บทที่ 1 - เธอ...ปาลิน 4
ชายหนุ่มคิดในใจ หากเขาได้เจอกับเธอในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าเขายังจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเธออีกรึเปล่าเพราะในวันนั้นเขาเป็นคนส่งเธอให้คนอื่นไปด้วยความเต็มใจของเขาเอง ใครอีกคนที่เขาคิดว่าดูแลเธอได้ดีกว่าเขาในตอนนั้น พาหนะสี่ล้อสมรรถนะสูงยังคงวิ่งตามทางต่อไปเรื่อยๆ เมื่อยังไม่ถึงจุดมุ่งหมาย แตกต่างกับจิตใจของคนที่นั่งอยู่ช่วงท้ายของรถมันได้ล่องลอยออกไปแล้วไกลแสนไกล
‘รถยังวิ่งตามทางตราบที่เรายังบังคับให้มันไปยังไงก็อย่างนั้น แล้วใจคนล่ะบังคับยังไงมันก็ไปได้ไม่ไกล ถ้าไม่ใช่ทางที่ใช่ สุดท้ายมันก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ในทางที่ใช่ของมันอยู่ดี’
อยู่ๆ คำพูดของเลขาเพื่อนรักที่นั่งอยู่เบาะหน้าข้างคนขับก็ลอยมากระทบโสตประสาทของคนที่นั่งใจลอยอยู่เบื้องหลัง ไคล์หันหน้ามองเลขาของเขาอย่างเริ่มมีความรำคาญ แต่ทว่าคนถูกมองด้วยสายตาน่าเกรงขามนั้นกลับไม่เกรงขามสายตานั้นเลยสักนิด
‘จ้องกันขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงตายไปนานแล้วแต่ไม่ใช่นายเอาบัสคนนี้หรอกไคล์’ คนหน้ามึนคิดในใจ
เช้าวันแรกของฤดูใบไม้ผลิในนิวยอร์กเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นเสมอสำหรับปาลิน วันนี้เธอรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษเพราะบรรยากาศด้านนอกกำลังมีเมฆฝนลอยอยู่เต็มท้องฟ้า มันอาจจะดูอึมครึมหม่นหมองและไม่สดใสสำหรับใครหลายคนๆ
แต่ไม่ใช่ปาลิน เธอไม่ชอบฝนก็จริงเพราะหลังจากที่มันตกพื้นดินจะชื้นแฉะไปด้วยน้ำ แต่ตอนที่มันกำลังตกนั้นเป็นสิ่งปาลินเห็นแล้วสบายตาที่สุด เธอชอบนั่งดูฝนตกและปล่อยความคิดให้ลื่นไหลไปกับสายฝนพรำนั้น ทั้งเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นกับเธอ
เรื่องในอดีตอันสุดแสนจะพลิกผันและปัจจุบันที่เธอไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้และอนาคตเธอก็คิดอยู่เสมอว่ามันจะเป็นเช่นไร จะกลับไปเป็นเหมือนอดีตหรือเป็นอยู่อย่างปัจจุบันหรือจะดีขึ้นกว่าเดิมในอนาคต
ร่างบอบบางแต่ทว่าสมส่วนอยู่ในชุดเสื้อโค๊ดสีน้ำตาลยาวคลุมเข่าที่เธอสวมทับเสื้อเชิ๊ตสีดำลายตารางและกระโปรงเข้าทรงมาตรฐานสีเดียวกับเสื้อที่สาวๆ พนักงานออฟฟิศนิยมใส่กัน มือบางถือร่มที่กำลังกางอยู่หนึ่งคันพร้อมกระเป๋าเป้สะพายหลังใบขนาดกลางใบหนึ่งกำลังเดินออกจากหน้าอพาร์ทเมนต์ที่เธออยู่มาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ จนตอนนี้ผ่านไปสามสี่ปีแล้ว
กว่าจะมีวันนี้ได้เธอผ่านมรสุมชีวิตและความพลิกพลันของโชคชะตามานับไม่ถ้วน ตั้งแต่หกขวบที่ยายจากไปเธอก็ไม่เคยมีความทรงจำอะไรดีๆ ในชีวิตเลยยกเว้นเรื่องราวเมื่อสิบก่อนนั้นที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอได้มีวันนี้
‘นี่เธอ...มาขายตัวเหรอ?’
