บทที่ 8
สิบเอ็ดปีต่อมา...มีนาคม 2555
ภายในห้องทำงานอันกว้างใหญ่หรูหราสมกับฐานะของนักธุรกิจชื่อดัง หล่อ และร่ำรวยติดอันดับของประเทศไทย เต็มไปด้วยความเงียบสงัด คงมีแค่เสียงลมหายใจแผ่วเบาของผู้ที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงานใหญ่เท่านั้น ที่บ่งบอกให้รู้ว่าภายในห้องนี้ยังมีคนนั่งทำงานอยู่
กรกฎวางมือจากงานที่ทำอยู่ตรงหน้า ซึ่งเขาคร่ำเคร่งเร่งสะสางงานกองโตแทบทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในสัปดาห์นี้ เพราะอาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์เขาจะไม่อยู่ประเทศไทย ต้องออกเดินทางไปต่างประเทศอย่างน้อยๆ ก็เจ็ดวันเต็ม
ชายหนุ่มเอนกายพิงพนักเก้าอี้หนาหนุ่ม พลางยกมือไล่อาการเมื่อยขบตามต้นคอและช่วงไหล่ให้พ้นจากตัว ขณะเดียวกันก็หลับตานิ่งๆ เพื่อไล่อาการปวดลูกตาให้ออกพ้นจากดวงตาคมกริบทั้งคู่
เมื่ออาการเมื่อยขบจากการคร่ำเคร่งทำงานเริ่มมลายออกจากเรือนกายล่ำสันบางแล้ว อีกทั้งงานกองมหึมาถูกสะสางจนเกือบหมดแล้ว กรกฎจึงผุดกายลุกขึ้นยืนเดินตรงไปยังด้านหน้าห้องทำงานซึ่งผนังห้องทำงานใช้กระจกใสกั้นทั้งหมด และการมาหยุดยืนตรงมุมนี้มันช่วยให้เขามองเห็นลานสเก็ตที่อยู่เบื้องล่าง และมองเห็นนักกีฬาที่กำลังซ้อมสเก็ตได้อย่างชัดเจน
ทว่าดวงตาคมกล้าทั้งคู่หาได้จ้องมองนักกีฬาในสังกัดสโมสรเดอะเวิลด์ ออฟ ไอซ์ สเก็ต เกือบสามสิบชีวิตไม่ เพราะดวงตาคมกล้าคู่นี้มีไว้เพื่อมองกาญต์พิชชาแต่เพียงผู้เดียว
“ข้าวฟ่าง...”
กรกฎพึมพำเรียกชื่อของกาญต์พิชชาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา โดยที่ดวงตาทั้งสองยังคงจับจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของกาญต์พิชชาแทบไม่กะพริบตา ขณะเดียวกันหัวใจอันแข็งแกร่งก็นึกถึงถ้อยคำที่กาญต์พิชชาเคยพูดกับตนเองตอนพบเจอกันครั้งแรก
‘คุณน้ากรกฎรอข้าวฟ่างด้วยนะคะ’
‘คุณน้ากรกฎอย่าลืมรอข้าวฟ่างนะคะ’
คำพูดของกาญต์พิชชายังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ราวกับเธอเพิ่งลั่นวาจาพูดกับเขาไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
“ผมยังรอคุณเสมอ ข้าวฟ่าง”
กรกฎกระซิบตอบคำขอร้องของกาญต์พิชชาที่ได้ลั่นวาจาไว้ ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่ากาญต์พิชชาจะรู้ไหมว่าเขายังรอเธออยู่เสมอ
สิบเอ็ดปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยมอบหัวใจอันแข็งแกร่งให้กับใคร และไม่เคยปล่อยให้หัวใจหลงรักสาวคนใดแม้แต่ผู้เดียว ไม่ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะเป็นถึงสาวไฮโซ หรือนางแบบ ทว่าพวกเธอได้แค่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาแล้วก็ผ่านเลยไปดุจดั่งสายน้ำไหลผ่านโขดหินเท่านั้น ไม่เคยมีใครได้รับความรักจากเขาแม้แต่เพียงผู้เดียว เพราะหัวใจของผู้ชายที่ชื่อกรกฎถูกวางให้สยบอยู่แทบเท้าของกาญต์พิชชาเป็นเวลานานแล้ว
