22. จำใจแยกย้าย
“กระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็กำลังจะทูลเตือนเจ้าหญิงอยู่เช่นกันว่าไม่ให้ปีนออกมาหากระหม่อมอีก”
“ฉันรู้..ขืนฉันปีนออกไปหาเธอช่วงนี้ ก็ต้องถูกจับได้น่ะสิ ท่านแม่กับพี่ชายส่งคนไปเฝ้าแถวนั้นแล้วด้วย ต่อไปนี้ฉันคงกระดิกไปไหนไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่จะเปิดหน้าต่างไปมองหาเธอก็คงจะไม่ได้ด้วย”
“เรื่องนั้นคงไม่น่ากังวลใจเท่ากับเรื่องสืบหาตัวคนร้ายหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เมห์ดิบอกอย่างไม่สบายใจ
“ไม่เห็นจะมีอะไรน่าหนักใจนี่นา..ในเมื่อคนร้ายที่ทุกคนเข้าใจนั้นเป็นตัวฉันเอง จะไปสืบหาให้มันยุ่งยากทำไม เธอก็ทำเฉย ๆ ไปซะก็สิ้นเรื่อง”
เจ้าหญิงไลล่าห์ไม่ทรงคิดว่าเป็นปัญหาในเรื่องนี้เลย ตรงข้ามกับเมห์ดิที่ยังมีสีหน้ากังวล
“แต่หากไม่มีความคืบหน้าเรื่องนี้..กระหม่อมในฐานะที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าในการตามสืบคนร้ายก็จะถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานได้”
เมห์ดิบอกถึงความยุ่งยากใจที่จะต้องทูลรายงานเรื่องนี้ให้พระมเหสีชาห์ล่า และเจ้าชายฮาเฟห์ ได้ทรงทราบ
“โถ..เมห์ดิอย่าทำหน้าอย่างนี้สิ..”
เจ้าหญิงทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปจับใบหน้าของเมห์ดิเป็นเชิงหยอกล้อ
“อย่าพ่ะย่ะค่ะ..เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
เมห์ดิเตือนพร้อมกับถอยหลังออกไปให้ห่างจากเจ้าหญิงเล็กน้อย
“ไม่มีใครอยู่แถวนี้หรอก..อย่ากลัวไปหน่อยเลย ถ้าใครจะเข้ามาก็ต้องได้ยินเสียงเคาะประตูก่อน และฉันจะต้องเอ่ยปาก อนุญาตเสียก่อน” เจ้าหญิงตรัสเพื่อให้อีกฝ่ายได้สบายใจ
“แล้วคนรับใช้ส่วนตัวของเจ้าหญิงที่อยู่หน้าประตู”
“ตอนนี้ฉันใช้เขาออกไปซื้อของจ๊ะ..กว่าจะกลับอีกเป็นชั่วโมง” เจ้าหญิงตรัสบอกด้วยสีพระพักตร์สดชื่น
“แต่..”
