ก็แค่คนรัก..ไม่ใช่ผัว
ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม ทุกอย่างรอบตัวดูเงียบงัน ทว่าแฝงไปด้วยความรู้สึกกดดันที่เธอไม่อาจอธิบายได้ ชมพูนุชยืนนิ่งเงียบอยู่กับที่ไปสักพัก ก่อนเธอจะตัดสินใจเริ่มพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“คุณเสือคะ เอ่อ…คะ คือ…ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมคะ?”
เธอกล่าวพร้อมกับจับมือเรียวสวยที่ประสานกันไว้แน่น ดวงตากลมโตต่างเต็มไปด้วยความกังวลและลังเล คนตัวสูงค่อยๆ เอี้ยวตัวหันกลับมามองทางเธอด้วยความสงสัย ก่อนเขาจะพยักหน้าให้เธอเป็นคำตอบ
“ว่ามาสิ”
“ที่ฉันแต่งงานกับคุณไม่ใช่เพราะว่าฉันอยากจะเอาเปรียบคุณ หรือหวังทรัพย์สมบัติอะไรของคุณเลยนะคะ” ชมพูนุชเปิดประเด็นขึ้นมา
“…..” เขาเงียบไม่พูดอะไร รอให้เธอพูดต่ออย่างใจเย็น
“คะ คือ…ฉันรู้ค่ะว่าเราสองคนไม่ได้รักหรือชอบพอกันเลย เราสองคนแทบจะไม่รู้จักตัวตนของกันและกันแม้กระทั่งนิสัยใจคอ แต่ฉันแค่อยากให้คุณสบายใจ…ว่าฉันจะไม่สร้างความหนักใจอะไรให้คุณ การแต่งงานของเราสองคนในครั้งนี้มันจะเป็นเพียงการแต่งงานแค่ในนามเท่านั้นค่ะ ฉันจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณ เราสองคนจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน และต่างฝ่ายต่างมีอิสระต่อกัน หรือหลังจากนั้น...ถ้าคุณต้องการอยากจะหย่า ฉันก็ไม่ขัดข้องอะไรค่ะ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม แต่สายตาแฝงไปด้วยความแน่วแน่ราวกับว่าเธอได้ตัดสินใจมาอย่างดีแล้ว ทัชชกรยกยิ้มมุมปาก แต่ดวงตานั้นต่างเต็มไปด้วยความดื้อรั้น และแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์จนดูน่ากลัว
“ทำไมต้องแต่งงานแค่ในนามล่ะ?” เขาถามพร้อมกับจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ก่อนจะเว้นคำพูดไปช่วงหนึ่ง
“ถ้าฉันจะแต่งงานกับเธอ…ฉันต้องการแต่งมันจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่การแสดงละครชั่วคราว หรือผู้หญิงอย่างเธอคิดว่าการแต่งงานมันเป็นแค่เรื่องเล่นๆ หรือเป็นเรื่องตลกๆ เรื่องหนึ่งแค่นั้น?” เสียงเข้มที่แฝงไปด้วยความดุดันเอ่ยอย่างตำหนิ
“ปะ เปล่านะคะ! ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น ฉันแค่คิดว่า…ถ้าหากคนเราจะแต่งงานกันอย่างแรกเลยคือต้องรักกัน แต่เราสองคนไม่ได้รักกันเลย ไม่เคยรู้จักพูดคุยกัน และไม่แม้แต่จะรู้เรื่องส่วนตัวว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร ตัวตนของกันและกันเป็นแบบไหน ไม่แม้แต่จะมีโมเมนต์จีบกัน แล้วแบบนี้เราสองคนจะรักและอยู่ด้วยกันไปตลอดรอดฝั่งได้ยังไงคะ และที่สำคัญฉันก็ไม่อยากให้คุณต้องมาเสียเวลากับฉันค่ะ เพราะแค่นี้ฉันก็รู้สึกขอบคุณและรู้สึกเกรงใจคุณมากแล้ว ดังนั้นการแต่งงานแค่ในนามคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคน ถ้าฉันหาเงินได้มากพอฉันจะคืนคุณทุกบาททุกสตางค์ ฉันไม่เอาเปรียบคุณแน่นอนค่ะ แต่ขอเวลาให้ฉันสักหน่อยนะคะ”
เธอพูดอธิบายในสิ่งที่เธอรู้สึกออกไป
“ฉันไม่ต้องการแต่งงานแค่ในนามกับเธอหรอกนะ!แต่ฉันต้องการเธอทั้งหมด!! นั่นหมายถึง…ต้องการตัวเธอด้วย!”