กรกฎยังคงยืนทอดสายตาจ้องมองกาญต์พิชชาอย่างไม่รู้จักคำว่าเบื่อหน่าย ในยามอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อยจากการงานที่ต้องกุมบังเหียนรับผิดชอบมากมายจนล้นมือ เขามักจะมายืนทอดสายตาจ้องมองกาญต์พิชชาซ้อมสเก็ตเป็นเวลานาน การได้เห็นลีลาการสเก็ต การหมุน หรือการสเต็บเท้า รวมทั้งการแสดงท่าทางตามจังหวะเสียงเพลง ตามที่ถูกโค้ชสอนมาด้วยท่วงท่าอันพริ้วไหวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสเก็ตลีลา มันช่วยให้เขาหายจากอาการเหน็ดเหนื่อยในหน้าที่การงานได้ราวกับปลิดทิ้ง
และด้วยเพลิดเพลินกับการทอดสายตาจ้องมองกาญต์พิชชาจนลืมสรรพสิ่งนอกกาย กรกฎจึงไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องซึ่งดังขึ้นหลายครั้งแล้ว
เมื่อผู้เป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของห้องทำงานใหญ่โตไม่ขานรับสักที รณกรจึงถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้ามาโดยไม่ต้องรอให้เจ้านายหนุ่มออกปากเอ่ยอนุญาต พอเข้ามาเห็นเจ้านายผู้ชาญฉลาดยืนทอดสายตาจ้องมองนักสเก็ตดาวเด่นของสโมสรซึ่งนั่นก็คือกาญต์พิชชา อย่างไม่ไหวติง ก็ได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจแทนผู้เป็นเจ้านาย
“เจ้านายครับ”
“อะไร...” กรกรฎขานรับคำสั้นๆ โดยไม่ได้หันไปมองรณกรแม้แต่นิดเดียว
อาการของผู้เป็นเจ้านาย ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจใครนอกจากกาญต์พิชชาแต่เพียงผู้เดียว ทำให้รณกรต้องลอบถอนหายใจยาว พร้อมกับส่ายหน้าด้วยความหนักใจกว่าเดิมอีกหลายเท่า และด้วยความที่เป็นคนปากมาก รณกรจึงตัดสินใจเอ่ยถามเจ้านายในสิ่งที่เขากักเก็บไว้นานนับสิบปีแล้ว
“เจ้านายครับ ผมเอ่อ...รู้ว่าเจ้านายรักคุณข้าวฟ่างมาก ทำไมเจ้านายไม่บอกเธอว่าเจ้านายรักเธอ หรือแสดงออกให้คุณข้าวฟ่างเห็นว่าเจ้านายรักเธอมาก และรอเธอตลอดเวลาสิบเอ็ดปีที่ผ่านมา”
เอ่ยถามไปแล้วรณกรก็กลั้นหายใจรอฟังคำตอบ แต่พอเจ้านายหนุ่มหันมามองช้าๆ ด้วยสีหน้าและแววตาติดหมองเศร้าเล็กน้อย แถมยังเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาก็นึกเสียใจอยู่บ้างที่ตนเองหลุดปากเอ่ยถามออกไป
“ผมจะทำอย่างที่คุณแนะนำได้อย่างไร ข้าวฟ่างเป็นช้างเผือกในป่าใหญ่ เป็นดาวเด่นของวงการสเก็ตไทย อนาคตของข้าวฟ่างยังไปได้อีกไกล ผมไม่ควรเข้าไปตัวถ่วงอนาคตของข้าวฟ่าง”
“แต่เจ้านายครับ หากเจ้านายไม่หยิบยื่นโอกาสให้กับคุณข้าวฟ่าง...คุณข้าวฟ่างก็ไม่มีวันนี้เช่นเดียวกันนะครับ เจ้านายควรบอกคุณข้าวฟ่างนะครับว่าเจ้านายรักเธอมาก”
รณกรท้วงติงออกมาเบาๆ ซึ่งเรื่องที่เขาพูดออกมานั้นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว หลังจากกาญต์พิชชากลับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไปแล้ว ในวันรุ่งขึ้นเจ้านายหนุ่มและเขาก็เดินทางไปพบกับแม่ทิพย์ เพื่อบอกนางเรื่องการขออุปการะให้กาญต์พิชชาเป็นนักกีฬาในสโมสรเดอะเวิลด์ ออฟ ไอซ์ สเก็ต โดยทางสโมสรจะส่งให้กาญต์พิชชาเรียนในระดับสูงสุดเท่าที่กาญต์พิชชาจะสามารถเล่าเรียนได้
ขณะเดียวกันทางสโมสรก็จะจัดหาโค้ชเก่งที่สุด เพื่อสอนสเก็ตให้กับกาญต์พิชชาด้วย ซึ่งทางสโมสรจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด โดยไม่มีการเรียกร้องสิ่งใดตอบแทนจากกาญต์พิชชาเป็นเงินแม้แต่บาทเดียว
