บทที่ 7
การเล่นสเก็ตโดยมีเจ้าของสโมสรซึ่งเคยนักกีฬาสเก็ตน้ำแข็งเก่าคอยสอนวิธีการเดิน การวิ่งบนลาน แถมยังคอยประคับประคองในทุกครั้งที่ร่างเล็กกำลังจะล้มลง คอยจับมือพยุงให้กาญต์พิชชาผุดลุกขึ้นยืน และคอยปลอบประโลมในทุกคราที่เด็กน้อยล้มกระแทกกับพื้นน้ำแข็ง ผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความสนุกสนาน ท่ามกลางเสียงหัวเราะห้าวทุ้มของกรกฎ และเสียงหัวเราะหวานเล็กๆ ของกาญต์พิชชา
โดยทั้งสองคนไม่รู้สึกตัวว่าได้พากันเล่นสเก็ตผ่านไปเกือบสามชั่วโมงเต็ม จวบจนกระทั่งมีเสียงประกาศตามสายให้เด็กๆ จากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไปรวมตัวกันหน้าสโมสรเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน กาญต์พิชชาถึงกับทำหน้าสลดด้วยความเสียดาย เมื่อรู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขที่ตนเองได้รับในวันนี้กำลังจะหมดลงแล้ว
“คุณน้าคะ แม่ทิพย์ประกาศเรียกข้าวฟ่างแล้ว ข้าวฟ่างต้องกลับบ้านแล้วค่ะ”
กาญต์พิชชาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นาทีนี้รู้สึกว่าตนเองไม่อยากจากลานสเก็ตแห่งนี้ ไม่อยากจากคุณน้าผู้ใจดีไปไหน หากแม้นเป็นไปได้เธออยากอยู่เล่นสเก็ตกับเขาทั้งวันทั้งคืน แต่เมื่อไม่อาจทำตามใจต้องการได้ เด็กน้อยจึงจำต้องเดินออกจากลานสเก็ตอย่างแสนเสียดาย
กรกฎถอนหายใจลึก เมื่อรับรู้ได้ถึงความเศร้าสร้อยที่เผยออกมาจากใบหน้าของกาญต์พิชชา ชายหนุ่มช่วยเด็กน้อยถอดหมวกกันน็อครวมทั้งอุปกรณ์การเล่นสเก็ตน้ำแข็งออกจากร่างเล็ก และก่อนที่กาญต์พิชชาจะเดินกลับไปหาแม่ทิพย์ตามเสียงประกาศเรียก ชายหนุ่มก็เอ่ยถามเสียงห้าวทุ้มว่า
“ข้าวฟ่าง ชอบเล่นสเก็ตน้ำแข็งมากไหมครับ”
กาญต์พิชชาทอดสายตามองไปยังลานสเก็ตน้ำแข็งใหญ่โตด้วยสายตาละห้อยเผยแววเศร้าสร้อยให้ผู้เอ่ยถามรวมทั้งรณกรได้เห็น จากนั้นก็เอ่ยตอบตามความรู้สึกของตนเองในขณะนี้
“ข้าวฟ่างชอบสเก็ตน้ำแข็งมากค่ะ แต่ข้าวฟ่างคงไม่มีโอกาสมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งอีก ข้าวฟ่างจะจำวันเด็กปีนี้ไว้ในใจของข้าวฟ่างตลอดไปค่ะ”
น้ำเสียงที่เอ่ยตอบอย่างเศร้าสร้อย เพราะรู้ว่าตนเองอยู่ในฐานะอะไร รู้ว่าตนเองขาดซึ่งโอกาสอันสวยงามเฉกเช่นเด็กคนอื่นๆ ที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ทำเอากรกฎและรณกรต้องหันมามองหน้ากันพลางถอนใจหายยาวด้วยความรู้สึกสงสารกาญต์พิชชาไม่แพ้กัน
และก็เป็นกรกฎที่เป็นผู้หยิบยื่นอนาคตอันสวยงามให้กับเด็กน้อยที่ชื่อกาญต์พิชชา
“ข้าวฟ่าง ถ้าหากผมจะอุปการะข้าวฟ่างให้เป็นนักกีฬาในสโมสรของผม ข้าวฟ่างเต็มใจมาอยู่ในสโมสรเดอะเวิลด์ ออฟ ไอซ์ สเก็ต ไหมครับ”
“คะ...คุณ...คุณน้าจะให้ข้าวฟ่างเป็นนักกีฬาในสโมสรของคุณน้าหรือคะ”
กาญต์พิชชาเบิกตาโต ดีใจจนนึกอะไรไม่ออก น้ำเสียงที่เอ่ยถามออกมาติดตะกุกตะกักแฝงไปด้วยความดีใจอย่างยิ่ง
“ถูกต้องแล้วครับ ถ้าหากข้าวฟ่างพร้อมมาอยู่ในสโมสร มาฝึกเล่นสเก็ตภายใต้การดูแลของโค้ชผู้เชี่ยวชาญ ผมก็พร้อมสนับสนุนข้าวฟ่างและผมจะเป็นคนไปแจ้งเรื่องนี้ให้แม่ทิพย์ของหนูทราบด้วยตนเองครับ”
ไม่เคยมีครั้งใดที่กรกรฎจะรู้สึกว่า เขาได้เอ่ยตอบตกลงรับคำกับใครคนใดคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นที่สุด และคำตอบของเขาก็เรียกรอยยิ้มหวานๆ ให้ปรากฏบนใบหน้าดวงเล็กได้ทันที
“ตกลงค่ะคุณน้า ข้าวฟ่างอยากเป็นนักกีฬาสเก็ตน้ำแข็ง ข้าวฟ่างอยากมีเงินเยอะๆ ข้าวฟ่างจะเก็บซื้อบ้านให้กับตัวเองให้ได้ค่ะ”
