บทที่ 6
การกระทำค่อนข้างรุนแรงและไร้มารยาทกับเด็กน้อยตัวเล็กๆ ทำให้ผู้เป็นเจ้า
ของสโมสรไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป พอเห็นร่างเล็กของเด็กน้อยร่างเล็กเซถลาล้มลงก็รีบก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปประคอง พร้อมกับส่งสายตาดุคมกริบจ้องมองเขม็ง แล้วเค้นเสียงเย็นยะเยือกตำหนิเหน็บแนมนักกีฬาที่ไร้น้ำใจผู้นี้
“เท่าที่ผมจำได้ ผมสั่งกับรณกรและนักกีฬาทุกคนไว้ว่าวันนี้ให้เด็กๆ จากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเข้ามาเล่นสเก็ตในลานสเก็ตทั้งสามลานของผมได้ตามสบายไม่ใช่หรือครับ”
“คะ...คุณ...กรกฎ”
นักกีฬาสาวถึงกับหน้าถอดสีเผือดเอ่ยเรียกผู้เป็นเจ้าของสโมสรและเป็นเจ้านายของเธอด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเพราะความหวาดกลัวต่อสายตาคมกริบที่กำลังจ้องมองมา
กรกฎ นนทยุทธ เจ้าของนัยต์ตาคมกริบดุจดวงตาพญาอินทรี ใบหน้าหล่อเหล่าคมเข้มดุดัน เรือนกายล่ำสันไม่ต่างจากนักรบโบราณ เป็นนักธุรกิจหนุ่มผู้ร่ำรวย ได้รับเลือกให้เป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงแห่งปีด้วยวัยแค่เพียง 24 ปี ช่วยประคองให้ร่างเล็กของหนูน้อยกาญต์พิชชาลุกขึ้นยืนเคียงข้างกายเขา โดยลำแขนแข็งแกร่งข้างหนึ่งยังคงโอบกอดร่างเล็กของกาญต์พิชชาไว้ตลอดเวลาขณะเค้นเสียงตำหนินักกีฬาในสังกัดอีกรอบ
“ผมควรมีน้ำใจมากกว่านี้ และไม่ควรทำรุนแรงกับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นกับเด็กคนนี้หรือเด็กทุกๆ คนที่เข้ามาเล่น
สเก็ตบนลานสเก็ตภายในสโมสรของผม ถูกต้องไหมชนิตา”
นักกีฬาสาวผู้เป็นเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้งโหยงหน้าซีดเสียยิ่งกว่าชุดสีขาวสะอาดที่เธอกำลังสวมใส่อยู่ เมื่อถูกกรกฎเค้นเสียงเรียกชื่อของเธอด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับหลุดออกมาจากขุมนรก
ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ยินบรรดาเพื่อนๆ นักกีฬาด้วยกันต่างก็กล่าวขานว่า กรกฎ นนทยุทธ ผู้เป็นเจ้าของสโมสรน่ากลัว น่าเกรงขามพอๆ กับความหล่อเหลาคมเข้มของเขา ในตอนแรกเธอไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร ด้วยไม่เคยประจันหน้ากับกรกฎเฉกเช่นในครั้งนี้มาก่อน เธอเคยเห็นเจ้าของสโมสรผู้นี้ในระยะหลายร้อยเมตร เพราะกรกฎไม่เคยข้องแวะใกล้ชิดกับนักกีฬาในสังกัดมากเกินควร คำสั่งทุกถ้อยคำทุกประโยคของเขา มักถูกนำมาถ่ายทอดโดยรณกรเลขาฯ มือขวาของเขาอีกที
และเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับผู้เป็นเจ้าของสโมสร ในสถานการณ์ที่เธอกำลังกลายเป็นคนไม่ดีในสายตาของเขา แถมยังถูกตำหนิติเตียน และถูกจ้องมองเขม็งด้วยสายตาคมกริบอย่างไม่พอใจของผู้เป็นเจ้าของดวงตาคมกล้า ทำเอาชนิตาแทบจะร้องไห้ออกมาให้ได้
