3 หรือโดนร่ายมนต์ใส่
งานเลี้ยงการกุศลที่จัดขึ้นภายในห้องแกรนด์บอลรูมของ Paradise Hotel Bangkok รวมกลุ่มคนมีเงินมีชื่อเสียงรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ของทุกวงการในสังคมเอาไว้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากในค่ำคืนนี้จะมีการประมูลของมีมูลค่าของคนดัง โดยเงินที่ได้โดยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายจะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิต่างๆที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านการเงินและงานสังคมเช่นนี้ที่เป็นสีสันคือการแต่งกายบวกเครื่องเพชรนิลจินดาที่เหล่าบรรดาคุณหญิง คุณนายใส่มาประชันกันส่องแสงสะท้อนวิบวับหยอกล้อกับแสงไฟสว่างจ้า หากมองนานๆอาจจะปวดลูกตาเอาได้ก็ยังคงเป็นเทรนด์ที่ยังไม่ตกยุคตกสมัยแม้ว่าโลกจะก้าวหน้าไปมากกว่าเดิมแล้วก็ตาม เรียกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม จะมากจะน้อยก็ควรมีติดกาย
“ทำไมมันถึงดูน่าเบื่อจัง” คงมีแต่อาหารเท่านั้นที่น่าสนใจมากที่สุดในตอนนี้แล้วล่ะมั้ง สายตาคู่หวานมองสิ่งรอบกายแล้วถอนหายใจทิ้งเป็นว่าเล่น เห็นบริกรเดินถือถาดใส่เครื่องดื่มสีสวยผ่านตรงหน้าก็ถามก่อนฉวยแก้วใดแก้วหนึ่งว่าอันไหนน้ำอะไรเพราะกลัวว่าถ้าหยิบผิดแล้วงานมันจะเข้าก่อนเข้าสู่การประมูล ลูกสาวเจ้าของเบียร์รายใหญ่ระดับประเทศแต่กลับดื่มของมึนเมาได้เพียงน้อยนิด เรียกว่าแค่แตะหน่อยๆ ก็แทบจะเมาได้ ผิดแผกกับผู้เป็นน้องชายอย่างลิบลับ รายนั้นคอแข็งเหมือนป๋าแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเมา
“จัสมินหนูอย่าเดินหายไปไหนไกลหูไกลตาป๋ากับมามี๊รู้ไหมลูก ในงานนี้มันมีพวกชอบถ้ำมองเยอะ ลูกสาวป๋ายิ่งสวยๆ อยู่ ไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ ซีอนก็ไม่ยอมมา ดื้อจริงๆ เจ้าลูกคนนี้” มาร์ตินหน้ายุ่งเมื่อต้องคอยส่งสายตาฟาดฟันใส่ผู้ชายที่จ้องแต่จะเมียงมองลูกเมียที่โอบประคองอยู่คนละฝั่งแขน หวังจะให้ลูกชายคนเล็กมาคอยเป็นหูเป็นตาอีกคนเจ้าตัวก็ดันมีข้ออ้างที่ดูจะสมเหตุสมผลไม่น้อยเมียรักเลยตามใจลูกอีกตามเคย
“แบบนี้ป๋าจะร่วมงานอย่างมีความสุขเหรอคะถ้าต้องคอยพะวงจัสมินกับมามี๊อยู่ตลอด” ตั้งแต่เข้างานมาป๋าก็หน้านิ่วคิ้วขมวดจนไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาทักทายเท่าไหร่ สายตาก็คอยกวาดมองอย่างระวังภัยจากผู้ชายรอบตัวเพราะเรื่องหวงลูกหวงภรรยาของป๋ามันอยู่ในสายเลือดไปแล้ว
‘ดวงใจของป๋า คือ มามี๊ใบเฟิร์น จัสมินและซีลอน’
ตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันอายุสิบเก้าปี ประโยคซ้ำๆเดิมๆที่ได้ฟังเมื่อไหร่ก็มีความสุข ถึงจะต้องอยู่ในสายตาที่บางครั้งมันดูจะโอเว่อร์สำหรับใครหลายๆคนและน่าเบื่อกับกฎเกณฑ์ที่แสนจะขัดใจก็ต้องยอมรับว่าทุกสิ่งอย่างนั้นเป็นเพราะความห่วงใยจากใจจริงของผู้ชายที่รักครอบครัวแบบสุดๆอย่างป๋า ใครจะมองว่าดุแต่สำหรับเธอแล้วป๋าท่านใจดีที่สุดในโลก
