บทที่ 9
เรื่องการเปลี่ยนงานอย่างกะทันหัน รวมถึงลักษณะงานที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้มารดาของรสรินทร์อารมณ์เสีย เนื่องจากนางเพิ่งได้รับข่าวดีว่าเจ้าหนี้รายใหญ่เลื่อนการชำระหนี้ให้ นอกจากนั้นยังละเว้นดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราวหรือจนกว่าคุณปราชญ์จะจัดการโปรเจกต์ในไทยเรียบร้อย
“แล้วนี่ยังไง ต้องเดินทางบ่อยแบบนี้มันจะปลอดภัยหรือเปล่า เบิกค่าเดินทางได้ใช่ไหม”
“ที่บริษัทจัดการให้เลยค่ะคุณแม่ รินทร์ไม่ต้องสำรองจ่ายเลยสักบาท” รสรินทร์ทำตามที่เขาแนะนำ บอกมารดาว่าเจ้านายของเธอเป็นผู้หญิงและไม่สะดวกเดินทางคนเดียว หลังจากเอ่ยชื่อบริษัท มัทนาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะจำได้จากชื่อว่าเจ้านายคนใหม่ของลูกสาวเดินทางค่อนข้างบ่อยเพราะต้องเจรจาเรื่องธุรกิจทั่วประเทศ
“รินทร์อาจไม่ค่อยได้กลับบ้านนะคะ ส่วนวันหยุดก็ต้องแล้วแต่คุณแอนกำหนดเลยค่ะ ตารางเอาแน่เอานอนไม่ได้” รสรินทร์จำต้องโกหกอย่างหน้าด้าน เพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เพื่อไม่ให้มารดาต้องกังวลเรื่องหาเงินมาใช้หนี้ในช่วงที่ยังไม่พร้อม
“งั้นก็ไม่แปลกหรอกที่เขาให้เงินเป็นแสน แต่แม่ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี ตัวรินทร์เองก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากมาย นักธุรกิจชื่อดังอย่างคุณแอนจะมาเลือกรินทร์ได้ยังไง”
“ก็… ก็เพราะว่าพี่เอื้อฝากให้ยังไงล่ะคะคุณแม่”
“มิน่าล่ะ เขาถึงได้ยอมรับเด็กประสบการณ์น้อย ยังไงรินทร์ก็ตั้งใจทำงานให้ดีนะ อย่าให้เขาดูถูกเราได้ว่าเกรดดีแต่ทำงานออกมาไม่ได้เรื่อง แล้วถ้าพรุ่งนี้ถึงภูเก็ตก็อย่าลืมบอกด้วยล่ะ ส่งข้อความมาก็ได้ จะได้ไม่รบกวนเวลาทำงาน” มัทนากำชับอีกหลายคำว่าอย่าทำให้ครอบครัวขายหน้า เรียกได้ว่าขู่กลายๆ ก็ว่าได้
“ค่ะ งั้นรินทร์ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
เธอยิ้มให้กับมารดาก่อนขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้อง สุดท้ายกลับไม่ได้พักจริงๆ แต่ลงมือเก็บข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้า เตรียมตัวทำตามคำสั่งที่เขาอยากให้เธอทำ
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของรสรินทร์หายไปเมื่ออยู่ตามลำพังในห้องนอน ความรู้สึกหลากหลายโจมตี ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอย่างไร
ควรโล่งใจที่หาทางช่วยครอบครัวได้สำเร็จหรือว่าเสียใจที่วิธีการน่ารังเกียจเกินกว่าใจจะรับไหว ควรดีใจที่เขาไม่บังคับขืนใจเธอ ทั้งยังปรนเปรอจนแทบสำลักความสุข หรือว่าควรละอายที่พึงพอใจกับรสสัมผัสของเขาดี