“เอ่อ...นิต้าขอโทษค่ะคุณกรกฎ ต่อไปนิต้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วค่ะ”
เมื่อขอโทษทั้งจากถ้อยคำและด้วยการยกมือไหว้เรียบร้อยแล้ว นักกีฬาสาวแล้งน้ำใจก็รีบกลับไปซ้อมสเก็ตตามหน้าที่ของตนเองอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้นานเกินวินาที ด้วยเกรงว่าจะถูกกรกฎตำหนิต่อว่าไปมากกว่านี้
กรกฎมองตามนักกีฬาในสังกัดของตนเองด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร เห็นทีว่าเขาต้องเรียกนักกีฬาทุกคนภายใต้การดูแลของสโมสรเดอะเวิลด์ ออฟ ไอซ์ สเก็ต มาอบรมและพูดคุยถึงเรื่องการมีมารยาท มีน้ำใจกันอีกยกใหญ่เป็นแน่
เมื่อชนิตาเดินเป็นวิ่งพ้นจากรัศมีที่จะได้ยินเสียงการสนทนาแล้ว กรกฎก็หันมาให้ความสนใจเด็กน้อยตัวเล็กที่เขายังคงยืนโอบแขนไปรอบบ่าเล็กเช่นเดิม
“อยากเล่นสเก็ตน้ำแข็งเหมือนพี่ๆ เขาหรือครับ”
กรกฎย่อตัวลงเล็กน้อย เพื่อให้ใบหน้าคมเข้มของตนเองอยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้าเล็กส่อเค้าความงามของเด็กน้อย ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลอย่างไม่เคยพูดกับใครมาก่อน จนเขานึกแปลกใจว่าทำไมถึงได้เอ็นดูเด็กน้อยคนนี้ยิ่งนัก
กาญต์พิชชาเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตดำขลับจ้องมองบุรุษหนุ่มผู้ใจดี ที่ยืนอยู่ข้างกายตนเองเขม็ง พอพานพบความจริงใจ พานพบกับกระแสแห่งความอบอุ่นที่บุรุษหนุ่มหล่อเหลาผู้นี้มอบให้ เด็กน้อยก็คลี่ยิ้มหวาน ก่อนจะเอ่ยตอบออกมาในที่สุด
“ค่ะคุณน้า ข้าวฟ่างอยากเล่นสเก็ตค่ะ”
กรกฎถึงกับเกิดอาการหัวใจกระตุกวาบเมื่อดวงตาคมกล้าปะทะกับรอยยิ้มหวานเปิดให้ดวงหน้าเล็กๆ ดูสดใสขึ้นมาในทันทีทันใด และอาการหัวใจกระตุกอุ่นวาบไปทั่วทั้งสี่แห่งห้องที่จู่โจมเข้าสู่หัวใจอย่างฉับพลันทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แค่เพียงได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ ของเด็กน้อยวัยกระเตาะอายุอานามน่าจะน้อยกว่าเขาหลายรอบ ทำเอากรกฎนึกก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ
‘ไอ้กรกฎ! ไอ้บ้ากาม เห็นแค่รอยยิ้มหวานๆ ของเด็กน้อยคนนี้แกก็เกิดอาการหัวใจกระตุกแล้วหรือวะ’
เมื่อบุรุษหนุ่มหล่อเหลาและดูท่าว่าจะใจดีอยู่ไม่น้อย นิ่งเงียบไปนานหลายนาที กาญต์พิชชาก็ทำใจกล้าเอื้อมมือไปแตะตรงต้นแขนแข็งแกร่งของอีกฝ่าย พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนขณะขอร้องเสียงแผ่วเบา
“คุณน้าคะ ข้าวฟ่างขออนุญาตเล่นสเก็ตบนลานนี้ได้ไหม”
กรกฎคลี่ยิ้มกว้างพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ได้สิครับ ต่อไปถ้าหากข้าวฟ่างอย่างเล่นสเก็ตลานไหน อยากมาเล่นเวลาไหนก็เลือกเล่นได้ตามใจชอบเลยครับ”