“นั่นน่ะสิ ช่วยผ่อนคลายใบหน้าด้วยค่ะที่รัก เดี๋ยวตะคริวมันจะกินเอาซะก่อน แล้วก็ปลีกตัวไปพูดคุยกับคนอื่นบ้างเถอะค่ะ เฟิร์นก็จะพาลูกไปทักทายคนรู้จัก ไม่งั้นน่าเกลียดแย่” พิศลดาบอกสามีหน้าเคร่งขรึม เสียงอ่อนหวานแต่แอบแฝงไปด้วยคำสั่งกรายๆ
“ป๋าก็อยู่ในงานด้วยกังวลอะไรล่ะคะ หนุ่มๆ ที่ไหนก็ไม่กล้าเข้ามาวอแวกับเราสองแม่ลูกหรอกค่ะ” จัสมินช่วยพูดอีกแรงเพราะไม่อยากให้ป๋าของเธอต้องเป็นกังวลจนเกินเหตุ
“โอเคๆ ป๋ายอมแพ้สาวๆแล้วครับ” ฝ่ามือที่โอบรอบเอวลูกเมียคนละข้างยกขึ้นอย่างยอมแพ้และแจกจ่ายจุมพิตที่ข้างแก้มนวลของ
สองแม่ลูก ทิ้งท้ายด้วยเสียงเข้มๆในเรื่องเดิมๆก่อนจะแยกตัวไปคุยกับนักธุรกิจคนอื่นๆ
“มามี๊ขา มามี๊ขา” มือเรียวบางเกาะท่อนแขนของมารดาแล้วกระตุกดึงเบาๆ ให้หันมาสนใจตนเองแทนการมองอย่างอื่นชั่วคราว
เสียงเรียกน่ารักน่าชังของคนเป็นลูกสาวทำเอามามี๊คนงามหันมายิ้มหวาน พลางยกมือลูบแก้มเนียนที่ปัดด้วยบรัชออนสีชมพูบางเบาให้พอมีสีสันอย่างเอ็นดู
“ว่าไงจ๊ะลูกสาว”
“คือว่าจัสมิน”
“สวัสดีค่ะคุณเฟิร์น แหม่เราไม่ได้เจอหน้ากันนานเลยนะคะพักนี้ ดีใจจังที่มาเจอกันที่นี่คืนนี้” ปากที่กำลังขยับต่อถูกแทรกด้วยคุณป้าท่านหนึ่งที่ทำทรงผมคล้ายกระบังลมเครื่องเพชรเต็มตัวเดินปรี่เข้ามาหามารดาเลยต้องหยุดชะงัก และความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาว่าแบบนี้คงจะสวยในแบบฉบับของคุณป้า
“สวัสดีค่ะ จัสมินสวัสดีคุณป้าฤทัยสิจ๊ะ”
“สวัสดีค่ะคุณป้าฤทัย” จัสมินทำตามอย่างว่าง่ายพร้อมมอบรอยยิ้มหวานให้คนมีอายุที่รับไหว้และกล่าวชมเธอต่างๆนานาก่อนจะกระซิบขออนุญาตมารดาออกไปเข้าห้องน้ำที่ด้านนอกห้องจัดงานที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เดิมทีมามี๊จะขอแยกตัวจากคู่สนทนาออกมาเป็นเพื่อนแต่เธอบอกว่ามาเองได้สบายมากเพื่อให้ท่านวางใจพูดคุยกับคนโน้นคนนี้ได้อย่างไม่ต้องกังวล
เจ้าของร่างสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรเพิ่งก้าวขาออกจากลิฟต์มีอันต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวที่เขาจำได้ว่าเธอคือหนึ่งใน
ลูกศิษย์ของเขา ร่างเพรียวระหงที่คาดเดาว่าน่าจะหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรแต่งกายด้วยชุดเดรสสายเดี่ยวสีชมพูกะปิ ผ้าปักลายดอกสีขาวผสมงานปักเลื่อมคริสตัลระยิบระยับ ตัวทรงกระโปรงพองคล้ายทรงบัลเล่ต์ สั้นประมาณหัวเข่า อวดขาเรียวยาว และรองเท้าส้นสูงสีเงินระยิบระยับที่เดาว่าน่าจะสองนิ้ว อดที่จะชื่นชมไม่ได้ว่าช่างเลือกชุดได้เข้ากับตัวเองเป็นอย่างมากเพราะสวยหวานน่ารักไปทั้งตัว เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ในร่างของมนุษย์ไม่มีผิด
“หาอะไรอยู่รึเปล่า” เขาคิดว่าเธอต้องเห็นเขาแล้วแหละแต่ทำเป็นมองไม่เห็น เขาจึงต้องพาตัวเองเข้ามาหา อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็ได้ชื่นว่าลูกศิษย์แต่กลับทำเมินเหมือนเขาคืออากาศธาตุที่เจ้าหล่อนจะสนใจหรือไม่สนใจก็ได้อย่างนั้นเหรอ มันน่านักเชียว