รสรินทร์ไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอย่างไร และสุดท้ายก็ร้องไห้ออกมาเบาๆ พร้อมกับปลอบตัวเองด้วยว่าความรู้สึกบ้าๆ นี้จะหมดไปเมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง ได้แต่หวังว่าภายในเร็ววันนี้ ผู้ให้กำเนิดจะหาทางชดใช้หนี้สินให้กับเจ้าหนี้รายใหญ่อย่างปราชญ์ได้
เธอหวังเพียงเท่านั้นจริงๆ
สนามบินนานาชาติจังหวัดภูเก็ต
สาวสวยมองกระเป๋าใบไม่ใหญ่นักที่กำลังถูกยกออกจากสายพานโดยเจ้าหน้าที่ของสนามบิน ตลอดการเดินทางหนึ่งชั่วโมงเศษ เขานอนหลับสนิท อ้าปากน้อยๆ เพราะความเหนื่อยล้า ไม่ดื่มหรือกินอะไรเลยสักคำ
รสรินทร์รู้ว่าเขาเหนื่อย รอยคล้ำรอบดวงตาบอกชัดว่าไม่น่าจะได้นอน ทีแรกก็เดาไม่ออกว่าเพราะอะไร แต่พอได้ยินบทสนทนาที่เดาได้ว่าเป็นบิดาของเขา เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
‘เร่งรัดตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรหรอกครับคุณพ่อ ทางนั้นเขาไม่มีจ่ายอยู่แล้ว ฟ้องร้องก็ได้ไม่คุ้มเสียอยู่ดี… ครับ ผมเว้นดอกเบี้ยให้ชั่วคราว แจ้งไปแล้วด้วยว่าถ้าภายในสิบเดือนหาเงินมาให้ไม่ได้… ครับ ผมเข้าใจแล้ว แต่คุณพ่อต้องไว้ใจผมบ้าง ไม่ใช่ โทร. ตามทั้งวันทั้งคืนแบบนี้’
เขามีปัญหาก็เพราะครอบครัวของเธอ...
“คุณโอเคไหม ท่าทางดูเครียดๆ” เขาถามขณะเดินออกจากสนามบินตรงไปยังรถหรูที่เช่าไว้ สีหน้าสดชื่นขึ้นมากเพราะงีบหลับได้เกือบชั่วโมง
“ไม่มีอะไรค่ะ คือรินทร์แค่รู้สึกแย่ที่คุณมีปัญหากับที่บ้านก็เพราะรินทร์”
“เรื่องปกติ คุณพ่อกับผมมีหลายเรื่องที่ความเห็นไม่ตรงกัน คุณไม่ต้องสนใจหรอก ทำหน้าที่ของตัวเองก็พอ แล้วก็อย่าทำหน้าเครียดนะ แก่ก่อนวัยจะหาว่าผมไม่เตือน” เขาบ่นเธอว่าอายุแค่ยี่สิบสามปี แต่ทำไมชอบหน้าเครียดเหมือนผู้หญิงวัยกลางคน คำเปรียบเทียบนั้นทำให้รสรินทร์อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ค่ะ คุณปราชญ์”
“ยิ้มหวานแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย รินทร์ เวลาผมทำงานจะค่อนข้างซีเรียส คุณไม่ต้องตกใจไปนะ เอาไว้เราอยู่ด้วยกันสองคน ผมจะน่ารักกับคุณเหมือนเดิม แล้วถ้าผมอารมณ์เสีย คุณยิ้มมากๆ ก็พอ ผมชอบมองคุณยิ้ม เห็นแล้วสบายใจดี” ปราชญ์ใช้เวลาส่วนมากที่สิงคโปร์ ทำธุรกิจกับผู้คนมากหน้าหลายตาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ จึงมีบุคลิกค่อนข้างมั่นใจและไม่สนคนที่ไม่ให้ผลประโยชน์ต่อบริษัท
สำหรับปราชญ์เรื่องงานสำคัญที่สุดแล้ว
ชายหนุ่มไม่ได้แวะเข้าที่พัก ทว่าตรงไปยังโรงแรมที่เขาต้องจัดการธุระให้เรียบร้อย รสรินทร์เองก็เตรียมพร้อมที่จะทำงาน และเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของผู้จัดการโรงแรมก็อดสงสารไม่ได้
“สวัสดีครับคุณปราชญ์”