“จริงหรือคะคุณน้า”
กาญต์พิชชาเบิกตาโต ดวงตาดำขลับมันระยับแพรวพราวด้วยความดีใจตอนได้ยินคำตอบจากคุณน้าผู้ใจดี
“จริงสิครับ เดี๋ยวคุณน้าจะบอกเจ้าหน้าที่ดูแลลานสเก็ตไว้ หากข้าวฟ่างมาถึงก็เข้าไปเล่นได้เลยครับ”
กรกฎรับคำพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างระบายไปทั่วใบหน้าหล่อเหลา
“ขอบคุณคุณน้ามากๆ เลยนะคะ คุณน้าใจดีกับข้าวฟ่างมากเลยค่ะ”
กาญต์พิชชาคลี่ยิ้มกว้าง ขณะขอบคุณเสียงหวานก็ไม่ลืมยกมือไหว้บุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาที่เธอยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย
“ข้าวฟ่างเคยเล่นสเก็ตน้ำแข็งไหมครับ”
กรกฎเอ่ยถามพร้อมกับเดินไปหยิบรองเท้าสเก็ตที่ถูกชนิตาจับขว้างทิ้งในก่อนหน้านี้มาถือไว้ จากนั้นก็จับมือเล็กของกาญต์พิชชาไว้มั่นแล้วพาเดินไปทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ยาวข้างๆ ลานสเก็ตเพื่อให้เด็กน้อยสวมใส่รองเท้าได้สะดวกยิ่งขึ้น
กาญต์พิชชาทรุดกายลงนั่งข้างๆ เรือนกายล่ำสันของคุณน้าที่เธอยังไม่รู้จักชื่อ ทว่าเด็กน้อยรู้แค่เพียงว่าอีกฝ่ายใจดีกับเธอเหลือเกิน จากนั้นก็ส่ายหน้าเอ่ยตอบออกมา
“ข้าวฟ่างยังไม่เคยเล่นสเก็ตน้ำแข็งเลยค่ะคุณน้า”
“ถ้างั้นเรามาทำความรู้จักกีฬาประเภทนี้ก่อนนะครับ”
กรกฎเอ่ยบอกเพียงสั้นๆ ดวงตาคมกล้าทอดมองเด็กน้อยน่ารักข้างกายสลับกับการมองไปยังลานสเก็ตอันใหญ่โต จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเลขาฯ ส่วนตัว พออีกฝ่ายรับโทรศัพท์แล้วก็เอ่ยบอกความต้องการของตนเองโดยไม่มีการทักทายผู้เป็นลูกน้องแม้แต่คำเดียว
“รณกร เอารองเท้าสเก็ตมาให้ผมที่ลานสเก็ตลานที่สามด้วย”
เอ่ยสั่งอย่างคนใจร้อนไปแล้ว กรกฎก็กดตัดสายการสนทนา ไม่รอฟังการทักทายหรือรอฟังคำซักถามจากผู้เป็นลูกน้องแม้แต่นาทีเดียว และเชื่อว่าไม่เกินสิบนาที รณกรคงวิ่งกระหืดกระหอบนำรองเท้าสเก็ตมาให้ตนเองอย่างแน่นอน
เมื่อถ่ายทอดคำสั่งกับลูกน้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กรกฎก็หันมาให้ความสนใจกับกาญต์พิชชาต่อ ชายหนุ่มหยิบรองเท้าคู่เล็กพอเหมาะกับเท้าทั้งสองข้างของกาญต์พิชชามาถือไว้ ก่อนจะเอ่ยบอกให้เด็กน้อยเข้าใจถึงกีฬาประเภทนี้
“ข้าวฟ่างรู้ไหมครับว่าการเล่นกีฬาสเก็ตน้ำแข็งคือการเดินทางไปบนน้ำแข็ง โดยการใส่รองเท้าสเก็ตน้ำแข็ง ที่มีลักษณะเหมือนรองเท้าหุ้มข้อสูง แต่มีใบมีดที่พื้นรองเท้าที่ทำมาจากโลหะ”
กรกฎชี้นิ้วให้กาญต์พิชชาดูใบมีดของรองเท้าสเก็ตที่ตนเองกำลังพูดถึง จากนั้นก็อธิบายเพิ่มเติมอย่างผู้มีความรู้ในกีฬาประเภทนี้เป็นอย่างดี
