ว่าที่คู่หมั้น
รถยนต์คันหรูวิ่งฉิวไปตามท้องถนนในเมืองหลวงที่แสนวุ่นวายฝ่าจราจรอันหนาแน่นเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง เจ้าของใบหน้าคมสันยังคงนั่งนิ่งตีสีหน้าเรียบเฉยเอนกายพิงเบาะหนังสีครีมราวกับคนที่ดูเหนื่อยล้า สายตาคมกริบฉายแววเย็นชาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ จ้องมองตึกสูงใหญ่ของเมืองหลวงที่รถกำลังเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วอย่างคนใจลอย เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่เขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานโดยที่แทบจะไม่มีเวลาได้กลับบ้านช่อง เพราะตั้งแต่รับช่วงต่อจากสุชาติผู้เป็นพ่อขึ้นมานั่งแท่นผู้บริหารอย่างเต็มตัว ส่วนใหญ่เขาจะพักอยู่ที่เพ้นท์เฮ้าส์ส่วนตัวมากกว่าที่จะอยู่บ้าน เพราะใกล้สถานที่ทำงานจะได้ไม่เสียเวลาวนรถกลับไปมาให้วุ่นวาย
ครืด ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์มือถือแผดเสียงดังขึ้นมา ทำให้เจ้าของใบหน้าคมสันหลุดออกจากภวังค์ความคิด มือหนาหยิบยกโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นมาดูก่อนเขาจะกดรับสาย และยกขึ้นมาแนบหูทันทีที่หน้าจอปรากฏชื่อของผู้เป็นแม่
“ครับคุณแม่” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่แฝงไปด้วยความเย็นชาเอ่ยขึ้น
“ถึงไหนแล้วลูก ทำไมช้าจัง รถติดหรือเปล่า?”
“ครับคุณแม่ อีกไม่เกินสิบนาทีก็จะถึงบ้านแล้วครับ”
“จ้ะลูก รีบมานะจ้ะตอนนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันหมดแล้ว รอก็แค่เสือคนเดียว”
“ครับคุณแม่”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ….
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ หลังจากวางสาย เพียงไม่นานรถยนต์คันหรูก็ขับเลี้ยวเข้ามาในรั้วของคฤหาสน์ปรีดาศิริกุล ไทสันลูกน้องคนสนิทรีบลงจากรถคันหรู และอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อเปิดประตูรถให้กับผู้เป็นเจ้านาย
เจ้าของร่างสูงโปร่งก้าวขายาวๆ ลงจากรถด้วยท่วงท่าที่ดูมาดมั่นแต่แฝงไปด้วยความสุขุม ก่อนดวงตาคมจะเหลือบไปเห็นรถยนต์สีดำคันหนึ่งที่ไม่ใช่รถของบ้านตัวเองจอดอยู่ ก่อนเขาจะถอนหายใจออกมาเบาๆ อีกครั้ง เพราะเขาเองย่อมรู้ดีว่าเป็นรถของใคร และครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวของว่าที่คู่หมั้น ซึ่งเป็นผู้หญิงที่คุณหญิงยุวดีแม่ของเขาตั้งใจไว้ว่าจะให้เขาได้ลงเอยกับคนที่ตนเองนั้นหมายตาเอาไว้
“อ้าวเสือ มาถึงแล้วเหรอ” แคทเอ่ยขึ้นทักทายน้องชายเพียงคนเดียวของเธอเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาภายในบ้าน
“อืม แล้วนี่พี่จะไปไหน”
“พี่กำลังจะไปดูแม่ครัวหน่อยน่ะว่าเตรียมอาหารคาวหวานใกล้เสร็จหรือยัง แกรีบเข้าไปข้างในเถอะผู้ใหญ่รออยู่นานแล้ว”
เขาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินแยกตัวเข้าไปภายในห้องรับแขก วันนี้ไม่ใช่วันที่ผู้ชายอย่างเขาคาดหวังมากนัก แต่กลับทำให้หัวใจแกร่งเต้นแรงและรู้สึกตื่นเต้นผิดปกติ ใบหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยความสุขุม ทว่าความรู้สึกข้างในกลับไม่สงบ เขากำลังจะได้พบกับผู้หญิงที่แม่ของเขาอยากให้เขาแต่งงานด้วย ซึ่งเขาไม่รู้จักมาก่อนแต่จำต้องทำตามความต้องการของครอบครัวโดยเฉพาะผู้เป็นแม่