เสียงห้าวของเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นถามเธอเมื่อทั้งคู่เดินออกมาภายนอกของผับแห่งหนึ่งที่ปาลินไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ เธอส่ายหน้าให้เขาแทนคำตอบสองมือน้อยยังกอดตัวเองไว้แน่น เธอได้ยินตอนเขาพูดกับมารีว่าเขาจะขอซื้อบริการจากเธอตอนนั้นเธอแทบจะวิ่งหนีออกมาแต่สายตาของเขาเหมือนคอยสิ่งสัญญาณให้เธอรู้อยู่ตลอดเวลาว่าให้เธออยู่เฉยๆ ไว้
แม้เขาจะเป็นคนแปลกหน้าแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรปาลินเธอจึงได้รู้สึกไว้ใจเขาหนัก จนยอมออกมากับเขาตามคำสั่งของมารีในที่สุด ไม่ใช่ว่าเธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยเสียที่เดียวเธอพอฟังรู้เรื่องอยู่บ้างแต่กลัวที่จะโต้ตอบกับใครมากกว่า เธอกลัว กลัวว่าจะถูกหลอกไปอีกเหมือนที่เธอถูกหลอกมาที่นี่ และคนที่หลอกเธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นมารีกับเคนสองสามีภรรยาที่ขอเธอมาเป็นลูกบุญธรรม
แต่สุดท้ายสิ่งที่เธอรู้เมื่อตอนที่เครื่องบินกำลังจะเเลนดิ้งลงสู่พื้นดินอเมริกาแล้วก็คือเธอถูกขายให้กับสามีภรรยาคู่นี้และคนขายก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นแม่แท้ๆ ของเธอเอง มารู้ตอนนี้เธอก็หนีไปไหนไม่พ้นแล้วในใจร่ำร้องหายายที่ตายจากไปกับแม่ครูในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอโตมาในใจเธอตอนนั้นรู้สึกเกลียดชังคนที่เธอเรียกว่าแม่มาตลอดชีวิตที่สุด
ไม่มีคำตอบจากเด็กสาว หนุ่มน้อยวัยยี่สิบเอ็ดจึงถอดเสื้อโค๊ตตัวโตของตัวเองให้ เธอคงจะหนาวมากเพราะหิมะกำลังตกราวกับเม็ดฝนโปรยปรายลงมาไม่มีหยุด เขาพาเธอเดินต่อไปอีกให้ระยะทางห่างจากสถานบันเทิงแห่งนั้นให้ไกลที่สุด เขาบอกกับคนที่ชื่อมารีว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะพาเด็กสาวไปส่งที่นั่น
‘ถ้าเจ้าตัวต้องการกลับไป’
ทั้งคู่เดินมาจนถึงโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ย่านนี้ถือเป็นเขตนอกเมืองการหาโรงแรมจึงถือว่าไม่ยากเกินไปนักเนื่องจากตอนขาไปไคล์ติดรถไปกับเพื่อนอีกคนแต่พอเขาจ่ายค่าเวลาแล้วพาเธอออกมาก่อนจึงไม่ได้รอเพื่อนที่ไปด้วยกัน อีกอย่างเขาไม่อยากให้เรื่องนี้ต้องมีคนรับรู้มากเกินไปเพราะมันอาจจะส่งผลเสียได้ถ้าเรื่องมันไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด ระหว่างทางทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำจนเขาพาเธอเข้ามายังห้องพักของโรงแรม
“เธอจะไม่พูดอะไรเลยก็ได้นะ” ไคล์เอ่ยพร้อมกับยืนขึ้นเต็มความสูง
“แล้วพรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปส่งที่เดิม” ร่างสูงกำลังจะหันหลังให้แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงเล็กๆ ลอดผ่านริมฝีปากออกมา
“อย่านะ...อย่าพาฉันกลับไปที่นั่นอีกเลยนะ” น้ำตาใสๆ ร่วงหล่นทันทีที่พูดจบ เธอไม่อยากกลับไปที่นั่นอีก!