“รองเท้าสเก็ตประกอบไปด้วยสองส่วนนะครับ คือส่วนที่เป็นรองเท้า (Boot) และส่วนที่เป็นใบมีด (Blade) สำหรับใบมีดก็มีส่วนประกอบย่อยอีกสามส่วนคือส่วนที่เรียกว่า Rocker ส่วนที่เป็นขอบ (Edges) ประกอบด้วยขอบใน (Inside edge) และขอบนอก (Outside edge) เวลาเราสเก็ตไปบนพื้นน้ำแข็ง จะใช้แค่บริเวณขอบใบมีดสัมผัสกับผิวน้ำแข็งแค่เพียงเล็กน้อย เพื่อลดแรงเสียดทานด้วย”
ขณะอธิบายให้ผู้ที่ใหม่ต่อกีฬาสเก็ตน้ำแข็งได้รับรู้ความเป็นไปเป็นมาของกีฬาประเภทนี้ กรกฎก็ทอดสายตาจ้องมองใบหน้าเล็กๆ ของกาญต์พิชชาเขม็ง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องมานั่งอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้กาญต์พิชชาฟัง และไม่เข้าใจว่าทำไมหัวใจของเขาถึงกระตุกไหววาบในทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มสดใสจากเด็กน้อยผู้นี้ จนนึกก่นด่าตัวเองเป็นรอบที่ร้อยแล้ว ที่ดันมีความรู้สึกเช่นนี้กับเด็กอายุไม่กี่สิบขวบ แต่กับบรรดาสาวๆ หุ่นอวบอั๋น ขาวผ่องยองใยซึ่งเวลาอยู่ใกล้กันมักจะเบียดเนินเนื้อและปทุมถันเข้าแนบชิดกายเรือนล่ำสัน เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย บางครั้งกลับรู้สึกรำคาญด้วยซ้ำไป
‘กรกฎ! แกต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ’
กรกฎพึมพำด่าตัวเองอยู่ในใจอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์บางอย่างที่กำลังตีประดังเข้ามาจนเขารู้สึกปวดหัวไปหมด
“ข้าวฟ่างใส่รองเท้าสเก็ตให้เรียบร้อยนะครับ เดี๋ยวผมจะไปหยิบอุปกรณ์อันอื่นๆ มาให้ข้าวฟ่างใส่ด้วย”
“ค่ะคุณน้า”
กาญต์พิชชารับคำโดยไม่ลืมคลี่ยิ้มหวานให้กับกรกฎอีกครั้ง ทำเอาผู้ที่หัวใจกำลังเต้นรัวเร็วถึงกับรีบเผ่นออกจากเก้าอี้ม้านั่งอย่างรวดเร็ว
“กรกฎ พรุ่งนี้แกต้องไปพบจิตแพทย์ ให้คุณหมอเช็คสติของแกว่ายังเป็นปกติดีอยู่หรือเปล่า”
เจ้าของสโมสรสเก็ตน้ำแข็งแห่งนี้งึมงำบอกตัวเองอยู่ในลำคอ ขณะก้าวเดินตรงไปยังล็อกเกอร์เพื่อหยิบสนับเข่า สนับข้อศอก และหมวกกันน็อคมาให้กาญต์พิชชาสวมขณะลงเล่นสเก็ตน้ำแข็ง
เมื่อได้อุปกรณ์ตามที่ต้องการครบแล้ว กรกฎก็เดินกลับมาหากาญต์พิชชาอีกครั้ง ในตอนนี้กาญต์พิชชาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวแล้ว แต่มีเลขาส่วนตัวของเขายืนอยู่ข้างๆ ในมือมีรองเท้าสเก็ตหนังแท้ของเขาถืออยู่ด้วย
พอเห็นเจ้านายหนุ่มเดินตรงมายังบริเวณที่ตนเองและกาญต์พิชชานั่งอยู่ รณกรก็รีบยิงคำถามชุดใหญ่ใส่เจ้านายด้วยความสงสัยระคนแปลกใจอยู่มาก ที่จู่ๆ ก็เห็นเจ้านายกลับมาถึงก่อนกำหนดหลายชั่วโมง แถมยังเดินทางมายังสโมสรโดยไม่มีการเรียกให้เขาไปรับที่สนามบินด้วย
“เจ้านาย มาถึงเมืองไทยเมื่อไรครับ แล้วเจ้านายมาที่สโมสรเองหรือครับ ทำไมไม่โทรให้ผมไปรับในสนามบินล่ะครับเจ้านาย...”