กาญต์พิชชาคลี่ยิ้มกว้างใบหน้าเล็กระบายไปด้วยริ้วรอยแห่งความสุขกับสิ่งที่เอ่ยตอบออกมา ดวงตากลมโตเปล่งประกายวาววับกับความฝันที่วาดวางไว้ในอากาศ ซึ่งเด็กน้อยให้สัญญากับตัวเองว่าสักวันจะทำความฝันให้เป็นจริงให้จงได้
และด้วยความดีใจ รู้สึกอบอุ่นใจกับการกระทำที่ผ่านๆ ของบุรุษหนุ่มผู้นี้ ซึ่งไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้มาก่อน เด็กน้อยจึงโผเข้าไปสวมกอดร่างกำยำล่ำสันของกรกฎไว้แน่น พร้อมกับเงยหน้าขึ้นทอดสายตาจ้องมองกรกฎด้วยสายตาชื่นชมบูชาไม่ต่างจากเขาเป็นเทพบุตรของเธอ จากนั้นก็ถามกรกฎในสิ่งที่เธอควรจะถามเขาตั้งแต่แรกพบกันแล้ว
“ข้าวฟ่างขอบคุณคุณน้ามากๆ นะคะ ว่าแต่คุณน้าชื่ออะไรคะ ข้าวฟ่างยังไม่รู้จักชื่อคุณน้าเลยคะ”
“กรกฎครับ ผมชื่อกรกฎครับ”
กรกฎเอ่ยตอบราวกับคนละเมอ การถูกสวมกอดด้วยลำแขนเล็กๆ ของกาญต์พิชชาซึ่งโผเข้ากอดเขาไว้แนบแน่น ทำเอาเขาตัวแข็งทื่อ อารมณ์กำหนัดพุ่งพล่านตีประดังปวดร้าวไปหมด จนต้องขบกรามแน่นบังคับกายให้สงบนิ่งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรือนกายและหัวใจไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งจากหัวสมองเอาซะเลย สุดท้ายก็ต้องยกมือทั้งสองขึ้นแล้วจับบ่าเล็กไว้มั่น ก่อนจะดันร่างเล็กของกาญต์พิชชาให้ถอยห่างจากตัวเขาให้ได้มากที่สุด
‘นรก! แกกลายเป็นคนจิตวิตถารหลงรักเด็กๆ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน’
อีกครั้งที่กรกฎต้องก่นด่าตัวเองอยู่ในใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขา ซึ่งความรู้สึกนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นกับเด็กน้อยที่มีอายุแค่เพียงไม่กี่สิบขวบ
“แม่ทิพย์ประกาศเรียกอีกครั้งแล้ว ข้าวฟ่างรีบไปหาแม่ทิพย์เถอะครับ”
กรกฎเอ่ยบอกเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกจากแม่ทิพย์อีกครั้ง และคราวนี้แม่ทิพย์ก็ประกาศเรียกกาญต์พิชชาโดยเฉพาะ
“ข้าวฟ่างกลับก่อนนะคะ คุณน้ากรกฎรอข้าวฟ่างด้วยนะคะ” กาญต์พิชชาเอ่ยบอกเสียงหวาน ไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนเองทำให้กรกฎคิดไปไกลมากเพียงใด
“ครับข้าวฟ่าง ผมจะรอข้าวฟ่างนะครับ”
กรกฎรับคำเสียงทุ้มนุ่มนวล และด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจจนล้นปรี่ ทำให้ชายหนุ่มกระทำในสิ่งที่รณกรคาดไม่ถึง และแม้แต่ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกันว่ากำลังทำตามหัวใจเรียกร้อง ทั้งๆ ที่ไม่สมควรกระทำแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มก้มใบหน้าลงต่ำกดจุมพิตหนักๆ ลงไปบนหน้าผากและกระหม่อมบางของกาญต์พิชชาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะผละออกแล้วก้าวเท้าถอยหลังห่างจากร่างเล็กของกาญต์พิชชาอีกหลายก้าว ด้วยเกรงว่าตนเองจะหักห้ามใจไม่อยู่และทำในสิ่งอันไม่สมควรไปมากกว่านี้
กาญต์พิชชายังไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกยิ่งนัก เด็กน้อยรู้สึกอุ่นวาบทั่วหัวใจดวงน้อย ซึ่งเจ้าตัวคิดว่าหากตนเองถูกผู้เป็นบิดาโอบกอด ก็คงมีความรู้สึกอบอุ่นไม่ต่างจากถูกกรกฎโอบกอดและจุมพิตในขณะนี้
“ข้าวฟ่างกลับแล้วนะคะ บ๊าย บายค่ะ คุณน้ากรกฎอย่าลืมรอข้าวฟ่างนะคะ”
กรกฎพยักหน้ารับ จากนั้นก็ทอดสายตาคมกล้าจ้องมองกาญต์พิชชาค่อยๆ ก้าวเดินจากเขาไปจนลับสายตา โดยไม่ลืมเอ่ยคำมั่นสัญญาตามหลังเด็กน้อยด้วย
“ผมจะรอข้าวฟ่างตลอดไปครับ”