ต่อไปนี้เธอคือสมบัติของฉัน
เขาถอนกายออกจากเธอแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมร่างให้ จากนั้นก็ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำเสร็จก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบสูทชุดใหม่มาสวม ปรายตามองคนที่ยังนอนอยู่ แล้วพูดว่า
“ฉันจะไปงานศพแล้ว แต่ก่อนไป เดี๋ยวจะเอาเสื้อผ้ามาให้”
“ค่ะ” เธอตอบรับโดยไม่ยอมลืมตาขึ้นมองเขา
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว เขาก็ออกจากห้องไป ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาพร้อมเสื้อผ้าชุดหนึ่งในมือ
“ใส่ไปก่อน เป็นของน้องสาวฉันเองนั่นแหละ” เขาวางชุดไว้ให้บนโต๊ะหัวเตียง แล้วเดินกลับออกไป ทิ้งให้เธอนอนอยู่ตามลําพังอย่างโดดเดี่ยว
ดวงตาคู่โตเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ คราวนี้ไม่รู้น้ำตามาจากไหน ไหลทะลักเปรอะสองแก้ม เธอซบหน้ากับหมอนแล้วร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ
“ฉันเสียตัวแล้ว เสียตัวให้คนที่ฉันเพิ่งเจอหน้าไม่ถึงชั่วโมง แถมฉันยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของเขาอีก”
เมฆาไปประชุมที่บริษัทด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น พอเสร็จธุระก็รีบขับรถกลับบ้านทันที ช่วงที่มือจับ พวงมาลัยรถ สายตามองตรงไปข้างหน้า ความคิดเขากลับวนเวียนอยู่ที่อริสรา เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึง...ถึงทําอย่างนั้นกับเธอได้ เขาหน้าจะปล่อยเธอไปก่อนสักระยะ แต่นี่พึ่งวันแรกก็จัดการเธอเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะเสียขวัญไปแล้วหรือเปล่า
โธ่เว้ย! ทําไมถึงอดใจไม่ไหวนะ ทั้งที่เธอเพิ่งจะอายุ 17 ปีแท้ ๆ เขาสบดอยู่ในใจ
ท่ามกลางความรู้สึกผิดที่เข้ามาในสมอง เขาไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดี อันที่จริงจะทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ได้ แต่เขาไม่เคยทําแบบนี้กับใครมาก่อน จะให้เขาเห็นแก่ตัวปล่อยให้เรื่องมันจบ ง่าย ๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยก็ไม่ได้
เขาแวะห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของใช้ของใช้จําเป็นสําหรับเธอ รวมถึงเสื้อผ้าด้วย นึกถึงร่างเล็ก ๆ ที่สั่นสะท้าน ท่าทางหวาดระแวง และเนื้อตัวที่มีแต่รอยเขียวช้ำ ๆ ไปหมดนั่นอีก คิดแล้วก็รู้สึกสงสารจับใจ
ทันทีที่กลับถึงบ้าน เขาก็เจอดุสิตากึ่งนั่งกึ่งนอนดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น
เขาก้าวเข้าไปหา สองมือนิ้วของพะรุงพะรัง พูดเสียงดังฟังชัดว่า
“คุณแม่จะว่าอะไรไหมครับ ถ้าเจ้าสาวของผมจะเป็นกระแต! ”
ประโยคนี้ของลูกชายทําให้ดุสิตานิ่งอึ้งไปพักใหญ่ก่อนผุดลุกขึ้น อุทานเสียงหลง
“ว่าไงนะ! ”
