บทที่ 4 (2)
ธิติกดจูบลงบนหน้าผากของน้องสาว ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงาน พร้อมกับถอนหายใจลึก ขณะหยุดเดินแล้วหันมามองน้องสาวชั่วขณะ
“พี่ธิไปทำงานได้แล้วค่ะ” วรรณศรโบกมือไล่พี่ชายกลั้วเสียงหัวเราะร่วน
“โอเคพี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ธิติตอบกลับพร้อมกับคลี่ยิ้มให้น้องสาวด้วย แต่พอหันหลังให้น้องสาวแล้ว ใบ
หน้าคมเข้มก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดกับปัญหาชีวิตของน้องสาวเพียงคนเดียว
เพราะถูกไบรอันตามไปทำร้ายร่างกายถึงที่บ้าน เขาจึงต้องขอร้องแกมบังคับให้
วรรณศรย้ายมาอยู่กับเขาชั่วคราวในบ้านของเขาเอง ซึ่งแน่นอนว่าไบรอันไม่กล้ามาเหยียบถึงถิ่นของเขา เพราะมีคำสั่งห้ามเด็ดขาด และถ้าหากไบรอันยังกล้าตามมาราวีวรรณศรถึงที่นี่ เขาจะได้กลับออกไปพร้อมกับอาการโชกเลือด ซึ่งเขาและลูกน้องจะไม่ปรานีกับผู้ชายหน้าตัวเมียที่ทำร้ายน้องสาวของเขาอีกแล้ว...
อคิราหอบข้าวของที่ซื้อมาซึ่งส่วนมากจะเป็นอาหารสดและของกินทั้งนั้น เดินเข้ามาในคอนโด และเพราะช้อปปิ้งเพลินไปหน่อย กว่าจะกลับมาถึงคอนโดก็เป็นเวลามืดค่ำพอดี ซึ่งหญิงสาวเช่าคอนโดหรูในเมืองลาสเวกัสแห่งนี้เพื่อพักอาศัยในขณะทำภารกิจแก้แค้นให้กับลันดาโดยเฉพาะ
หลังจากเรียนจบ คว้าใบปริญญามาให้บุพการีทั้งสองได้ชื่นใจแล้ว อคิราก็ตั้งใจว่าจะกลับบ้านไร่ธิปรกในทันที แต่พอมีเรื่องของเพื่อนรักเกิดขึ้น จึงตัดสินใจอยู่ลาสเวกัสต่อ เพียงเพื่อทำการแก้แค้นให้กับลันดา หลังจากนั้นเธอจะพาหลานสาวตัวน้อยกลับประเทศไทยด้วยกัน ซึ่งเธอเชื่อว่าทุกคนที่ไร่ธิปรกจะต้องหลงรักหนูน้อยแอลลี่และช่วย
กันเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
และขณะกำลังเปิดประตูห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น แต่เพราะมือทั้งสองเต็มไปด้วยข้าวของที่หอบพะรุงพะรัง จึงไม่สามารถล้วงหยิบโทรศัพท์มากดรับสายได้ จนต้องรีบเร่งเข้าไปในห้องพัก ก่อนจะวางข้าวของทุกอย่างไว้บนโซฟา แล้วรีบหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย และด้วยรู้ว่าใครเป็นผู้โทร.มาหาตนจึงเอ่ยทักทายเสียงหวานพร้อมกับเอ่ยขอโทษมารดาด้วย
“สวัสดีค่ะ แม่เลี้ยง ต้นน้ำขอโทษค่ะที่รับสายช้า ต้นน้ำเพิ่งกลับมาถึงคอนโดค่ะ”
“ต้นน้ำไปไหนมาหรือลูก”
แม่เลี้ยงรดาแห่งไร่ธิปรกซึ่งมีลูกชายฝาแฝดสุดหล่อสองคนและมีลูกสาวคนเล็กคืออคิรา ได้เอ่ยสอบถามถึงความเป็นอยู่ของลูกสาว และเพราะอยู่ไกลกันคนละซีกโลก จึงจำเป็นต้องโทร.มาหาลูกสาวบ่อยๆ โดยไม่ต้องกลัวเรื่องค่าโทรศัพท์ที่แพงเอาการ
“ต้นน้ำไปซื้ออาหารที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตค่ะ เตรียมไว้ไปแค้มปิ้งกับเพื่อนๆ ในวันมะรืนค่ะ”
อคิรายกมือไหว้ปลกๆ ขณะเอ่ยโกหกมารดาไปเช่นนั้น หญิงสาวจำต้องโกหกว่าจะไปตั้งแคมป์เดินป่ากับเพื่อนๆ หลายวันด้วยกัน เพื่อให้บิดาและมารดาคิดว่าเธออยู่เที่ยวในลาสเวกัส ทว่า...จริงๆ แล้วเธออยู่ในเมืองแห่งบาปนี้ก็เพื่อแก้แค้นให้กับลันดา
