บทที่ 5
ผู้กองหนุ่มกับครูสาวสงบศึกชั่วคราวเมื่อขับรถมาถึงบ้านของคุณโดมินิทพ่อของบลู ขวัญชนกแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นน้องบลูปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายใดๆ หญิงสาวมองภาพที่พ่อแม่ลูกกำลังกอดกันแล้วก็อมยิ้มกับความน่ารักของครอบครัวน้องบลู ครูสาวหันไปมองผู้กองหนุ่มเผลอยิ้มสดใสให้ผู้กอง ลืมข้อบาดหมางเมื่อสักครู่ไปหมด
“หลินดีใจจังเลยที่น้องบลูปลอดภัยไม่ได้รับอันตราย ถ้าน้องบลูเป็นอะไรไป หลินคงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต” ขวัญชนกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นอย่างลืมตัว
“แทนตัวเองว่าหลินแบบนี้น่ารักดีน่ะครับ” ผู้กองหนุ่มยิ้มกว้างรู้สึกถูกใจครูสาวเป็นอย่างมาก
“คะ! อะไรนะคะ คุณพูดว่ายังไงนะคะ หลินไม่ทันได้ฟัง” ครูสาวหันมาถามเพราะมัวแต่มองครอบครัวของน้องบลูเลยไม่ทันได้ฟังว่าผู้กองพูดว่ายังไง
“ผมบอกว่าคุณพูดแทนตัวเองว่า หลิน...ดูน่ารักดี คราวนี้ชัดหรือยังครับ”
ผู้กองย้ำด้วยน้ำเสียงติดกลั้วหัวเราะ ใบหน้าคมเข้ม หล่อเหลายิ้มกว้างเห็นฟันขาวสะอาด ขวัญชนกหุบยิ้มทันทีทำหน้าเด๋อเมื่อได้ยินคำตอบจากผู้กองพัน
คุณโดมินิทพ่อน้องบลู อุ้มน้องบลูด้วยมือข้างหนึ่งมืออีกข้างก็กุมมือภรรยาไว้เดินเข้ามาหาผู้กองพันกับขวัญชนก
“เชิญผู้กองกับคุณครูเข้าไปในบ้านก่อนนะครับ”
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ตอนนี้หาน้องบลูเจอแล้วหลินก็ค่อยโล่งอกหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่หลินบกพร่องดูแลน้องบลูไม่ดี ทำให้แกเกือบได้รับอันตราย หลินยินดีรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดค่ะ”
ขวัญชนกยกมือขึ้นไหว้ขอโทษปรีชยาพรและโดมินิท
“ไม่เป็นไหร่ค่ะ หมูเองก็ต้องขอบคุณครูหลินที่ช่วยตามหาน้องบลู ครูหลินกับคุณพันเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ”
ปรีชยาพรจับมือครูสาวไว้และเอ่ยชวนให้เข้าไปในบ้านอีกครั้ง
“คงต้องขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ หลินจะพาน้องอาร์ตไปหาหมอ เมื่อสักครู่ตอนที่ขับรถมาพ่อเขาโวยวายใหญ่ตัวเรื่องที่หลินไม่ยอมพาน้องอาร์ตไปหาหมอตรวจอาการรอบๆ ดวงตา”
ขวัญชนกยิ้มให้ปรีชยาพร แต่หันไปทำหน้าบึ้งมองค้อนผู้กองหนุ่มด้วยความโมโหเมื่อนึกถึงเรื่องที่งัดข้อกันระหว่างที่ขับรถมาบ้านน้องบลู
“ผมก็คงต้องขอตัวเหมือนกันครับ อยากพาน้องอาร์ตไปหาหมอก่อนครับ ถ้าอาการหนักจะได้เรียกค่าเสียหายค่าทำขวัญให้หนัก เป็นคุณครูไฮโซแบบนี้คงไม่ลำบากเรื่องค่าทำขวัญใช่มั้ยครับ”
ผู้กองหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ตอนที่พูดกับปรีชยาพรก่อนจะหันหน้าไปถามเลิกคิ้วใส่ครูสาวที่ยังทำหน้าบึ้งใส่เขาอยู่