เขาถอนหายใจยาว ก่อนเรียกสาวใช้ให้มารับของขึ้นไปให้อริสราบนห้อง แล้วเดินมานั่งบนโซฟา ดึงมือแม่ให้นั่งข้างกัน
“ผมคิดว่า ผมอยากจะรับผิดชอบกระแต และอยากดูแลเธอไปตลอดชีวิต และตอนนี้กระแตก็เป็นเมียของผมแล้ว”
“โอ๊ยตาย ” หญิงสูงวัยตบหน้าผากตัวเอง เอนหลังพิงโซฟา ก่อนหยิบรีโมตเบาเสียงโทรทัศน์
“บอกแม่ทีว่าแม่หูฝาด”
“แม่ไม่ได้หูฝาดหรอกครับ เป็นแบบนั้นจริง ๆ” เขากล่าวเสียงเคร่งขรึม ไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
“ปกติเมฆไม่ใช่คนอย่างนั้น เมฆไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเลือกกระแตล่ะ”
“นี่เป็นครั้งแรกจริง ๆ ครับ” เขาเองก็เครียดไม่น้อยเหมือนกัน
“เพิ่งเจอกันไม่ทันไร แถมฝ่ายผู้หญิงก็อายุยังไม่ถึง 18 ปีเลย เข้าขั้นพรากผู้เยาว์ได้เลยนะ"
“ก็ผมจะรับผิดชอบเธอไงครับ ตอนนี้กระแตไม่มีญาติฝ่ายไหนแล้ว เธอตัวคนเดียว และผมก็อยากจะดูแลเธอไปตลอดชีวิต"
“มีผู้หญิงมากมายที่คู่ควรกับเมฆ ส่วนกระแตแม่ไม่เห็นด้วยนะ ถ้าจะแต่งงานกับกระแตเพื่อรับผิดชอบ แม่ว่าคงไม่จำเป็นมั้ง ก็เหมือนที่เมฆพูดไงว่าเธอไม่มีญาติที่ไหนแล้ว เด็กคนนั้นเราซื้อมาแล้ว ถ้าเมฆจะเลี้ยงดูไว้เป็นบ้านเล็ก แม่ไม่ว่า แต่ให้ออกหน้าออกตาจริง ๆ แม่ไม่โอเค”
“คุณแม่น่าจะเข้าใจผู้หญิงด้วยกันนะครับ ถึงแม้ว่ากระแตจะไม่มีญาติผู้ใหญ่ให้เรียกร้องอะไรแล้ว แต่เมื่อผมอดทนไม่ไหวจนมีอะไรกับเธอ แล้วผมควรจะรับผิดชอบ หากผมรออีกเดือนกว่า จนเธออายุถึง 18 ปีแล้ว แล้วมีอะไรกับเธอ ผมก็คงจะไม่รู้สึกผิดขนาดนี้หรอกครับ”
“รับผิดชอบทําไม” ดุสิตาเสียงสะบัด “ก็แค่ลูกเลี้ยงของลูกหนี้ ทางโน้นเขาไม่ต้องการถึงมายกให้เรา แต่งงานกับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่อายเพื่อนนักธุรกิจด้วยกันบ้างหรือไง แม่ก็ไม่ได้รังเกียจกระแตหรอกนะ แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางช่วยส่งเสริมให้เมฆไปได้ไกลกว่านี้หรอก มีแต่จะคอยถ่วงด้วยซ้ำ”
“ผมก็ไม่ได้จะแต่งตอนนี้ ผมจะให้เธอเรียนให้จบก่อนแล้วค่อยแต่ง ผมแค่บอกแม่ก่อนเท่านั้น”
“แม่รู้ว่าเมฆลําบากใจ แต่อย่าไปจริงจังอะไรกับเด็กที่เพิ่งเจอกันได้ไม่พ้นวันเลยนะ”
เขามองมารดาด้วยสายตาที่ผิดหวัง เคยคิดว่าแม่จะเป็นที่ปรึกษาที่ดี แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แม่ทําให้เขาเครียดหนักกว่าเดิมซะอีก
“แม่น่ะเตรียมดูผู้หญิงที่คู่ควรกับเมฆไว้ให้แล้ว ส่วนเด็กคนนั้นก็ให้อยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ ให้กินอิ่มนอนอุ่น มีเงินใช้ คนยากจนที่ไม่เคยมีอะไรมาก่อนอย่างกระแต คงจะยินดี และคงไม่มีปัญหาอะไร"
“ผมหมดเรื่องจะคุยกับคุณแม่แล้วครับ” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน สีหน้าเย็นชา
“เมฆ...แม่พูดแบบนี้ก็เพราะรักและห่วงเมฆน่ะ”
“ผมเข้าใจครับ”