“นี่คุณ!!” ชมพูนุชเอ่ยเสียงแข็ง จ้องหน้าอีกคนอย่างโมโหที่เขาพูดจาตรงเกินไปอย่างกับคนไม่มีมารยาท
“ทำไม? เธอคิดว่าคนอย่างฉันยอมเสียสละแต่งงานกับเธอตามความต้องการของแม่ฉัน เพียงเพื่อจะจบมันแค่การแต่งงานแค่ในนามอย่างงั้นเหรอ!…มันง่ายไปหน่อยไหม…หากว่าฉันไม่ได้อะไรกลับมาเลย ฉันเป็นนักธุรกิจอะไรที่มันทำให้คนอย่างฉันเสียผลประโยชน์ ฉันไม่ทำมันหรอกนะ!”
น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยขึ้นมาอย่างเดือดดาล จนเธอเองถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก คงใช่อย่างที่เขาพูด…นักธุรกิจไฟแรงอย่างเขาคงไม่ยอมแต่งงานกับเธอง่ายๆ เพียงเพราะแค่อยากจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวของเธอหรอก
“แต่ฉันมีคนรักอยู่แล้วนะคะ และฉันก็ไม่อยากโกหกคุณ”
“ก็แค่คนรัก ไม่ใช่ผัว! ฉันจำเป็นต้องเกรงใจสถานะของพวกเธอด้วยเหรอ?”
“แต่เราสองคนไม่ได้รักกันนะคะ คุณคงไม่ลืมข้อนี้หรอก”
“แต่ฉันดันชอบคนมีเจ้าของซะด้วยสิ แปลกไหมล่ะ…และครั้งนี้ฉันจะต้องฝ่ายชนะเท่านั้น คนอย่างฉันจะไม่มีวันแพ้ให้กับไอ้พีระวิทย์เหมือนเมื่อก่อนแน่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร!” เสียงเข้มดุดันที่แฝงไปด้วยความเยียบเย็นเอ่ยขึ้นราวกับเคียดแค้นชิงชังกันมานาน และเธอก็ต้องดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเขาเอ่ยถึงพีระวิทย์คนรักของเธอ
“นี่คุณ!…คุณรู้จักพี่พีได้ยังไงคะ”
“หึ ฉันรู้จักมันดีเลยล่ะ!”
เขาแค่นหัวเราะในลำคอ เมื่อนึกถึงพีระวิทย์ทัชชกรก็รู้สึกปวดหนึบในใจอย่างประหลาด พลันคิดว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นของเขาเท่านั้น เพราะแม่ของเขารักและเอ็นดูเธอมาก จนถึงขนาดยื่นคำขาดว่าหากไม่ได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้ เธอก็จะไม่ยอมรับผู้หญิงหน้าไหนมาเป็นลูกสะใภ้เช่นกัน
ครอบครัวเขาและเธอไปมาหาสู่กันตลอด ตอนนี้ที่บ้านของเธอกำลังลำบากมาก ตั้งแต่พ่อของเธอด่วนจากไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ธุรกิจของครอบครัวเธอที่ชนกันต์ลูกชายคนโตเป็นคนบริหารก็แย่ลงเรื่อยๆ เพราะขาดสภาพคล่อง และเธอก็เพิ่งเรียนจบไปหมาดๆ แม่ของเขาจึงยื่นมือเข้าไปช่วยโดยการยื่นข้อเสนอให้เธอแต่งงานกับเขา ในคราแรกทัชชกรก็ไม่เห็นด้วยที่จะต้องถึงขั้นแต่งงานเอาลูกสาวของคนอื่นมาดูแลไปตลอดทั้งชีวิต เพราะในชีวิตของผู้ชายที่หวงความโสดอย่างเขา ถ้าหากจะแต่งงานก็คิดจะแต่งแค่ครั้งเดียว เพราะถ้าหากถูกบังคับให้แต่งงานกันไปโดยปราศจากความรัก ยังไงซะสุดท้ายแล้วก็คงจะจบไม่สวยแน่ แต่พอมาวันนี้เขาได้รู้ว่าผู้หญิงที่พ่อแม่ต้องการให้เขาแต่งงานด้วยนั้น เป็นผู้หญิงคนเดียวกันที่ทำให้เขานั้นตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น อีกทั้งยังเป็นคนรักของพีระวิทย์ผู้ชายที่เขาเกลียดแสนเกลียด…เขาก็อยากจะเอาชนะขึ้นมาซะแล้วสิ