กรกฎหัวเราะเบาๆ พร้อมกับยกมือห้ามทัพสกัดกั้นประโยคถ้อยคำที่เหลือไม่ให้รณกรเอ่ยถามต่อ พอลูกน้องชะงักไปชั่วขณะก็เอ่ยตอบเพียงสั้นๆ ทว่าได้ใจความยิ่งนัก
“เอาไว้ผมจะตอบคำถามของคุณทีหลังนะรณกร ตอนนี้ช่วยส่งรองเท้าสเก็ตมาให้ผมก่อน”
“เอ่อ...ได้ครับเจ้านาย”
แม้ออกจะงุนงงกับการกระทำของเจ้านายหนุ่มอยู่มาก แถมยังคันปากหยิกๆ อยากถามเจ้านายจับใจว่ากำลังจะทำอะไร แต่กระนั้นรณกรก็ไม่อาจหลุดปากเอ่ยถามออกมาได้ เพราะรู้ดีว่าหากผู้กุมบังเหียนสโมสรแห่งนี้ไม่อยากพูด ต่อให้เขาถามจนเมื่อยปาก ก็ไม่มีทางได้รับคำตอบกลับคืนมา สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือการรอและรอเท่านั้น รอให้เจ้านายพร้อมเขาถึงจะสามารถออกปากเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาใจของเขาได้
ทางด้านของกรกฎพอรับรองเท้าสเก็ตหนังแท้มาจากรณกรแล้วก็รีบสวมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นำสนับเข่า สนับศอกที่หยิบติดมือมาก่อนหน้านี้ไปสวมให้กับกาญต์พิชชา ซึ่งตอนนี้สวมรองเท้าสเก็ตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ใส่สนับเข่า สนับศอกก่อนจะข้าวฟ่าง เวลาล้มกระแทกจะได้ไม่เจ็บมาก”
“ค่ะคุณน้า”
กาญต์พิชชาเอ่ยตอบเพียงสั้นๆ ทว่าทุกครั้งที่เอ่ยตอบออกมา ดวงตากลมโตเปล่งประกายสุกสกาว ใบหน้าเล็กประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานอยู่ตลอดเวลา ทำเอากรกฎเกิดอาการตาพร่ามัวครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากรับคำของกรกฎไปแล้ว กาญต์พิชชาก็ยื่นมือไปข้างหน้าหมายจะรับอุปกรณ์ช่วยป้องกันอันตรายให้กับตนเองมาสวมใส่ ทว่ากรกฎส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะเป็นฝ่ายสวมให้กับเด็กน้อยเอง
“เดี๋ยวผมใส่ให้เองครับ”
ว่าแล้วกรกฎก็ถือวิสาสะสวมสนับเข่าและสนับศอกทั้งสองข้างให้กับกาญต์พิชชา ตามด้วยหมวกกันน็อคอุปกรณ์ป้องกันอันตรายสำคัญที่สุดสำหรับนักกีฬาทุกคน และสำหรับคนที่เพิ่งเล่นสเก็ตน้ำแข็งเป็นครั้งแรกเฉกเช่นกาญต์พิชชา
“เรียบร้อยแล้วครับ”
กรกฎเอ่ยบอกยิ้มๆ ขณะใส่หมวกกันน็อคให้กับกาญต์พิชชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็จับข้อมือเล็กทั้งสองไว้มั่น ก่อนจะก้าวเดินแบบถอยหลังเข้าไปในลานสเก็ต เพื่อเป็นการประคองคนที่ไม่เคยเล่นสเก็ตอย่างกาญต์พิชชาให้เดินตามตนเองได้โดยสะดวก
“ค่อยๆ เดินนะครับ เดี๋ยวผมจะสอนข้าวฟ่างเล่นสเก็ตน้ำแข็งเองครับ”
กรกฎเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่นไม่ต่างจากทุกครั้ง เมื่อเอ่ยพูดกับกาญต์พิชชา ชายหนุ่มพาเด็กน้อยนัยน์ตากลมโตเข้าไปเล่นสเก็ตบนลานอันกว้างใหญ่โดยไม่สนใจสายตาของนักกีฬาอีกหลายๆ คน รวมทั้งสายตาของรณกรซึ่งกำลังจ้องมองด้วยความแปลกใจอย่างยิ่งยวด