“ขอบคุณผู้กองกับคุณครูมากนะครับที่ช่วยตามหาน้องบลู วันหลังผมจะเข้าไปขอบคุณผู้กองกับลูกน้องที่สน.อีกครั้งนะครับ” โดมินิทยิ้มขอบคุณยื่นมือไปสัมผัสกับผู้กองหนุ่ม
“ไม่เป็นไรครับมันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ แค่เราตามหาน้องบลูเจอและน้องบลูปลอดภัยผมก็โล่งอกแล้วครับ” ผู้กองพันยิ้มให้โด
มินิทกับปรีชยาพร
“น้องอาร์ตลาน้าหมูกับคุณอาโดมินิทก่อนนะลูก เดี๋ยวพ่อจะพาไปหาหมอ”
“สวัสดีครับคุณอาโดมินิท น้าหมู” น้องอาร์ตยกมือไหว้โดมินิทและปรีชยาพร
“น้องบลู! พี่ต้นตาเขียวเหมือนเราทั้งสองข้างเลย” น้องอารต์เดินไปกระซิบเบาๆ กับน้องบลู
“สมน้ำหน้าพี่ต้นชอบแกล้งพวกเราดีนัก” น้องบลูยิ้มร่า
“อาร์ตกลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน”
“บ๊าย บาย” น้องบลูโบกมือบ๊ายบายให้น้องอาร์ตที่เดินไปขึ้นรถพร้อมกับคุณพ่อและครูหลิน
เมื่อออกมาจากบ้านของน้องบลูแล้วขวัญชนกพาน้องอาร์ตมายังโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในกรุงเทพฯ หญิงสาวทำบัตรประจำตัวให้น้องอาร์ตเสร็จแล้วก็นั่งรอน้องอาร์ตหน้าห้องตรวจ เธอไม่ได้เข้าไปในห้องตรวจด้วย เพราะคิดว่าหน้าที่เหล่านั้นควรจะเป็นของผู้กองจอมยียวน แต่ถ้าหากเธอเข้าไปในห้องตรวจด้วยเธอก็จะรู้ว่าอาการของน้องอาร์ตไม่ได้เป็นอะไรมาก กินยาแก้อักเสบแค่วันสองวันก็หาย แต่ผู้กองหนุ่มตัวแสบกลับบอกให้หมอจักษุแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันเขียนอาการให้ดูหนักหน่อยและต้องมาตรวจเช็คอาการทุกวัน
นายแพทย์ศิรากร จักษุแพทย์มือหนึ่งประจำโรงพยาบาลทำสีหน้าแปลกใจที่อยู่ๆ เพื่อนรักก็มาหาถึงโรงพยาบาล เพราะปกติแล้ว ร.ต.อ.พันธวุธ ไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเองเนื่องจากมีงานราชการค่อนข้างมาก
“สวัสดีไอ้เกลอ เป็นไงมาไงถึงได้แวะมาหากันได้” นพ.ศิรากรยิ้มกว้างจับมือทักทายกับผู้กองหนุ่มเพื่อนรัก
“พาน้องอาร์ตมาให้แกรักษา” ผู้กองพันยิ้มจับมือทักทายกับเพื่อนแล้วดึงตัวน้องอาร์ตให้มายืนอยู่ใกล้ๆ กับนายแพทย์หนุ่ม
“สวัสดีครับคุณอาหมอ” น้องอาร์ตยกมือไหว้คุณหมอโดยไม่ต้องรอให้คุณพ่อบอก
“สวัสดีครับคนเก่งของคุณอา ไม่เจอกันแค่ไม่กี่เดือนตัวโตขึ้นเยอะเลย ไหน...ขออาหมอดูหน่อยเป็นอะไรมา”
นพ.ศิรากรยิ้มกว้างดึงตัวน้องอาร์ตเข้ามากอดอย่างคุ้นเคยกันดี
“ไปถูกใครต่อยมาครับ ตาเขียวเหมือนหมีแพนด้าเลย” นพ.ศิรากรจับใบหน้าป้อมๆ ของน้องอาร์ตแล้วแตะเบาๆ ตรงขอบตา
“ทะเลาะกับเพื่อนนักเรียนนิดหน่อย อาการเป็นไงบ้าง” ผู้กองหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนรักพลางนั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้ๆ กับน้องอาร์ต
