บทที่ 4
ขวัญชนกขับรถมาได้ครึ่งทางก็นึกได้ว่ายังไม่ได้โทรไปแจ้งข่าวน้องบลูให้คุณพ่อทราบ หญิงสาวปล่อยมือจากพวงมาลัยรถ มือบางอีกข้างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำท่าจะกดโทรออกแต่ยังไม่ทันได้กดโทรก็โดนผู้กองหนุ่มตวาดเสียงดังจนขวัญชนกตกใจแทบปล่อยโทรศัพท์หล่นไปกองกับพื้นรถ
“นี่คุณจะทำอะไร” ผู้กองหนุ่มมาดเข้มเด้งตัว นั่งตัวตรงจากท่านอนพิงเบาะเอ่ยถามเสียงดังเมื่อเห็นครูสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาจะกดโทร
“อีตาบ้า! ตะโกนเสียงดังออกมาได้ คนเขาตกใจหมด ไม่เห็นหรือยังไง ฉันกำลังจะโทรศัพท์” ขวัญชนกตวาดแว้ดกลับคืนเหมือนกัน
“เห็น...แต่ขับห้ามโทร โทรห้ามขับ ไม่เคยได้ยินเขาประชาสัมพันธ์หรือยังไง แบบนี้ผมจับคุณได้นะ ข้อหาขับแล้วโทร”
ผู้กองหนุ่มดึงโทรศัพท์ออกจากมามือบาง ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาแสดงสีหน้าจริงจังเหมือนขณะปฎิบัติหน้าที่อยู่
ขวัญชนกอ้าปากหว๋อ ใบหน้างามเจื่อนไปนิดหนึ่งเมื่อโดนต่อว่าตรงๆ เพราะความรีบตั้งแต่ออกมาจากโรงเรียนเธอเลยไม่ได้ใช้หูฟังขณะที่โทรศัพท์ แต่คนอย่างขวัญชนกหรือจะยอมให้ถูกต่อว่าฝ่ายเดียว
“จับอีกแล้ว ช่างขยันขันแข็งทำหน้าที่เป็นตำรวจที่ดีเหลือเกินน่ะ“ ขวัญชนกพูดประชดเหน็บแนม ดวงตาสีดำกลมโตมองค้อนคนที่นั่งข้างๆ
“อ๋อ...แน่นอนสิครับ ไม่งั้นผมจะได้รับรางวัลตำรวจดีเด่นถึง 4 ปีซ้อนหรือครับ” ผู้กองหนุ่มยิ้มกว้างยืดอกผึ่งผายบอกอย่างภูมิใจ
ขวัญชนกกลอกตาขึ้นบนทำหน้าหนักใจพูดออกมาให้ผู้กองจอมยียวนได้ยินด้วย “ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลย”
“เอาโทรศัพท์มานี้” ขวัญชนกขับรถมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็พยายามจะคว้าโทรศัพท์มาคืน
“จะโทรไปหาแฟนหรือยังไง เอาไว้ให้คุณจอดรถก่อนแล้วค่อยโทร” ผู้กองเอ่ยแนะนำเสียงเข้ม
“บ้า! ฉันจะโทรไปหาคุณพ่อบอกท่านว่าเราเจอน้องบลูแล้ว”
“แล้วไป... นึกว่าจะโทรไปหาแฟน” ผู้กองยิ้มพูดเหมือนโล่งอก
“หูฟังบลูทูธอยู่ไหน ทำไมไม่รู้จักเอามาใช้” ผู้กองต่อว่ากลายๆ
“อยู่ในลิ้นชักหน้ารถ หยิบมาให้หน่อย” ครูสาวใช้ผู้กองหน้าตาเฉย หญิงสาวกำลังตั้งใจขับรถจึงไม่กล้าเอื้อมมือไปหยิบหูฟังเดี๋ยวจะโดนผู้กองหนุ่มดุเอาอีก
ผู้กองพันหยิบหูฟังบลูทูธออกมาจากลิ้นชักแล้วจับคู่กับมือถือให้เรียบร้อย นายตำรวจหนุ่มดูรูปหญิงสาวที่อยู่หน้าจอโทรศัพท์แล้วก็ยิ้มกว้างอดที่จะแซวครูสาวไม่ได้