“คะ เอ่อ อาอะ...อาจารย์อนาวิน คือว่าหนู...หนูกำลังจะไปห้องน้ำน่ะค่ะแต่จำทางไม่ได้” จัสมินสะดุ้งนิดๆและเกิดอาการติดอ่างขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน เมื่ออยู่ๆ ดันมาเจออาจารย์อนาวินเดินเข้ามาทัก ยังไงล่ะคือมันก็ไม่เชิงทักทายใช่ไหมแบบนี้ ความประหม่าเล็กน้อยที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะดวงตาที่มองมาแม้จะดูเรียบเฉยแต่ทำไมเหมือนมันไม่สงบนิ่งอย่างที่เห็นก็ไม่รู้
“ตามมาสิเดี๋ยวผมจะพาไปเอง คงไม่คิดว่าผมจะล่อลวงคุณไปไหนหรอกใช่ไหมครับจัสมิน” สีหน้าเหรอหราที่ลูกศิษย์สาวน้อยแสดงออกมาอย่างงงๆนั้นช่างน่าแกล้งเสียจริง ไหนจะท่าทางเหมือนกับจะกลัวๆเขาอีก
“คะ หนูไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นเลยนะคะ” โบกไม้โบกมือเป็นพัลวันให้เชื่อว่าไม่ได้คิดอย่างที่เขาพูด และพอรู้ว่ามันคือการแกล้งหยอกล้อแบบหน้าตายก็ขบริมฝีปากแน่นอย่างขุ่นเคืองเล็กๆ นี่เขาเห็นเธอหลอกง่ายใช่ไหม
“งั้นก็ตามมาได้แล้วครับคุณผู้หญิง ผมรู้จักที่นี่ดีไม่ต้องกลัวว่าจะพาหลงหรอก” ทุกตารางนิ้วของที่นี่เขารู้หมดว่าอะไรอยู่ตรงไหน ดังนั้นการพาไปทางไหนย่อทวางใจได้
“ค่ะ แต่ความจริงแล้วแค่บอกทางหนูมาก็ได้นะคะ คือหนูไม่อยากรบกวนน่ะค่ะเกรงใจ” เขาเป็นถึงอาจารย์เธอเชียวนะ ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดเดินไปส่งถึงที่ก็ได้
“ผมไม่ชอบคนขัดใจ” เขาพูดเสียงขรึมให้รู้ว่าที่บอกนั้นเรื่องจริง
“งั้นก็เดินนำหนูไปสิคะ” บอกมาขนาดนี้ไม่อยากขัดใจเดี๋ยวจะพาลขู่หักคะแนนขึ้นมาอีก
อนาวินยิ้มเมื่อหันไปมองตุ๊กตามีชีวิตที่เดินตามหลังมาต้อยๆด้วยใบหน้างอๆ ก็อารมณ์ดีแปลกๆ ความจริงแค่ชี้นิ้วแล้วบอกตำแหน่งที่ตั้งอย่างที่เจ้าตัวต้องการก็น่าจะพอแต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากจะพาไปส่งถึงที่ เหตุผลที่คิดน่าจะพอหักล้างกันได้ในนาทีนี้คงเป็นเพราะปล่อยไปอาจจะเดินไปชนใครเข้า
“เอ่อ อาจารย์มาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอคะ” บรรยากาศมันดูเงียบจนเกินไปเลยลองชวนคุยเพื่อผูกมิตรแต่ไม่รู้ว่าคำถามเมื่อสักครู่มันจะละลาบละล้วงเกินไปไหม
“ผมมาทำงานเพราะที่นี่คืองานหลักที่ต้องรับผิดชอบแล้วเราล่ะมาทำอะไรที่นี่ มาทานข้าว มานั่งดื่ม มาเดทหรือว่ามาทำอะไรงั้นเหรอครับจัสมิน” คิ้วเข้มเลิกขึ้นแล้วชะลอฝีเท้าเพื่อให้คนขาสั้นกว่าได้เดินทันกัน และแปลกที่เขากลับไม่อยากได้รับคำตอบที่ว่ามาเดททั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของตัวเอง
คำถามของอนาวินเป็นแบบกว้างๆ มีหลายตัวเลือกแต่คนที่โดนถามกลับรู้สึกว่ามันคือการจับผิดเพราะที่กล่าวมานั้นไม่ใช่เลยสักนิด
หรือเขาคิดว่าเราเป็นสาวไฟแรงสูง แค่คิดก็ส่งสายตาวิ้งๆ มองแล้วค้อนประหลับประเหลือก
“หนูมางานการกุศลกับป๋าแล้วก็มามี๊ ไม่ได้มาทำอะไรน่าเกลียดนะคะ โปรดอย่าเข้าใจผิด ไม่ได้มาเดท หนูไม่เคยมีแฟนจะเดทได้ยังไง” แล้วทำไมเราจะต้องขยายความเพิ่มเหมือนร้อนตัวแบบนี้ด้วยล่ะ จัสมินปากยื่นนิดๆ เมื่อขัดใจตนเอง