“ขอตรวจดูอาการก่อนนะ แต่กันคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก” นพ.ศิรากรตรวจดูอาการของน้องอาร์ตสักครู่ใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ายิ้มเอ็นดูให้น้องอาร์ต
“เสร็จแล้วครับคนเก่งของอาหมอ”
“เป็นไงบ้างว่ะ ลูกเราอาการหนักหรือเปล่า” ผู้กองดึงตัวลูกชายให้มานั่งบนตักตัวเองพลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงลูก
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก กันดูแล้วไม่กระทบกระเทือนเส้นประสาทตา กินยาแก้อักเสบ แค่ 2-3 วันก็หายแล้ว”
นพ.ศิวากรยิ้มกำลังจะเขียนอาการลงในสมุดประวัติคนไข้แต่ถูกเพื่อนรักห้ามไว้ก่อน
“นายช่วยเขียนอาการของน้องอาร์ตให้ดูหนักหน่อยสิ เอาแบบว่าต้องมารักษาต่อเนื่องติดๆ กันสัก 4-5 วัน”
ผู้กองหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ตอนที่เอ่ยบอกเพื่อน
“เฮ้ย!...ไอ้ตำรวจ... แบบนี้มันผิดจรรยาบรรณของแพทย์น่ะโว้ย!” นพ.ศิวากรร้องเสียงหลง
“เอาน๊า…ช่วยเพื่อนหน่อยสิ” ผู้กองเอ่ยขอร้องเสียงกลั้วหัวเราะ
“นายมีประโยชน์อะไรแอบแฝงหรือเปล่า บอกมาดีๆ นะโว้ย ไม่งั้นกันไม่ช่วยเด็ดขาด” นพ.ศิวากรเอ่ยถามด้วยความข้องใจ
ผู้กองเจ้าเล่ห์หัวเราะฮึๆ ก่อนจะบอกเพื่อน “เราอยากแกล้งครูน้องอาร์ตสักหน่อย อยากให้นายเขียนใบนัดพบแพทย์ทุกๆ วัน อยากรู้ว่าเจ้าหล่อนจะรักเด็กและมีความรับชอบต่อเด็กแค่ไหน”
“เธอมากับนายด้วยหรือ? กันขอดูหน้าก่อนว่าผ่านหรือเปล่า ถ้าผ่านจะเขียนใบนัดให้” นายแพทย์หนุ่มเอ่ยถามเจ้าเล่ห์พอๆ กันกับผู้กองพัน
“มา นั่งอยู่หน้าห้องตรวจ นายลองออกไปดูสิ หน้าคมๆ ตาโตๆ ใส่ชุดเดรสสีเขียวอ่อน” ผู้กองพันเอ่ยบอกยิ้มๆ นึกถึงใบหน้าสวยคม ปากอวบอิ่มที่ยิ้มได้ประทับใจเขาที่สุด
“ขอแอบไปดูหน้าแป๊บหนึ่งน่ะไอ้เกลอ”
นายแพทย์หนุ่มเอ่ยบอกเสร็จก็เปิดประตูห้องตรวจเดินออกไปข้างนอกห้อง แพทย์หนุ่มทำเป็นเรียกหาพยาบาลที่อยู่แถวๆ นั้น แต่จริงๆ แล้ว นพ.ศิวากร แอบมองครูสาวที่เพื่อนรักบอก
นพ.ศิวากร ยืนนิ่งเหมือนถูกสาปมองครูสาวใบหน้าคมสวยที่กำลังคุยโทรศัพท์และยิ้มหวานให้กับคู่สนทนา แพทย์หนุ่มจ้องมองครูสาวอยู่นานจึงอีกฝ่ายรู้สึกตัวว่ามีคนมองอยู่จึงเงยหน้ายิ้มสดใสให้ แพทย์หนุ่มยิ้มตอบแล้วรีบเปิดประตูเข้ามาในห้องตรวจนั่งลงบนเก้าอี้หัวใจเต้นตึ๊กตั๊ก
“เป็นอะไรไปว่ะไอ้เกลอ นั่งยิ้มหน้าบาน ตกลงเธอผ่านหรือเปล่าว่ะ” ผู้กองเอ่ยแซวเมื่อเห็นเพื่อนรักนั่งยิ้มไม่พูดไม่จา
“ผ่านร้อยเปอร์เซ็นต์ นายจะจีบเธอหรือเปล่าว่ะ ถ้าไม่...ฉันจะจีบเอง”
ผู้กองพันหัวเราะก๊ากออกมา นึกอยู่แล้วถ้าหากเพื่อนรักได้เห็นหน้าครูสาวต้องรู้สึกชอบเธอแน่นอน