“รูปคุณสมัยสาวๆ ก็ดูสวยดี”
“อีตาบ้า! ฉันยังไม่แก่ พูดมาได้ว่าสมัยสาวๆ รูปที่เห็นฉันเพิ่งถ่ายเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเอง” ขวัญชนกค้อนปะหลับปะเหลือกโมโหหน้าแดงก่ำ ผู้กองหนุ่มหัวเราะร่วนด้วยความขำกับคำประชดแสบๆ คันๆ
“เสร็จแล้วจะใส่หูฟังข้างไหนดี” ผู้กองพันเอ่ยถามเมื่อจับคู่ระหว่างหูฟังกับมือถือได้แล้ว
“ข้างซ้ายสิ เอามา เดี๋ยวฉันใส่เอง” ขวัญชนกแบมือขอหูฟัง
“ไม่ต้อง ขับรถไปเถอะ เดี๋ยวผมใส่ให้อีก”
ผู้กองหนุ่มปฎิเสธ มือใหญ่เอื้อมมือไปจับผมที่หลุดอยู่ข้างๆ แก้มไปทัดใบหูเสร็จแล้วก็ค่อยๆ ใส่หูฟังแบบคล้องใบหูให้ครูสาว นายตำรวจหนุ่มทำได้อย่างแผ่วเบา ครูสาวเขินอายหน้าแดงก่ำเอ่ยพึมพำขอบคุณเสียงแทบไม่พ้นลำคอ
“ขอบคุณค่ะ”
“เบอร์คุณพ่อคุณเบอร์อะไร เดี๋ยวผมกดโทรให้” ผู้กองหนุ่มอาสาอย่างใจดี
“คุณกดปุ่มโทรด่วนได้เลยค่ะ ปุ่มเลข 2 ฉันตั้งเบอร์ของคุณพ่อไว้” ขวัญชนกละสายตาจากถนมมามองหน้าผู้กองหนุ่มนิดหนึ่ง
“ครับ ได้แล้วครับ” ผู้กองพัน กดปุ่มเลข 2 โทรด่วนให้ครูสาว
ขวัญชนกหันมายิ้มหวานให้ผู้กองระหว่างที่รอคุณพ่อรับสาย ผู้กองพันตาพร่า ใจเต้นรัวเร็ว เขาไม่เคยเจอหญิงสาวคนไหนที่ยิ้มได้สวยและพิมพ์ใจเหมือนครูสาวคนนี้มาก่อน ชายหนุ่มทำเป็นหันไปคุยกับน้องอาร์ตเพื่อปิดบังความรู้สึกของตัวเอง
“น้องอาร์ต หิวข้าวหรือเปล่าครับ” ผู้กองถามลูกชายด้วยความเป็นห่วงมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าเวลา 6โมงเย็นแล้ว
“ไม่ค่อยหิวครับ เมื่อตะกี้น้องอาร์ตกินขนมไป 2ถุงกับนมอีกกล่อง” น้องอาร์ตเกาะเบาะหลังยื่นหน้ามาตอบพ่อ
“น้องอาร์ตถูกใครต่อยมาครับ หนูไปทำคนอื่นก่อนหรือเปล่าครับ” ผู้กองพันเอื้อมมือไปจับแก้มลูกแล้วลูบเบาๆตรงขอบตา
ขวัญชนกแจ้งข่าวกับคุณพ่อเรียบร้อยแล้วเธอเอาหูฟังออกตั้งใจฟังเรื่องที่น้องอาร์ตถูกต่อย
“น้องอาร์ตทะเลาะกับพี่ต้นและถูกพี่ต้นต่อยครับ” น้องอาร์ตเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“ทะเลากันเรื่องอะไรคะ” ครูหลินเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เธอยังไม่ได้ถามเรื่องนี้กับน้องอาร์ตสักทีมัวแต่วุ่นๆ เรื่องของน้องบลู
“ก็พี่ต้นแย่งสมุดวาดเขียนของน้องบลูจะเอาไปทิ้งน้ำ น้องอาร์ตเลยไปแย่งกลับมาคืน พี่ต้นไม่ยอมให้แล้วยังต่อยน้องอาร์ตด้วย น้องบลูเห็นอาร์ตถูกต่อยก็เลยต่อยพี่ต้นบ้าง พอพี่ต้นต่อยน้องบลูคืน อาร์ตก็เลยต่อยพี่ต้นคืนบ้าง พี่ต้นตาเป็นหมีแพนด้าทั้งสองข้างเลย”