“ไปหลายวันหรือเปล่าลูก”
แม่เลี้ยงรดาเอ่ยถามลูกสาวต่อ พลางหันไปมองหน้าสามี พ่อเลี้ยงธิปรกซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กัน และได้ยินทุกเสียงการสนทนา เพราะท่านได้เปิดลำโพงให้สามีได้ยินด้วย
“สามวันค่ะ คุณแม่” อคิราบอกจำนวนวันไว้เผื่อสำหรับการปฏิบัติภารกิจแก้แค้นในครั้งนี้
ได้ยินลูกสาวบอกเช่นนั้น แม่เลี้ยงรดาก็บอกถึงสาเหตุที่อยากให้ลูกสาวกลับประเทศไทยเป็นการเร่งด่วน “แม่อยากให้ต้นน้ำกลับบ้านในสัปดาห์หน้า เพราะต้นเดือนที่จะถึงนี้ พี่ๆ ของต้นน้ำก็จะแต่งงานแล้ว”
“พี่เพลิง พี่ไฟจะแต่งงาน” อคิราถามเสียงหลง เบิกตาโตด้วยความตกใจระคนดีใจ พลางเอ่ยถามต่อกลับรัวเร็ว “นี่พี่ชายของต้นน้ำจะแต่งงานพร้อมกันเลยหรือคะ”
“ใช่แล้วลูก พี่ชายสุดหล่อทั้งสองจะแต่งงานพร้อมกันในต้นเดือนหน้า”
คราวนี้พ่อเลี้ยงธิปรกเป็นฝ่ายเอ่ยตอบคำถามของลูกสาวบ้าง น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความดีใจที่ฝาแฝดสุดแสบทั้งสองกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว
และอคิราก็ดีใจไม่แพ้กันที่ได้ยินเรื่องมงคลของพี่ๆ แต่กระนั้นก็อดสงสัยไม่ได้จนต้องเอ่ยถามบิดามารดากลั้วเสียงหัวเราะร่วน
“ต้นน้ำรู้ว่าพี่เพลิงรักพี่หมามุ่ยมานานแล้ว และก็จองพี่หมามุ่ยให้เป็นเจ้าสาวของพี่เพลิงตั้งแต่ยังเด็กอยู่ แต่...ใครกันคะ ที่เป็นว่าที่เจ้าสาวผู้เก่งกาจที่ปราบพี่ไฟให้อยู่หมัดได้ จนถึงขั้นยอมตกลงปลงใจแต่งงานด้วย”
“ว่าที่พี่สะใภ้ของต้นน้ำชื่อพีรดา ชื่อเล่นฬานา เธอเป็นสัตวแพทย์จ้ะ” แม่เลี้ยง
รดาเอ่ยบอกประวัติของว่าที่ลูกสะใภ้ให้ลูกสาวได้ทราบพอคร่าวๆ
พอได้ยินเช่นนี้อคิราก็หัวเราะออกมาในทันที “แหม! คู่ของพี่ไฟนี่เหมาะสมกันจริงๆ พี่ไฟชอบเลี้ยงม้าเป็นชีวิตจิตใจ ก็ได้ว่าที่ภรรยาเป็นสัตวแพทย์ ได้ช่วยกันดูแลม้า
ในฟาร์มแบบครบวงจรเลย”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะลูก หนูฬานาทั้งเก่ง ทั้งฉลาด และปราบพี่ชายของต้นน้ำจนไม่กล้าหือเลยละ” แม่เลี้ยงรดาเอ่ยให้คะแนนพีรดา เพราะถูกใจว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้หนักหนา
“แม่เลี้ยงปลื้มว่าที่ลูกสะใภ้ซะขนาดนี้ สงสัยต้นน้ำต้องรีบกลับบ้านไปดูหน้าว่าที่เจ้าสาวคนเก่งแล้วละคะ”
เอ่ยบอกมารดาแล้ว อคิราก็ยิ้มกริ่ม อยากเห็นหน้าผู้หญิงเก่งคนนี้ที่สามารถปราบพี่ชายตัวแสบของเธอได้อยู่หมัด
“แม่อยากให้ต้นน้ำกลับบ้านก่อนงานแต่งของพี่ๆ สักหนึ่งหรือสองอาทิตย์”
“ค่ะแม่เลี้ยง ถ้าเป็นไปได้ ต้นน้ำจะกลับบ้านอาทิตย์หน้าเลยค่ะ”
อคิรายังไม่กล้ารับปากมารดาเลยทีเดียว เพราะยังมีภารกิจสำคัญที่ต้องจัดการให้เสร็จสิ้นซะก่อน
“ให้พ่อจองตั๋วเครื่องบินให้เลยไหมลูก” พ่อเลี้ยงธิปรกเอ่ยถามแทรกขึ้นมา คิดถึงลูกสาวคนเล็กของไร่ธิปรกจนอยากให้ลูกสาวกลับบ้านโดยเร็ว
และอคิราก็เอ่ยปฏิเสธบิดาในทันที “ต้นน้ำจองตั๋วเครื่องบินเองดีกว่าค่ะ ต้นน้ำให้สัญญาค่ะว่าไม่เกินสัปดาห์หน้า แม่เลี้ยงกับพ่อเลี้ยงได้กอดลูกสาวคนนี้แน่นอนค่ะ”