“เมห์ดิ..เธอทำท่าห่างเหินรังเกียจฉันแบบนี้ฉันไม่สบายใจเลยนะ”
เจ้าหญิงทรงแกล้งงอนแบบคนน้อยใจ เมห์ดิรีบเดินเข้าไปโอบกอดเจ้าหญิงจากทางด้านหลังทันทีพร้อมกับยื่นหน้าไปหอมแก้มเบา ๆ เป็นการเอาใจ เจ้าหญิงทรงแอบซ่อนยิ้ม
“กระหม่อมน่ะหรือจะรังเกียจยอดรักของกระหม่อมคนนี้ มีแต่จะอดใจไม่ไหวเวลาที่อยู่ใกล้ชิดมากกว่า”
เมห์ดิกระซิบคำหวานที่ข้างพระกรรณของเจ้าหญิง
“ฉันรักเธอมากนะเมห์ดิ..“
เจ้าหญิงตรัสบอกเสียงอ่อนหวาน พร้อมหลับพระเนตรพริ้ม ทรงปรารถนาที่จะได้รับไออุ่นจากคนรักเช่นนี้ไปให้นานแสนนาน
“กระหม่อมก็รักเจ้าหญิงมากเช่นกัน แต่เราจะอยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้ตามลำพังสองต่อสองมันเสี่ยงที่คนจะเห็น”
เมห์ดิเตือนอย่างหวาดหวั่น
“ไม่ต้องห่วง ฉันสั่งไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในห้องนี้”
“แต่กระหม่อมก็คงอยู่นานกว่านี้ไม่ได้ เดี๋ยวจะมีคนสงสัย และเจ้าหญิงต้องไม่ลืมว่าเจ้าชายฮาเฟห์กำลังรอกระหม่อมอยู่”
“ฉันไม่ลืมหรอก..ฉันก็แค่อยากจะมีเวลาอยู่กับเธอสองต่อสองสักครู่เท่านั้นเอง เพราะต่อไปก็คงจะหาโอกาสยากขึ้น”
“เอาไว้ให้เรื่องราวคลี่คลายก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ แล้วเราค่อยนัดพบกันอีก แต่ช่วงนี้คงต้องเว้นระยะไปก่อนจนกว่าจะรายงานเรื่องคนร้ายให้พระมเหสีทรงทราบก่อน”
เมห์ดิบอกพร้อมกับเกยคางลงบนเศียรของเจ้าหญิง เขาสูดดมความหอมของเกศาเจ้าหญิงด้วยสีหน้ามีความสุข ก่อนจะคลายอ้อมแขนออกแล้วจับไหล่เจ้าหญิงให้หมุนมาด้านหน้า ทั้งคู่ประสานสายตาแสดงความรักต่อกัน
“เมห์ดิ..เธอกังวลเรื่องสืบหาคนร้ายใช่ไหม” เจ้าหญิงทรงเอ่ยถาม
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“เอาอย่างนี้นะ..เธอไปสืบดูว่านอกจากอาวีฟแล้วมีใครบ้างที่เห็นคนร้ายในคืนนั้น แล้วมาบอกฉัน”
“เจ้าหญิงจะทรงทำอะไรกับคนที่เห็นหรือ”
“ไม่ต้องตกใจ..ฉันไม่ทำร้ายเขาหรอก ฉันก็แค่จะซักถามเขาและทำให้เขาเข้าใจเสียใหม่ว่าคืนนั้นเขาตาฝาด”
“มันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากมิไม่ใช่หรือ ฉันจะให้รางวัลสำหรับการตาฝาดของเขาด้วย”
“เขาจะไม่สงสัยเจ้าหญิงหรือ”
“สงสัยก็สงสัยไปสิ..ฉันแค่ต้องการให้เขาพูดตามที่ฉันต้องการเพื่อให้เรื่องสืบหาคนร้ายนี้ยุติเสียที ถ้าเรื่องนี้ยุติเร็วเท่าไหร่ เราก็จะได้ไปพบกันเหมือนเดิมไงล่ะ”
“งั้นก็แล้วแต่เจ้าหญิงเถอะ..ตอนนี้กระหม่อมคงต้องขอตัวแล้วล่ะ ถ้าไปช้า เจ้าชายฮาเฟห์อาจจะสังสัยได้”
“ไปเถอะ..แล้วฉันจะหาโอกาสพบเธอแบบนี้อีก”
เมห์ดิยื่นหน้าไปหอมพระปรางเจ้าหญิงแล้วก็รีบออกไปจากห้องทันที เจ้าหญิงทรงถอนหายใจด้วยความทุกข์ระทมที่จะไม่ได้พบกับชายคนรักเหมือนที่เคยแอบนัดพบกัน แต่ถึงอย่างไรเจ้าหญิงก็จะต้องหาทางพบกับเมห์ดิอย่างที่เคยทำให้ได้