ภายในห้องรับแขกทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส แต่ทันใดนั้นเองดวงตาของเขาก็สะดุดเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ เธอสวมชุดเดรสสีครีมเรียบหรูพอดีตัวที่ทำให้เธอดูสวยสง่า ผมยาวสลวยของเธอปล่อยคลุมหลังลงมาอย่างนุ่มนวล ใบหน้าสวยแต่งแต้มด้วยเมคอัพบางเบาที่ช่วยเน้นความงามที่เป็นธรรมชาติ ทัชชกรหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เขาจำได้แม่นว่าหญิงสาวตรงหน้านั้น เธอเป็นคนเดียวกันกับหญิงสาวที่เขาเห็นในผับ เธอเป็นผู้หญิงที่เขามองแล้วรู้สึกตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น ตอนนั้นเขารู้สึกว่ามันเป็นเพียงความประทับใจชั่วครั้งชั่วคราว เพราะเธอน่าจะเป็นแฟนสาวของพีระวิทย์เพื่อนเก่าที่เป็นคู่แข่งของเขาในครั้งสมัยเรียนปีหนึ่ง เพราะความสนิทสนมกลมเกลียวที่เขาเห็นในวันนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาเป็นคนรักกัน แต่ในวันนี้….เขากลับได้พบเธออีกครั้งในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
ทุกคนกำลังพูดคุยสนทนาอย่างเป็นกันเอง ถ้าจะให้เดาก็คงจะพูดคุยกันเรื่องงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้น แขกผู้ชายที่กำลังจดจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ดูแล้วน่าจะอายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา ส่วนผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งตรงกลางโดยมีผู้ชายกับผู้หญิงคนนั้นนั่งขนาบข้าง คือคุณอาพรพรรณเพื่อนเก่าของยุวดีแม่ของเขาที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยสาวๆ ส่วนผู้หญิงสาวสวยซึ่งนั่งข้างคุณอาพรพรรณที่เขาเองตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นในผับครานั้นก็คงจะไม่ใช่ใครที่ไหน ถ้าเดาไม่ผิดเธอก็น่าจะเป็นว่าที่คู่หมั้นที่แม่ของเขาหมายตาเอาไว้ว่าจะให้แต่งงานกับเขานั่นเอง
ชมพูนุช ปิยะโชติ หรือ ชมพู อายุ 21 ย่าง 22 ปี เธอเป็นคนมีนิสัยร่าเริง พูดน้อยแต่ต่อยหนัก ภายนอกอาจจะดูเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวานไม่สู้คน แต่ลึกๆ แล้วหัวดื้อ ไม่ยอมใครง่ายๆ ชมพูนุชเพิ่งจะเรียนจบ และยังไม่ได้ทำงานที่ตัวเองนั้นใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องมาเตรียมตัวเพื่อสละโสด เมื่อครอบครัวของเธอกำลังประสบปัญหาด้านการเงิน และสิ่งเดียวที่จะช่วยครอบครัวของเธอได้ คือเธอต้องแต่งงานกับผู้ชายที่เธอนั้นไม่เคยรู้จัก
ชมพูนุชมองสบตาผู้ชายตรงหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงงัน เธอเองก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน ความรู้สึกนี้ทำให้เธอเขินอายเล็กน้อย และส่งยิ้มให้เขาบางๆ อย่างเป็นมิตรโดยที่เขายังคงไม่ละสายตาไปจากเธอเลยสักนิด ดวงตาอันแสนมีเสน่ห์ของชายคนนั้นจ้องหน้าเธอนิ่ง หากใครได้มองก็คงจะต้องหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้นแน่ๆ ก่อนเธอจะรีบก้มหน้าลงมองมือที่ประสานกันบนตักทันที เมื่อผู้ชายคนนั้นแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ เพราะเธอรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า…ผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้!!
“อ้าวเสือมาแล้วเหรอลูก มาๆ มานั่งข้างๆ แม่นี่มา”
คุณหญิงยุวดีกวักมือเรียกลูกชายเพียงคนเดียวให้มานั่งลงข้างๆ
“ครับคุณแม่” เขาตอบอย่างสุภาพก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นแม่ ตรงข้ามกับหญิงสาวว่าที่ภรรยาในอนาคตอันใกล้นี้
“เอ่อ…นี่ทัชชกรหรือเสือ ลูกชายของผมเองครับคุณพรพรรณ” สุชาติพ่อของทัชชกรเอ่ยขึ้นแนะนำลูกชายเพียงคนเดียวของตน
“สวัสดีครับคุณอา” ทัชชกรยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพแขกผู้หลักผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม ก่อนคุณพรพรรณจะยกมือรับไหว้มองลูกชายเพื่อนด้วยความชอบใจ ไหนจะร่างสูงสง่าออร่าจับ ท่วงท่าที่ดูสุขุมใบหน้าหล่อเหลาและแววตาที่เฉียบคม ทำให้เขาดูเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จ และคงจะเป็นที่ต้องการของสาวๆ หลายคนอยู่ไม่น้อยแน่ๆ