ไคล์หันกลับไปมองหน้าเธอชัดๆ ก็พบว่าสาวน้อยนั้นร้องไห้ออกมาแล้วโดยที่ไม่มีเสียงสักนิด เขานั่งลงที่เดิมตรงโซฟาข้างๆ กับเธอแต่ยังเว้นระยะห่างไว้พอประมาณ เขาเคยได้ยินมาว่าคนเอเชียถือเรื่องถูกเนื้อต้องตัวกันเขาไม่แน่ใจว่าสาวน้อยคนนี้เป็นแบบนั้นด้วยรึเปล่าแต่เขาก็ต้องไม่ประมาทไว้ก่อน แม้วัฒนธรรมของคนส่วนใหญ่อาจจะเปลี่ยนไปตามกระแสนิยมตะวันตกแต่เธอคนนี้ก็ยังเป็นเด็กอยู่เลย
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...ฉันหมายถึงเธอมาอยู่อเมริกาได้ยังไงนะ” เขารีบแก้คำพูดตัวเองทันทีเมื่อรู้สึกว่าเขานั้นถามกำกวมเกินไป
ดวงหน้าน้อยๆ เงยขึ้นมองที่ชายหนุ่ม ชั่งใจอยู่ชั่วขณะจึงได้ตัดสินใจเล่าความจริงทุกอย่างออกไปเพราะลึกๆ แล้วเธอหวังว่าเขาจะช่วยให้เธอรอดพ้นในสิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่ได้แต่ถ้าหากมันไม่เป็นเช่นนั้นเธอก็พร้อมที่จะเสี่ยงเพราะชีวิตเธอเหลืออยู่เพียงแค่นี้แล้วคงไม่มีอะไรให้เสียไปมากกว่านี้
“ฉันถูกโอนให้เป็นลูกบุญธรรมของมารีกับเคน” สาวน้อยเริ่มเล่า
“ใครโอน แม่เธอเหรอ?” ไคล์ถามทันทีเพราะเขาเป็นคนไม่ชอบอยู่ในความสงสัยนานๆ มันเป็นอีกนิสัยหนึ่งของเขา เด็กสาวพยักหน้ารับก่อนจะเล่าเรื่องราวต่อ
“แม่โอนฉันให้เป็นลูกบุญธรรมของเขา แม่บอกฉันว่าถ้ามาอยู่กับมารีและเคนฉันจะได้เรียนหนังสือสูงๆ และมีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อน”
ปากเล่าไปน้ำตาก็ไหลรินไม่ยอมหยุดไคล์จับสังเกตได้ทุกอาการของเด็กสาว “แต่สุดท้ายสิ่งที่ฉันได้ยินก่อนที่เครื่องบินจะลงจอดที่คือฉันถูกขาย....แม่ขายฉันให้พวกเขา” สาวน้อยสะอื้นไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อเล่ามาถึงจุดที่ทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ตั้งแต่เกิดมาแม่ไม่เคยเลี้ยงดูเธอเลยมีแค่ยายนั้นที่เลี้ยงดูเธอมาตลอดครั้นพอยายจากไปเธอก็ถูกคนที่เธอเรียกว่าแม่ตามที่ยายบอกให้เรียก ทั้งที่เคยเจอหน้ากันเพียงสองครั้งและครั้งที่สองเธอก็ถูกพามาไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและครั้งที่สามตอนอายุสิบห้าแม่เธอก็พาเธอมาขาย
ไคล์เผลอรู้สึกเจ็บปวดไปกับเด็กสาวด้วยเมื่อได้ฟังสิ่งที่เธอเล่า เขาไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะเจออะไรที่โหดร้ายได้มากขนาดนี้โดยเฉพาะคนที่ทำกับเธอคือแม่แท้ๆ ไคล์ขยับเข้าไปใกล้เด็กสาวเตะไหล่เธอเบาๆ เพื่อหวังจะปลอบโยน ‘แสดงว่าเขาคิดไม่ผิดที่จะช่วยเธออกมา’
แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งเมื่อร่างเล็กๆ นั้นโผเข้ามากอดเข้าอย่างไม่ทันตั้งตัวพร้อมกับเสียงร้องไห้จนสะอื้นอย่างน่าเวทนา
เกือบห้านาทีที่เด็กสาวบอกเขาร้องไห้ ไคล์ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าลูบหลังเธอเบาๆ เป็นการปลอบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอกำลังทำอะไรเด็กสาวก็ขยับตัวหนีในทันที
“ฉันขอโทษ”
“ไม่เป็นไร” ไคล์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนกว่าเดิม แม้เขายังไม่รู้ว่าจะหาเธอช่วยเธอยังไงแต่เมื่อเขาตั้งใจจะช่วยเธอแล้วเขาก็ต้องทำให้ได้
