บทที่ 4
และก็ถึงเวลาในการเริ่มลงมือทำงานอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ทีมงานใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งก็ถ่ายเสร็จ จากนั้นไอยวริญท์และเป้ก็รีบเดินทางกลับโรงแรมเพื่อไปเก็บจัดเก็บข้าวของ และรีบเดินทางไปสนามบินนานาชาติอัลราจี
โดยเดินทางไปที่นั่นด้วยเครื่องบินส่วนตัวของฮาลิมา นับว่าเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างฉุกละหุกแต่ก็ได้รับความสะดวกสบายตลอดทุกเส้นทาง โดยที่ไอยวริญท์ไม่มีโอกาสรู้เลยว่าตนเองนั้นได้นำของแปลกปลอมบางอย่างติดตัวกลับไปด้วย
กว่าที่เธอจะรู้ว่าตนเองนั้นได้ครอบครองอัญมณีล้ำค่าก็เป็นช่วงที่เธอกำลังจะเข้านอน ก่อนที่ไอยวริญท์จะนอนหลับไปนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้เก็บเช็คที่มีมูลค่าห้าล้านบาท ที่ได้รับมาเป็นค่าตอบแทนในการที่เธอต้องเดินทางไปทำงานที่รัฐอัลบาฮาร์ หญิงสาวจึงเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมยี่ห้อดังมาที่เตียงและลงมือค้นหาเช็คใบดังกล่าว ฉับพลันสายตาของเธอก็พบเห็นสิ่งของแปลกปลอมบางอย่างทำให้เธอต้องหยิบมันขึ้นมาดู และก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างลืมตัวเมื่อเห็นของชิ้นนั้นอย่างชัดเจน
“สวยจัง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นอัญมณีชิ้นไหนสวยเท่าชิ้นนี้มาก่อนเลย”
ไอยวริญท์ยกอัญมณีดังกล่าวขึ้นมาส่องกับแสงไฟในห้องนอน บุษราคัมเม็ดใหญ่น้ำงามชิ้นนั้นส่องประกายแวววาววิบวับสวยงามจนไม่อาจที่จะละสายตา ของสิ่งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเธอได้ไม่น้อยถึงที่มาของอัญมณีล้ำค่าชิ้นนี้
แต่ผู้หญิงกับอัญมณีมักเป็นของคู่กันเสมอ และไอยวริญท์เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบและสะสมเครื่องประดับ เธอจึงรู้ว่าบุษราคัมชิ้นนี้เป็นของเก่าแก่โบราณล้ำค่า หลังจากที่ชื่นชมความงามของอัญมณีชิ้นนั้นอยู่สักพักก็พยายามนึกถึงที่มาของสิ่งของล้ำค่าในมือ
“แปลกจังของชิ้นนี้มาอยู่กับเราได้ยังไง ใครกันนะที่เป็นเจ้าของบุษราคัมชิ้นนี้”
แต่เมื่อคิดไม่ตกว่าเธอได้ของชิ้นนี้มาได้อย่างไร หญิงสาวก็ตัดสินใจเก็บอัญมณีนั้นไว้ในกระเป๋าตามเดิม พร้อมกับคิดว่าจะต้องนำบุษราคัมชิ้นนี้ไปให้เพื่อนสนิทที่เปิดร้านขายของโบราณล้ำค่าหายากดู เผื่อจะได้เบาะแสหรือข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเจ้าของสิ่งนี้
สองวันต่อมาไอยวริญท์ไปทำสปาก่อนจะแวะไปหาหารุ่งฉัตรตามที่ได้ตั้งใจไว้พร้อมกับของสำคัญชิ้นนั้น เมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้านขายของโบราณล้ำค่าหายากของเพื่อนสาว ก็พบรุ่งฉัตรนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ภายในร้าน หญิงสาวเงยหน้าจากกองเอกสารตรงหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงของโมบายที่แขวนไว้หน้าร้านดังขึ้น เธอเอ่ยทักผู้มาเยือนพร้อมรอยยิ้ม
“ไอซ์กลับมาตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อสองวันก่อน” ไอยวริญท์ตอบพร้อมกับเดินไปนั่งตรงหน้าโต๊ะทำงานของเพื่อน
“ไปทำงานที่อัลบาฮาร์มาเป็นไงบ้าง”
“จะเป็นยังไงก็ร้อนน่ะสิแดดก็แรงกว่าบ้านเราไม่รู้กี่เท่า ฉัตรรู้ไหมว่าไอซ์ต้องไปถ่ายแบบท่ามกลางทะเลทรายที่มีอุณหภูมิสูงถึงสี่สิบกว่าองศา”
“แต่อย่างน้อยไอซ์ก็ได้ประสบการณ์แปลกใหม่กลับมาใช่ไหม”
“ก็งั้นๆ แหละ วันนี้ฉัตรเฝ้าร้านคนเดียวเหรอคุณปู่ไปไหนล่ะ”
“ปู่เพิ่งจะออกไปตรวจร่างกายประจำปีที่โรงพยาบาลเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เองกว่าจะกลับมาก็คงจะเป็นช่วงเย็น ไอซ์มีธุระอะไรกับปู่ของฉัตรหรือเปล่า”
“ไอซ์มีของบางอย่างอยากจะให้ปู่ของฉัตรดู” ไอยวริญท์พูดพร้อมกับหยิบของสิ่งนั้นยื่นส่งให้รุ่งฉัตร