หนึ่งปีผ่านไปไวเหมือนโกหก…
ณ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ร่างบางเพรียวระหงของผู้หญิงที่เมื่อครั้งในอดีตนั้นเคยเป็นแฟนกับเขามาก่อนซึ่งปรากฏแก่สายตาอยู่ตอนนี้ ทำให้พีระวิทย์มีอาการชะงักนิ่งแทบจะทันทีเหมือนกัน เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ชมพูนุชแต่งงานไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้เจอเธอเลยเป็นเวลากว่าหนึ่งปี แต่เขาก็ยังคอยถามข่าวคราวเธอเสมอจากชนกันต์พี่ชายของเธอซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของตน เขากับเธอรู้จักกันเพราะเขานั้นเป็นเพื่อนของพี่ชายเธอนั่นเอง ทว่าด้วยฐานะที่ด้อยกว่าประกอบกับแม่ฝ่ายหญิงไม่ค่อยชอบคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเขาเท่าไหร่นัก พีระวิทย์จึงกระเด็นออกไปจากชีวิตของเธออย่างรวดเร็ว และเจ็บปวดรวดร้าวเป็นที่สุด เมื่อคนที่ตนเองรักนั้นต้องตกไปเป็นของผู้ชายคนอื่น และคนคนนั้นก็เคยเป็นคู่แข่งเมื่อสมัยครั้งยังเรียนหนังสืออยู่มหาลัย ผู้ชายคนนั้นชื่อทัชชกร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือเรื่องกีฬาไม่มีอะไรสู้เขาได้และเป็นรองตลอด วันๆ เอาแต่เกเรควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่พอเขาโดดเด่นกว่าก็หาทางกลั่นแกล้งต่างๆ นานาตามประสาคนเอาแต่ใจ ซึ่งทัชชกรเองมีนิสัยที่ไม่ยอมใครและชอบใช้แต่กำลัง สุดท้ายพอรู้ว่าตนชอบอยู่กับชมพูนุช จึงคิดหาวิธีเอาคืนเขาโดยการดึงเอาผู้หญิงที่เขารักมาเป็นของตนให้ได้ และสุดท้าย…ผู้ชายอย่างทัชชกรก็ทำสำเร็จ เมื่อครอบครัวของเธอกำลังอยู่ในช่วงวิกฤตด้านการเงิน แม่ของเธอและครอบครัวของทัชชกรจึงยินยอมพร้อมใจให้ทั้งสองคนนั้นร่วมหอลงโรงกัน แม้ชนกันต์พี่ชายของเธอเองจะไม่เห็นด้วยก็เถอะ เพราะพอจะรู้กิตติศัพท์ของผู้ชายเจ้าชู้อย่างทัชชกรอยู่บ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อทัชชกรเป็นเพียงคนเดียวที่จะสามารถช่วยครอบครัวของเขาตอนนี้ได้ ชนกันต์จึงต้องยอมให้น้องสาวแต่งงานกับทัชชกรอย่างที่ผู้ใหญ่ต้องการ และครั้งนี้…ผู้ชายอย่างทัชชกรก็ได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรก ส่วนคนที่บอบช้ำไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้มีเพียงสองคนคือชมพูนุชและพีระวิทย์ แม้ในคราแรกชนกันต์พี่ชายของเธอจะพยายามช่วยพูด แต่มารดากลับไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะพีระวิทย์เองก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะช่วยเหลือครอบครัวเธอในช่วงเวลาที่กำลังย่ำแย่ได้ จนในที่สุดทัชชกรและชมพูนุชก็ได้แต่งงานกัน