ร่างสูงยืนมองเด็กสาวที่หลับอยู่บนเตียงขนาดสามฟุตของโรงแรมด้วยจิตที่คิดไม่ตก เขาสงสารเธอแต่ไม่รู้ว่าจะหาทางช่วยเธอได้อย่างไร ตอนแรกเขาคิดว่าจะพาเธอกลับไปที่บ้านของเขาให้แม่ของเขาช่วยดูแลเธอไปก่อนระหว่างที่คิดหาทางออกว่าจะช่วยเธออย่างไร
แต่การได้คุยโทรศัพท์กับพ่อของเขาเมื่อชั่วโมงที่แล้วทำให้เขาต้องหยุดความคิดนั้นไว้ ครอบครัวเขากำลังมีปัญหาใหญ่หากพาเธอไปด้วยตอนนี้อาจจะเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับครอบครัวเขาก็เป็นได้หรือบางทีเธออาจจะกลายเป็นภาระไปเลยก็ได้เมื่อสถานะของครอบครัวเขาเปลี่ยนไป ไคล์คิดทบทวนอยู่กว่าครึ่งค่อนคืนเขาจึงตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไรกับเด็กสาวคนนี้
เสียงเรียกเข้าของเครื่องมือสื่อสารปลุกให้เขาลุกจากโซฟาที่เขายึดเป็นที่นอนเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว หน้าจอของเจ้าอุปกรณ์สื่อสารแสดงเบอร์แปลกที่ไม่คุ้นตาและไม่ได้บันทึกไว้ ลางสังหรณ์บ่งบอกว่าเขาพลาดไปหนึ่งจุดที่อาจลืมนึกถึงไป ‘ทำไมต้องเอาเบอร์จริงให้ไปด้วยล่ะ’
ไคล์นึกโทษตัวเองในใจที่เขาไม่รอบคอบว่าผู้หญิงที่ชื่อมารีจะโทรมาและเขาก็ลืมนึกไปว่านางและสามีจะไปแจ้งตำตรวจหรือไม่ที่พาตัวเด็กคนนั้นมาอย่างนี้เพราะอย่างไรคนพวกนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่บุญธรรม ถึงการกระทำจะไปทางแม่เล้ามากกว่า ทันใดเขาก็นึกขึ้นได้ในเรื่องที่ได้คุยกับ ‘เพื่อนเก่า’ เมื่อคืนนี้ เขาคิดว่าทางนั้นคงจัดการได้จึงปล่อยเรื่องนี้จากความคิดไป ร่างสูงหันหลังกลับก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเด็กสาวยืนอยู่ข้างหลังของเขาด้วยสีหน้านิ่งๆ ไม่แสดงความรู้สึกอะไร แต่เขาสังเกตได้ว่าแววตาของเธอนั้นมีเรื่องอยากคุยกับเขาอยู่แน่นอนทีเดียว
“มายืนอยู่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เขาถามทั้งที่รู้ว่าเธอน่าจะตื่นและมาอยู่ตรงนี้นานแล้วก็ได้ เด็กสาวพยักหน้าเป็นการตอบแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาตัวที่เขาเพิ่งลุกออกเมื่อสักครู่ ไคล์มองตามหลังของสาวน้อยที่ตอนนี้เขายังไม่รู้จักชื่อเธอด้วยซ้ำ เธอยังอยู่ในชุดเดิมของเมื่อวานตอนที่เขาพาเธอออกมาจากสถานบันเทิงแห่งนั้น
ชุดเกาะอกสีน้ำเงินความยาวคลุมเข่าโชว์แผ่นหลังและต้นขาให้เห็นอย่างชวนคิดไปถึงไหนต่อไหน มันไม่เหมาะกับเด็กอย่างเธอเลยสักนิดเดียว คิดแล้วเขาก็เดินเข้าห้องน้ำไป ไม่ถึงสิบนาทีชายหนุ่มก็เดินออกมาพร้อมกับเสื้อโค๊ตตัวเดิมที่ให้เด็กสาวใส่เมื่อคืน เขายื่นเสื้อให้พร้อมกับบอกว่าจะพาเธอออกไปกินข้าว เด็กสาวพยักหน้ารับถี่ๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเธอเองก็คงจะหิวแล้วเช่นกันแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากบอกแต่อย่างใด
“เธอชื่ออะไร” เขาถามตอนที่ทั้งสองเดินลงมาถึงล็อบบี้ด้านล่าง
“ปะ ปาลิน ชื่อปาลิน” เด็กสาวตอบ ไคล์พยักหน้าเป็นการรับรู้ เขาคิดว่าชื่อเธอก็เพราะดีถึงตัวเขาเองจะไม่รู้ความหมายก็ตาม แล้วทั้งสองก็พากันเดินออกไปยังภายนอกโรงแรมด้านหน้าเป็นทางที่เขาพาเธอมาเมื่อคืน ไคล์จึงพาเธอเดินอ้อมเข้าซอยที่มีร้านค้าต่างๆ อยู่โดยรอบจนทะลุด้านหลังของโรงแรมในที่สุด