“ของสิ่งนี้น่ะเหรอ”
“ใช่ไอซ์อยากรู้ประวัติหรือความเป็นมาของมัน”
“สวยมากเลยนะว่าแต่ไอซ์ไปได้ของสิ่งนี้มาจากที่ไหน”
“อัลบาฮาร์ แต่ฉัตรอย่าถามนะว่าไอซ์ได้มันมายังไง เพราะไอซ์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าของสิ่งนี้มันมาอยู่ในกระเป๋าของไอซ์ได้ยังไง ไอซ์รู้แต่ว่ามันเป็นของเก่าแก่ที่สวยงามและยากที่จะประเมินค่าของมัน ก็เลยอยากจะรู้ประวัติความเป็นมาเผื่อจะได้นำมันกลับไปคืนเจ้าของเดิม ไอซ์นำมาให้ปู่ของฉัตรดูเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง”
“ไอซ์จะตามหาเจ้าของเพื่อนำมันกลับไปคืนเขาอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ ป่านนี้เจ้าของคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้วล่ะที่รู้ว่าอัญมณีชิ้นสำคัญนี้หายไป”
“แล้วไอซ์ไม่เสียดายเหรอ”
“ก็เสียดายเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ของของไอซ์ ถ้าเป็นไปได้ไอซ์ก็อยากจะนำมันกลับไปคืนเจ้าของเดิม”
หลังจากรุ่งฉัตรพิจารณาอัญมณีชิ้นนั้นอย่างละเอียดเธอก็พูดชื่นชมความงามของมัน
“บุษราคัมชิ้นนี้สวยมากเลยนะไอซ์ ฉัตรเห็นอัญมณีเก่าแก่มีค่าหายากมาก็มากมาย แต่ไม่มีชิ้นไหนจะงามเท่าบุษราคัมชิ้นนี้”
“ใช่น้ำงามมากเลยล่ะ ฉัตรนี่ก็ตาถึงเหมือนกันนะ”
“ทำไมฉัตรถึงรู้สึกคุ้นตากับอัญมณีชิ้นนี้จัง”
“พูดจริงหรือเปล่า...เป็นไปได้ไหมว่าฉัตรเคยเห็นมันจากที่ไหนซักแห่ง ไอซ์กำลังอยากรู้ประวัติความเป็นมาของมันอยู่เลย”
“เดี๋ยวนะขอฉัตรนึกก่อนบางทีฉัตรอาจจะเคยเห็นจากในบันทึกของปู่”
“ลองหาดูได้ไหม”
“ได้สิไอซ์รอเดี๋ยวนะ”
รุ่งฉัตรหายเข้าไปด้านในนานพอควรก่อนจะออกมาพร้อมกับสมุดเล่มหนาที่ดูเก่าแก่
“ไม่รู้ว่าจะใช่ของสิ่งเดียวกันไหมนะ ฉัตรไปเปิดบันทึกของปู่ดูก็เห็นรูปของสร้อยเส้นนี้ รูปร่างของอัญมณีมันคล้ายกับบุษราคัมที่ไอซ์ได้มาเพียงแต่มันคนละสี”
“หมายความว่ายังไงขอไอซ์ดูภาพหน่อยสิ”
รุ่งฉัตรเปิดรูปดังกล่าวให้ไอยวริญท์ดู พร้อมกับอธิบายถึงที่มาของสร้อยเส้นนี้ให้หญิงสาวฟัง
“นี่คือสร้อยเพชรแห่งอัลราจีที่ 4 ปู่ของฉัตรจดบันทึกไว้เพียงสั้นๆ ตามตำนานเล่าขานถึงสร้อยเพชรเส้นนี้ว่ากษัตริย์อัลราจีที่ 4 ทรงจัดทำขึ้นเพื่อมอบให้แก่พระมเหสีอันเป็นที่รัก โดยได้มอบหมายให้นักบวชในสมัยนั้นอัญเชิญเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้คนในแคว้นเชื่อว่าจะปกป้องคุ้มครองให้ประเทศสงบสุข และมีความอุดมสมบูรณ์ตลอดไปมาสถิตย์อยู่ในสร้อยเพชรเส้นนี้ เพื่อดลบันดาลให้ประเทศสงบสุขและอุดมสมบูรณ์สืบไป”
“แต่ในภาพนี้อัญมณีมันเป็นสีฟ้าใสนี่”
“ใช่ฉัตรถึงบอกว่าไม่แน่ใจไงว่ามันจะใช่อัญมณีเดียวกันกับที่ไอซ์ได้มาโดยบังเอิญไหม เพียงแต่ฉัตรเห็นว่ารูปทรงของอัญมณีในรูปนี้กับอัญมณีที่ไอซ์ได้มานั้นมันเหมือนกัน”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอัลบาฮาร์”
“จากบันทึกของปู่ดูเหมือนว่าสร้อยเพชรแห่งอัลราจีที่ 4 จะเป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานชาวอัลบาเรียจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน จะว่าไปแล้วอัลบาฮาร์ก็เป็นรัฐที่ตั้งอยู่ในสาธารณรัฐอัลบาเรียนะ เป็นไปได้ไหมว่านี่คือมรดกที่ตกทอดกันมา น่าเสียดายที่วันนี้ปู่ไม่อยู่บ้านถ้าปู่อยู่เราอาจจะได้ข้อมูลอะไรมากกว่านี้”
“นั่นสินะถ้าปู่ของฉัตรได้ดูบุษราคัมชิ้นนี้ บางทีเราอาจจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมากกว่านี้”
“เอาไงดีหรือว่าไอซ์จะรอปู่ของฉัตรกลับมาจากโรงพยาบาล”
ไอยวริญท์ยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรก็มีลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน รุ่งฉัตรจึงคืนอัญมณีชิ้นนั้นให้เพื่อนก่อนจะเดินไปต้อนรับลูกค้าคนดังกล่าว