“เอ่อ…นั่นคือชนกันต์ลูกชายคนโตของคุณอาพรพรรณเขา ส่วนนั่น…น้องชมพูลูกสาวคนเล็กของคุณอาพรพรรณเขาน่ะลูก”
ยุวดีเอ่ยขึ้นแนะนำว่าที่ลูกสะใภ้ให้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แต่ชนกันต์เองกลับชักสีหน้าที่บ่งบอกได้ดีทีเดียวว่าไม่เป็นมิตร เขามองอีกคนที่กำลังจะเป็นว่าที่น้องเขยในอนาคตอันใกล้นี้อย่างไม่พอใจ ราวกับว่าไม่ชอบขี้หน้าอีกคนอย่างไรอย่างนั้น
“สวัสดีค่ะคุณเสือ” มือเรียวสวยยกขึ้นมาไหว้คนที่อายุเยอะกว่าอย่างนอบน้อม ก่อนเขาจะยกมือรับไหว้ภายใต้ใบหน้าคมสันที่ดูเรียบนิ่ง ดวงตาเยือกเย็น ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นใจแปลกๆ
“ที่แม่เรียกลูกมาวันนี้ก็อย่างที่รู้ๆ นั่นแหละ เราสองคนน่ะคลาดกันทุกที หนูชมพูมาทีไรก็ไม่เจอแกเลยนะเสือ เพราะลูกน่ะวันๆ ก็เอาแต่ทำงานและบอกแต่ไม่ว่างๆ วันนี้แม่ก็เลยถือโอกาสนัดหมายให้ลูกสองคนได้มาเจอกันสักที เพราะเดี๋ยวอีกหน่อยก็จะได้หมั้นหมายกันแล้ว ต้องทำความคุ้นเคยกันเอาไว้นะลูกจะได้สนิทสนมกัน” ยุวดีเอ่ยขึ้นมาอย่างยาวเหยียด
“ครับ” เขาเอ่ยตอบเพียงสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“อาฝากน้องด้วยนะคะคุณเสือ ชมพูยังเด็กถ้าหากน้องทำอะไรให้คุณเสือไม่พอใจก็อย่าถือสาน้องเลยนะคะ” คุณพรพรรณเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ
“ครับคุณอา”
“เอาล่ะ…ดิฉันว่าเราไปรับประทานอาหารกันดีกว่านะคะ ป่านนี้ยัยแคทคงจะให้เด็กๆ จัดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวอาหารจะเย็นเอาซะก่อนค่ะ” ยุวดีเอ่ยแทรกขึ้น
“นั่นสิครับ ตอนนี้เราไปรับประทานอาหารเย็นกันก่อนดีกว่า ไว้ค่อยคุยปรึกษาหารือเรื่องงานแต่งกันต่อ”
สุชาติพ่อของทัชชกรเอ่ยขึ้นเห็นด้วยกับผู้เป็นภรรยา ก่อนทุกคนทั้งหมดจะเข้าไปรับประทานอาหารเย็น และพูดคุยสนทนากันต่อในห้องอาหาร โดยเรื่องที่สนทนากันนั้นส่วนมากจะเป็นเรื่องงานแต่งงานของทัชชกรและชมพูนุชที่กำลังจะถูกจัดขึ้นในเร็วๆ นี้
ณ สวนหลังบ้าน…
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ ชมพูนุชตัดสินใจเดินเข้ามาหาเจ้าของร่างสูงใหญ่ ที่กำลังยืนช้อนสายตาขึ้นมองดวงจันทร์ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางท้องนภาในยามราตรี หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเขาก็ขอตัวออกมารับสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา และเธอสังเกตเห็นว่าเขาเดินมาทางหลังบ้าน จึงขออนุญาตผู้ใหญ่ออกมาเดินเล่นแล้วจึงตามเขามาที่นี่ แต่พอเดินมาถึงเธอกลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับเขาอย่างไรดี เพราะเธอและเขาแทบจะไม่รู้จักตัวตนของกันและกันเลย เธอพึ่งจะรู้จักเขาก็ตอนเมื่อธุรกิจของครอบครัวที่พี่ชายเธอดูแลอยู่มีปัญหาด้านการเงิน แม่ของเธอจึงต้องเอาที่ดินกว่าร้อยไร่ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากคุณตาไปจำนองเพื่อเอาเงินนี้ไปต่อยอด และประคับประคองธุรกิจที่กำลังจะพังลง แต่แล้วสถานะการณ์ทางเงินกลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆ มิหนำซ้ำที่ดินที่เอาไปจำนองก็จะถูกยึด เธอจึงต้องแต่งงานกับเขาเพื่อให้ที่ดินที่เป็นมรดกตกทอดนั้นไม่ตกไปเป็นของคนอื่น ด้วยน้ำใจของคุณป้ายุวดีเพื่อนสนิทของแม่เธอที่มีให้กับครอบครัวเธอมาตลอดได้ยื่นมือเข้ามาช่วย โดยต้องการให้เธอนั้นร่วมหอลงโรงกับลูกชายเพียงคนเดียวของเธอที่เอาแต่เที่ยวควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าไปวันๆ