“จีบ...จีบแน่นอน แต่ยังไม่รู้ว่าเธอจะเล่นด้วยหรือเปล่า ไอ้เรา...มันพ่อหม้ายเรือพ่วง สาวๆ เขาอาจจะไม่สนใจเท่าไหร่” ผู้กองแกล้งทำน้ำเสียงและสีหน้าเศร้าๆ
“เฮ้อ!...ถ้านายคิดจะจีบเธอ ฉันก็หมดสิทธิ์น่ะสิ”
นพ.ศิวากรถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างยอมแพ้ ไม่ขอลงสนามแข่งกับเพื่อนรัก ก็เห็นๆ กันอยู่ว่า ร.ต.อ.พันธวุธชนะใสๆ ด้วยรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน กำยำล่ำสัน ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาและถ้าได้อยู่ในเครื่องแบบตำรวจก็ยิ่งทำให้ร.ต.อ.พันธวุธดูหล่อสมาร์ท ภูมิฐานเข้าไปอีก ต่อให้เพื่อนเขาเป็นพ่อหม้ายเรือพ่วง สาวๆ คนไหนก็อยากสมัครเป็นคุณนายนายตำรวจ
นอกจากจะหล่อเหลาแล้วเพื่อนเขาก็ยังมีมรดกตกทอดอีกมากมาย ส่วนตัวเขาใสแว่นตาหนาเตอะ ตัวขาวจั๊วะยังกับหยวกกล้วย ตัวก็เล็ก สาวๆ ที่ไหนจะมารัก
ผู้กองพันได้ยินเสียงเพื่อนรักถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ก็หัวเราะขำออกมา “ตกลงจะช่วยเพื่อน...ช่วยหลานให้มีแม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ หรือเปล่า” ผู้กองหนุ่มถามยิ้มๆ กอดน้องอาร์ตไว้แน่น
“เออ...เห็นแก่หลาน...ตาดำๆ น่ะโว้ยเราถึงช่วย เดี๋ยวกันจะเขียนใบสั่งยาและก็ใบนัดให้มาพบแพทย์ 5 วันติดกันพอมั้ยว่ะ” นายแพทย์หนุ่มถามแบบประชดๆ
“ก็กำลังดีว่ะ” ผู้กองพันหัวเราะไม่สนใจน้ำเสียงประชดของเพื่อน
“งานนี้แกต้องเลี้ยงกันชุดใหญ่น่ะโว้ย”
นพ.ศิรากรเรียกร้องค่าตอบแทนพลางเขียนอาการของน้องอาร์ตลงในสมุดประวัติคนไข้ตามอาการเจ็บป่วยจริงและเขียนใบสั่งยาพร้อมกับใบนัดแพทย์แล้วยื่นใบนัดให้ผู้กองหนุ่ม
“ถ้าจีบสำเร็จ ฉันจะให้นายเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว” ผู้กองบอกยิ้มๆ
“นี่นายรักจริงหวังแต่เลยหรือว่ะ”
นพ.ศิวากรเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจไม่นึกว่าเพื่อนรักคิดไกลถึงเรื่องแต่งงานกับครูสาว เพราะตั้งแต่หย่ากับแม่ของน้องอาร์ตก็เห็นมีสาวๆ เข้ามาในชีวิตของผู้กองมากหน้าหลายตาแต่ไม่เคยเห็นผู้กองจะจริงจังกับใครสักคน
“เออ...คราวนี้เอาจริงว่ะ เป็นโสดมานานแล้วชักจะเหงา เน๊อะ...น้องอาร์ต” ผู้กองยิ้มกว้างก้มหน้าลงไปถามลูกชาย
“ครับ น้องอาร์ตก็อยากมีแม่เหมือนกัน ครูหลินน่ารัก ใจดีที่สุดเลย น้องอาร์ตชอบครูหลินครับ” น้องอาร์ตให้คะแนนครูหลินเต็มร้อยคะแนน
ผู้กองพันกับแพทย์หนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกันจากนั้นก็พากันเดินออกไปหาครูสาวที่เป็นหัวข้อสนทนาซึ่งนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจ