่ารักจังเลย”
คุยกันอีกสักพักเธอจึงขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้ลงมากินข้าว ทันได้ยินเสียงรถของบุพการีแล่นมาจอดหน้าบ้าน หล่อนรีบไปต้อนรับพวกท่านตามประสาลูกสาวช่างอ้อน
ถึงเวลาอาหารเย็นทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ลูกคนโตกินไม่พูดไม่จาด้วยความหิว ต่างจากลูกคนเล็กที่คุยฟุ้งถึงงานที่ประสบความสำเร็จของตน ก่อนจะเงียบเมื่อคุณรุ่งรดา ต้นตระการพูดถึงเรื่องสำคัญแต่พยายามใช้โทนเสียงให้ดูนุ่มนวล
“น้องปลาย...พรุ่งนี้ไปกินข้าวกับลูกชายของเพื่อนม้าหน่อยนะ” ใบหน้าหวานถึงกับหันขวับมองมารดาที่นั่งข้างกัน ไม่ต้องขยายความก็รู้ว่าท่านหมายความว่าอย่างไร
ต้นเดือนชะงักมือที่กำลังรับประทานอาหาร เขารีบจัดการข้าวในจานจนหมดแล้วดื่มน้ำ ค่อยเดินเลี่ยงออกจากห้องอาหารไม่ให้เป็นจุดสนใจ
เดือนก่อนมารดาเพิ่งให้ตนไปดูตัว คราวนี้ถึงทีของน้องสาวแล้ว...
“หม่าม้าจะจับคู่ปลายเหรอ”
“เปล่าหรอก แค่อยากให้รู้จักกันไว้เท่านั้นเอง พี่เปรมไงหนูจำเขาได้ไหม ตอนนี้เป็นอาจารย์สอนอยู่คณะวิศวกรรม หน้าตาหล่อตี๋แบบพิมพ์นิยมเลยล่ะ” ชมถึงลูกชายของเพื่อนเมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายหน้าที่การงานดีขนาดไหน
ถึงตนจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความรักของลูก แต่เมื่อมีชายเพียบพร้อมอยู่ตรงหน้าก็ไม่อาจปล่อยผ่านได้ เรียนรู้กันไว้ซะตั้งแต่ตอนนี้ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ดีกว่าลูกไปคว้าผู้ชายที่ตนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า อาจสร้างปัญหาในอนาคต
“ไม่เอาหรอกม้า พ.ศ.ไหนแล้วยังจับคู่อยู่อีก” ส่ายศีรษะแล้วดื่มน้ำเพราะกินข้าวไม่ลง ไม่คิดว่าตนจะถูกจับคู่ทั้งที่เพิ่งกลับถึงไทย พอหันไปมองพ่อคิดจะให้ช่วย
ท่านก็หลบสายตาทันที เป็นอันรู้กันว่าบ้านนี้ใครใหญ่
“แค่ให้ไปเจอ ไม่ได้จับสักหน่อย ไปเจอพี่เขาหน่อยนะ”
“เฮ้อ ก็ได้ ถ้าปลายไม่ชอบจะเดินออกมาทันทีนะ ไม่อยู่คุยให้เสียเวลาหรอก” จำต้องยอมรับปากแต่ก็มีข้อแม้ของตนเองเหมือนกัน คุณรุ่งรดารีบตอบตกลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ปริณดารับปากก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“จ้า ตามใจลูกสาวคนสวยของม้าเลย” ท่านเชื่อว่าเปรมจะต้องมัดใจลูกสาวของตนได้อย่างแน่นอน
ผิดจากคนเป็นลูกที่พยายามคิดหาวิธีให้การดูตัวพรุ่งนี้ล่ม หรือไม่อย่างนั้นก็สร้างความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน...
ให้อีกฝ่ายเข็ดการดูตัวไปเลยยิ่งดี!