“เอาแบบนั้นก็ได้ลูก” พ่อเลี้ยงธิปรกเคารพในการตัดสินใจของลูกสาวเสมอ
“ฝากบอกพี่ชายของต้นน้ำด้วยนะคะว่า งานนี้ต้นน้ำของเป็นเพื่อนเจ้าสาวเองค่ะ” อคิราเอ่ยบอกกลั้วเสียงหัวเราะร่วน
“ได้จ้ะลูก เดี๋ยวแม่จะบอกพี่ๆ ให้นะ”
แม่เลี้ยงรดารับคำ พอนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็เอ่ยบอกลูกสาวพร้อมกับหัวเราะร่วนด้วยความขบขำผสมโรงกับเสียงของพ่อเลี้ยงธิปรก
“สามทหารเสือก็ฝากความคิดถึงมาด้วย อยากให้คุณหนูต้นน้ำของพวกเขากลับไร่ธิปรกเร็วๆ”
คราวนี้อคิราต้องหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม แน่นอนว่าใครๆ ก็รู้จักสามทหารเสือแห่งไร่ธิปรกที่เรียกได้ว่าแสบทรวงพอๆ กับอัคนีและอัคคีพี่ชายฝาแฝดของเธอ
ลุงราม ลุงสน และลุงชาญคือเพื่อนรักเพื่อนตายที่ได้ทำงานอยู่ในไร่ธิปรกมาช้านานแล้ว ถ้าหากทั้งสามคนได้รวมตัวกันเมื่อไร ก็มีเรื่องให้บิดามารดาของเธอต้องปวดหัวในทุกที ไม่ว่าทั้งสามจะแสบทรวงมากเพียงใด แต่ลุงๆ ทั้งสามคนก็จงรักภักดีต่อพ่อเลี้ยงธิปรกและแม่เลี้ยงรดาเป็นอย่างมาก ลุงๆ คอยทำหน้าที่ปกป้องตั้งแต่รุ่นของแม่เลี้ยงรดาจนถึงรุ่นลูก หากใครคิดจะแตะต้องคนในไร่ธิปรกต้องเจอกับลุงๆ ทั้งสามคนก่อน จนได้รับฉายาว่าสามทหารเสือแห่งไร่ธิปรกนั่นเอง
“ค่ะแม่เลี้ยง ฝากบอกลุงๆ ว่าต้นน้ำจะรีบกลับบ้านไร่ธิปรกให้เร็วที่สุดค่ะ ต้นน้ำคิดถึงทุกคนมากค่ะ” ฝากความคิดถึงถึงลุงๆ ทั้งสามแล้ว อคิราก็บอกกับมารดาต่อว่า “ต้นน้ำขอวางสายก่อนนะคะ ต้นน้ำจะทำอาหารนะคะแม่เลี้ยง”
“ได้จ้ะลูก” แม่เลี้ยงรดารับคำ
“ต้นน้ำรักคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”
เอ่ยบอกรักบุพการีทั้งสองแล้ว อคิราก็กดวางสาย ใบหน้างามเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขในทุกครั้งที่ได้พูดถึงครอบครัวอันแสนอบอุ่น และไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เธอก็นึกถึงบ้านไร่ธิปรกเสมอ แต่อีกไม่นานเธอก็จะกลับบ้านแล้ว จะพามารดาของลันดาและแอลลี่หนูน้อยที่แสนอาภัพไปอยู่ที่บ้านไร่ธิปรกด้วย
และเพราะความรีบเร่งเข้ามาในห้องพักตอนที่มารดาได้โทร.มาหา ทำให้อคิราลืมล็อกประตูห้องพัก และคงเป็นความซวยของหญิงสาว ที่ดันนั่งหันหลังให้กับประตูห้องด้วย จึงไม่เห็นว่ามีใครบางคนได้เปิดประตูห้องพักของเธอแล้วเดินย่างเท้าเข้ามาด้วยฝีเท้าแผ่วเบา มาหยุดยืนอยู่ข้างหลังตัวเธอ ในมือมีบางสิ่งบางอย่างถืออยู่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลักพาตัวเหยื่อด้วย และกว่าที่อคิราจะรู้ตัว ก็เมื่อได้ยินเสียงทักทายเย็นยะเยือกที่ดังอยู่ใกล้ๆ ต้นคอของเธอ
“สวัสดี ผู้หญิงแพศยา”
อคิราสะดุ้งเฮือกกับน้ำเสียงที่ฟังน่าสะพรึงกลัวและลมหายใจที่เป่ารินรดต้นคอ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ช่วยเหลือตัวเอง เมื่อจมูกของเธอถูกโปะด้วยผ้าขาวสะอาดแต่มีพิษสงร้ายแรง เพราะถูกหยดไว้ด้วยยาสลบเต็มผ้าขาวผืนนี้