คำพูดแสนซื่อและดวงตาใสแจ๋วเปล่งประกายมันทำให้เชื่อหมดใจว่าสิ่งที่บอกนั้นคือเรื่องจริง จัสมิน บัตเตอร์ นามสกุลคุ้นหูที่ได้ยินบ่อยครั้ง ลูกสาวของมาร์ติน บัตเตอร์ ผู้ชายที่ขึ้นชื่อเรื่องความหวงลูกหวงเมีย
“หึ ผมไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้นเลยนะสาวน้อย เอาล่ะถึงแล้วเชิญเข้าไปทำธุระตามสบาย” สาวน้อยที่ว่าแก้มแดงหน่อยๆจะด้วยเพราะอะไรก็ตามก็สุดจะคาดเดาแต่มันน่าเอ็นดูไม่น้อย เขาต้องบ้าหรือไม่ก็ผิดปกติอะไรสักอย่างไปแล้วแน่ๆ ที่คิดอยู่อย่างเดียวน่าแม่ลูกศิษย์
นามว่าจัสมินน่ารักทุกอิริยาบถ
“ขอบคุณค่ะ” กล่าวขอบคุณแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่าง รีบร้อนโดยมีสายตาของอาจารย์อนาวินมองตามหลังเข้าไปก่อนเจ้าตัวจะส่ายหน้าน้อยๆ กับตัวเอง
จัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินเอื่อยๆ ออกมา ไม่หวังว่าจะเจอคนที่พามาส่งถึงหน้าห้องน้ำอยู่แล้วและมันก็จริงดังคาดเพราะไม่มีเขายืนรอยู่จริงๆ ค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อย อึดอัดนิดๆเมื่อต้องอยู่ใกล้อาจารย์ที่เหมือนคนแปลกหน้าต่อกันอยู่ดี แต่อีกใจหนึ่งก็คัดค้านว่าเขาไม่ได้น่ากลัวหรืออันตรายใดๆ ออกจะใจดีด้วยซ้ำ
“แกล้งไม่เห็นหรือว่าเห็นแล้วแต่ไม่สนใจ” เขาถามอย่างใจเย็นเมื่อเห็นว่าสาวน้อยที่พามาเข้าห้องน้ำเดินมาแต่เหมือนในหัวกำลังคิดอะไรถึงไม่เห็นว่าเขายืนอยู่ เห็นว่าตรงนี้มันค่อนข้างลับสายตาคนเลยไม่กล้าปล่อยไว้คนเดียว แม้จะมั่นใจในความปลอดภัยของโรงแรมตัวเองแต่อะไรก็รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่มีอะไรจริงๆ เพราะค่ำคืนนี้มันมีงานประมูลของมีค่ามากมาย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยดูแลป้องกันเหตุร้ายหนาแน่นก็จริงแต่เพื่อความไม่ประมาทเขาจึงไม่กล้าเสี่ยงทิ้งแม่สาวน้อยแสนซุ่มซ่ามตามลำพัง
“ทำไมยังอยู่อีกล่ะ” พึมพำด้วยความแปลกใจจนคิ้วเรียวขมวดกันยุ่งเมื่อกี้ไม่มีเพราะเขามาอยู่ตรงปากทางเข้าตรงด้านหน้างั้นเหรอ
รอทำไมไม่ใช่เด็กแล้วนะที่ต้องมีผู้ใหญ่มาคอยดูแล สารพัดคำถามตีกันให้วุ่นวายสับสน
“ไปกันเถอะ”
“ไปไหนเหรอคะ”
“พาเด็กหลงทางไปส่งให้คุณพ่อคุณแม่ กลัวพวกท่านจะเป็นห่วง” คำพูดที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาทำให้คนฟังอดค่อนขอดไม่ได้ เหมือนจะตลกแต่ไม่เห็นยิ้มนอกจากหน้านิ่งๆ แต่สายตาที่จัสมินไม่ทันเห็นแฝงไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่ใครได้เห็นคงใจเต้นก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมคือเรียบนิ่ง
เด็กหลงทางค้อนแล้วทำปากขมุบขมิบที่คนหูดีได้ยินแว่วๆ ว่า
‘ไม่ใช่เบบี๋ เป็นสาวแล้วต่างหาก’ สาวที่เขารู้จักส่วนมากเจ้าหล่อนทั้งหลายจะมีแต่มุมสวยอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตามเมื่อยามอยู่ต่อหน้าเพศตรงข้าม และเท่าที่สังเกตไม่มีใครแสดงอาการเง้างอนได้เป็นธรรมชาติเท่าสาวที่มองยังไงก็เหมือนไม่โตคนนี้อยู่ดี