ทว่าสิ่งที่กรกฎขอกาญต์พิชชาในวันแรกที่กาญต์พิชชาเข้ามาเป็นนักกีฬาในสโมสรแห่งนี้คือ ขอให้เด็กน้อยตั้งใจเรียน ตั้งใจซ้อมกีฬา และเป็นคนดีของประเทศชาติ สิ่งที่กรกฎร้องขอมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น
กรกฎถอนหายใจลึกกับคำพูดของรณกร แม้รู้ว่าตนเองเป็นคนชุบชีวิต มอบอนาคตอันสดใสให้กับกาญต์พิชชา กระนั้นเขาก็ไม่กล้าเขาไปบอกเธอว่าเขารักเธอมาก และไม่กล้าแม้แต่จะเรียกร้องความรักกลับคืนมาจากกาญต์พิชชา
“ผมไม่กล้าบอกข้าวฟ่างหรอกรณกร คุณก็รู้ว่าผมกับข้าวฟ่างอายุต่างกันมาก”
“อายุมันเป็นเพียงตัวเลขนะครับเจ้านาย”
“สิ่งที่คุณพูดมามันอาจจะถูกต้อง แต่ผมไม่อยากให้ใครพูดว่าผมกำลังทำตัวไม่ต่างจากตาเฒ่าเลี้ยงต้อยเด็กน้อยไว้กินเอง”
กรกฎบอกถึงเหตุผลสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุผลแทงใจดำ ที่ทำให้เขาไม่กล้าบอกรัก ไม่กล้าเข้าใกล้กาญต์พิชชาไปมากกว่านี้ สิ่งที่เขาทำได้ตลอดสิบเอ็ดปีที่ผ่านมา และสิ่งที่เขาทำได้ในขณะนี้คือการเฝ้ามองยอดดวงใจของเขามีอนาคตอันสดใส เป็นนักสเก็ตชื่อก้องตามที่กาญต์พิชชาต้องการ
“โธ่...เจ้านายครับ ไม่มีใครกล้าพูดหรอกครับว่าเจ้านายเป็นตาเฒ่าเลี้ยงต้อยคุณข้าวฟ่างไว้เอ่อ...แต่งงานเอง”
รณกรเลือกใช้คำว่าแต่งงานในตอนท้ายแทนคำพูดที่เจ้านายหนุ่มเอ่ยออกมาในก่อนหน้านี้ เพราะเขารู้ว่าเจ้านายรักและจริงใจกับกาญต์พิชชามาก ซึ่งหากเป็นไปได้ เจ้านายหนุ่มคงขอกาญต์พิชชาแต่งงานเป็นคู่ชีวิตของเขาตลอดไป
กรกฎยกมือห้ามไม่ให้รณกรพูดต่อ ก่อนจะเอ่ยสำทับออกมาอีกครั้ง “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะรณกร ต่อให้คุณพูดกรอกหูทุกวัน ผมก็ไม่มีทางเข้าไปบอกข้าวฟ่างหรอกว่าผมรักเธอ ผมจะคอยอยู่ดูข้าวฟ่างแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
“แล้วถ้าเกิดมีชายอื่นมาฉกคุณข้าวฟ่างไปล่ะครับ เจ้านายจะว่าอย่างไรครับ”
คำถามของรณกรทำเอาดวงตาคมกล้าถึงกับไหววาบด้วยความหึงหวงซึ่งเจ้าตัวเผลอเผยออกมาให้เห็นชั่วขณะ ก่อนจะกะพริบตาถี่ๆ ให้อาการดังกล่าวลางเลือนไปจากดวงตาทั้งคู่ ทว่าความหึงหวงกลับฝั่งแน่นอยู่ในหัวใจอันแข็งแกร่งที่รณกรหรือใครๆ ไม่มีทางมองเห็นมันได้
“ข้าวฟ่างจะรักหรือชอบพอกับใครมันก็เป็นเรื่องของเธอ ผมคงไปห้ามเธอไม่ได้หรอกรณกร แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะรักข้าวฟ่างตลอดไป”
“เบื่อคนปากกับใจไม่ตรงกัน”
รณกรงึมงำออกมาด้วยความลืมตัว แต่พอได้ยินเสียงเจ้านายหนุ่มทำเสียงฮึ่มๆ ในลำคอ แถมยังจ้องมองเขาเขม็งราวกับจะจัดการเขาด้วยสายตาคมกริบคู่นี้ ก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนภัยจะมาถึงตัว
“เออ เจ้านายครับ ผมเอาข่าวของคุณข้าวฟ่างมาให้เจ้านายอ่านครับ”
ว่าแล้ว รณกรก็ยื่นหนังสือพิมพ์ในมือซึ่งมีทั้งหมดสามฉบับด้วยกันให้ผู้เป็นเจ้านายอ่าน และเพื่อความสะดวก เขาได้เปิดไปยังหน้าข่าวกีฬาให้กับเจ้านายอย่างพร้อมเสร็จสรรพ