วันแต่งงานพีระวิทย์มาร่วมงานด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ชนกันต์เองไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกันที่เห็นเพื่อนรักแอบมาร้องไห้ที่มุมหนึ่งของโรงแรม จึงได้แต่ปลอบใจไปต่างๆ นานา เพื่อให้เพื่อนสบายใจ เขาเองก็ไม่ชอบผู้ชายอย่างทัชชกรซึ่งเป็นน้องเขยเหมือนกัน เพราะเขาพอจะรู้มาบ้างว่าผู้ชายคนนี้นิสัยไม่ค่อยดี เจ้าชู้เป็นที่หนึ่ง อีกทั้งนอกจากธุรกิจสีขาวแล้วเขายังแอบทำธุรกิจสีเทากับกลุ่มเพื่อนสนิทอีกด้วย มีนิสัยชอบกร่างว่าตัวเองรวย ดูถูกคนจนและกดหัวคนที่ไม่มีทางสู้ เจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นที่หนึ่ง เป็นไปได้วันแต่งงานที่พิธีกรสัมภาษณ์เขาก็แทบอยากจะไปเตะมันลงจากเวที พูดออกมาได้ว่ารักน้องสาวตนสุดหัวใจ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันไม่ได้รักน้องสาวของตนเลย มันแค่ต้องการที่จะเอาชนะพีระวิทย์มากกว่า
“สวัสดีครับน้องชมพู”
พีระวิทย์เป็นคนเอ่ยทักทายออกมาก่อน ส่วนคนถูกทักก็มีอาการตื่นเต้นและตกใจไม่ต่างกับคนตรงหน้านี้เช่นกัน ดวงตาคู่สวยค่อยๆ หันไปมองทางด้านหลังแวบหนึ่งอย่างคนที่กำลังรู้สึกระแวง ก่อนจะหันกลับมาที่ชายหนุ่มตรงหน้านี้อีกครั้ง
“สวัสดีค่ะพี่พี”
“ชมพูมาซื้อของเหรอครับ”
เขาถามอีก ความรู้สึกนั้นยังคงเหมือนเมื่อครั้งที่เจอหญิงสาวตอนแรก ส่วนชมพูนุชเองนั้นแม้ว่าในใจลึกๆ เธอจะดีใจมากแค่ไหนก็ตามที่ได้เจอเขาอีกครั้ง แต่ด้วยสถานะที่เป็นอยู่…คือเธอนั้นมีสามีแล้วจึงแสดงท่าทีดีอกดีใจอะไรแบบนั้นออกมาไม่ได้ วันนี้บังเอิญเหลือเกินที่พบกับอดีตคนรักที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ทุกครั้งหากเธอจะรู้ข่าวคราวของเขาก็รู้ได้จากปากพี่ชายของเธอเท่านั้น เพราะชนกันต์กับพีระวิทย์ทั้งคู่ติดต่อกันอยู่ตลอด
“ค่ะ…พี่พีก็มาซื้อของใช้เหมือนกันเหรอคะ”
ชมพูนุชตอบและถามกลับ พร้อมทั้งยิ้มให้บางๆ ตามมารยาท แต่ทว่ารอยยิ้มที่ออกจะเศร้าๆ ไม่สดใสเหมือนเคยนั้น ทำให้พีระวิทย์รู้ว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา…เธอไม่เคยมีความสุขเลย
“ครับ…จะให้ทำยังไงได้ล่ะครับ คนโสดก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองไปก่อน”
ถ้อยวลีของคนตรงหน้าทำให้ชมพูนุชเงียบอีกรอบพร้อมกับสีหน้าแววตาที่เจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เวลาผ่านมาตั้งปีกว่าแล้วเขายังไม่คิดจะมีแฟนใหม่บ้างเลยหรือไงนะ ชมพูนุชได้แต่คิดในใจ