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายเมื่อตนมาสายกว่าเวลานัดเกือบหนึ่งชั่วโมง มารดาโทรมาเร่งก็ได้คำตอบว่ารถติด ความจริงปริณดาเพียงแค่อยากถ่วงเวลาให้อีกฝ่ายไม่ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเท่านั้น
หล่อนเดินเข้ามาในร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ฝ่ายชายจองไว้ จำหน้าตาของเขาได้เพราะคุณรุ่งรดาเปิดรูปให้ดู ชายหนุ่มผิวขาวตาตี่สวมแว่นคงแก่เรียน ไม่ได้ดึงดูดเธอเท่าไหร่และคงเป็นได้แค่รุ่นพี่เท่านั้น
ต่างจากคนรอซึ่งบ่นในใจไปหลายรอบ แต่พอได้เจอตัวจริงของหญิงสาวกลับยิ้มกว้าง รีบลุกเพื่อมาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง
“สวัสดีครับน้องปลาย พี่ชื่อเปรมนะครับ” เอ่ยทักทายแล้วแนะนำตัว
“ค่ะ...สั่งอะไรมากินดีไหมคะ” บนโต๊ะมีเพียงน้ำเปล่า อีกทั้งหล่อนก็เริ่มหิวจึงขอความเห็นจากเขา เปรมพยักหน้าทันทีแล้วเอ่ยคำหวานอย่างที่เคยทำกับสาวหลายคน
“พี่ตามใจน้องปรายเลยครับ...จะว่าไปชื่อเราก็คล้องจองดีนะ เปรมปลาย เหมือนแฟน..” คำพูดของเขาชวนขนลุกจนหล่อนต้องรีบขัด
“พี่น้อง! เหมือนพี่น้องคลานตามกันมาเลยค่ะ ฮ่าๆๆ” หัวเราะแก้เก้อแล้วเลือกจะหันไปสั่งอาหารกับพนักงานที่ยืนคอยท่า เธอคิดว่าต้องสั่งเยอะหน่อยจึงอ่านเมนูแบบไม่มีหยุด เล่นเอาคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันถึงกับปาดเหงื่อ
อาหารแต่ละอย่างราคาไม่ใช่ถูก...
“น้องปลายมีแฟนหรือยังครับ” สั่งทุกอย่างเรียบร้อยก็เป็นเวลาของพวกเขาทั้งสองคน คำถามแรกพุ่งตรงมายังร่างบางที่สำรวจร้านแทนการมองคนนั่งตรงข้าม
กลับถึงบ้านต้องบอกมารดาแล้วล่ะว่าตนจะไม่มาดูตัวอีกแล้ว ความประทับใจแรกเป็นศูนย์ เปรมไม่มีชั้นเชิงในการชวนคุยเลยสักนิด
“ยัง..ไม่มีได้ยังไงล่ะคะ มีแล้วค่ะ ปลายมีแฟนแล้ว” กำลังจะบอกปฏิเสธ แต่พอมองไปยังประตูของร้านที่เปิดออก พร้อมกับร่างสูงที่คุ้นหน้าตาเป็นอย่างดีปรากฏตัว หล่อนก็รีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว เหมือนมีแสงสีทองส่องท่ามกลางความมืดมิด
รู้แล้วว่าจะพิชิตหัวใจของเขาได้อย่างไร
“เหรอครับ ทำไมน้า..”
“หม่าม้าไม่รู้หรอกค่ะว่าปลายมีแฟน เดี๋ยวปลายจะแนะนำให้พี่เปรมรู้จักนะคะ เขาเดินมานู้นแล้ว” ชี้ไปยังทางเดินที่มีชายคนหนึ่งเหลียวซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาคนรู้จัก เธอไม่รอช้ารีบเดินไปคว้าแขนเขาทันที
“พี่ฌาร์มคะ!” ร่างสูงถึงกับสะดุ้ง มองคนที่เข้ามาทักด้วยความฉงน
“อ้าว”
“ช่วยอะไรปลายสักอย่างหน่อยนะคะ ตอนนี้ปลายกำลังเดือนร้อนมากๆๆ นะคะ” หล่อนกระซิบเขาแล้วจูงกึ่งลากท่านรองประธานของบริษัทอาหารมายังโต๊ะของตน
ชายหนุ่มพยายามจะต้านแรงแต่ก็เกรงใจสายตาของคนในร้านที่จ้อง จึงต้องกระซิบถามปริณดาเสียงเบาแล้วยอมเดินตามมาถึงโต๊ะของเธอ
“ช่วย ช่วยอะไร...”
“นี่พี่ฌาร์ม...เป็นแฟนของปลายเองค่ะ!!” บอกเสียงดังฟังชัดซะจนเปรมนิ่งอึ้ง
ขณะที่เธอแอบยิ้มกริ่มมีความสุข ไม่คิดเลยว่าโชคชะตาจะเข้าข้างตนส่งเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย
แม้จะเป็นการช่วยที่ไม่เต็มใจก็ตาม...