“โอ๊ย!...ตายแล้ว...น้องต้นตาเขียวทั้ง 2ข้างเลยหรือคะ” ขวัญชนกร้องออกมาด้วยความตกใจ ไม่นึกว่าเด็กๆ จะทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้
“ครับ ทั้ง 2 ข้างเลยครับ”
ขวัญชนกทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พรุ่งนี้เธอต้องโดนผู้ปกครองน้องต้นมาเล่นงานที่โรงเรียนแน่เลย
“ครูหลินไม่รู้เลยนะคะ ครูนึกว่ามีเรื่องเถียงกันนิดหน่อย ไม่นึกเลยว่าจะมีแผลทุกคน”
“แล้วคุณทำอะไรอยู่ ตอนที่นักเรียนทะเลาะกัน คุณไม่ได้อยู่ดูแลเด็กๆ หรือไง ไหนว่ารักเด็กแล้วทำไมไม่อยู่ดูแลเด็กๆ” ผู้กองหนุ่มตำหนิคูรหลินเป็นชุด
“ฉันยอมรับผิดเรื่องที่ไม่ได้อยู่ดูแลเด็กๆ ช่วงนี้ใกล้จะสิ้นเดือนแล้วฉันต้องทำบัญชีของโรงเรียน ทำรายงานผลการเรียนการสอนจึงไม่ได้ออกมาดูเด็กๆ ด้วยตนเอง แต่ปกติเราก็มีครูประจำชั้นที่คอยดูแลเด็กๆ อยู่ เราไม่ได้ปล่อยให้เด็กๆ เล่นตามลำพัง แต่วันนี้มันเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ”
ขวัญชนกพยายามอธิบายให้ผู้กองฟัง ดวงตากลมโตสีดำสนิทฉายแววเสียใจออกมานิดหนึ่ง เธอรู้สึกเหนื่อยเหมือนจะเป็นลม เพราะตั้งแต่เที่ยงยังไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ด
ผู้กองพันเห็นแววเสียใจฉายออกมาจากดวงตากลมโตก็รู้สึกผิดนิดหนึ่งที่ต่อว่าครูสาวรุนแรง แต่ความเป็นห่วงลูกชายก็ยังมีเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ผู้กองหนุ่มรู้สึกสงสารครูสาวได้นิดเดียวก็เริ่มโวยวายต่อ
“คุณต้องพาน้องอาร์ตไปหาหมอ ให้เขาตรวจรอบๆ ดวงตา ไม่รู้ว่าตาจะบอดหรือเปล่า” ผู้กองแกล้งทำเสียงเศร้า
“เว่อร์ไปหรือเปล่าคะคุณ...แค่นี้ไม่ทำให้ตาบอดหรอก” ขวัญชนกรู้สึกหมั่นไส้นายตำรวจหนุ่มเหลือกำลัง
“จะไปรู้หรือครับ คุณดูหลักฐานสิครับ ตาน้องอาร์ตเขียวไปหมด แบบนี้ไม่ให้ผมกลัวได้ยังไง”
ขวัญชนกถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความอ่อนใจ “เอาเถอะค่ะ ฉันจะชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งหมด พอใจหรือยังคะ”
“ก็พอใจในระดับหนึ่ง” ผู้กองหนุ่มยิ้มกวนๆ
“เฮ้อ!...ไม่รู้วันนี้เป็นอะไร ซวยจริงๆ เลย”
ขวัญชนกบ่นออกมาดังๆ ตั้งใจให้คนข้างๆ ได้ยิน ผู้กองหนุ่มได้ยินแล้วกลับยิ้มกว้างไม่ทุกข์ร้อนที่ถูกครูสาวประชดกลายๆ