13. เตรียมใจเลือกคู่
“พ่อกับแม่ปรึกษากันแล้วที่จะจัดพิธีเลือกคู่ให้กับเจ้า”
“อะไรนะท่านแม่..นี่ท่านแม่จะ..จะให้ลูกแต่งงานหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายแทบจะตะโกนออกมาด้วยความตกพระทัย ไม่คิดว่าตนเองจะมีสภาพเหมือนเจ้าชายอัสเซนที่กำลังจะถูกคลุมถุงชน อุตส่าห์ดีใจว่าพระบิดาพระมารดาไม่ได้เคี่ยวเข็ญเรื่องคู่ครองกับพระองค์ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่รอดอยู่ดี
“แหม..ดูทำหน้าเข้าสิ พ่อแม่จะหาเมียให้ แทนที่จะดีใจกลับทำหน้ายังกะถูกผีหลอก”
พระมารดาทรงกระเซ้าพระโอรส
“ก็..ลูกยังไม่พร้อมที่จะมีเมียนี่พ่ะย่ะค่ะท่านแม่” เจ้าชายตรัสอย่างห่อเหี่ยวพระทัย
“ปีนี้ลูก 25 ปีแล้วนะ สมควรที่จะมีครอบครัวได้แล้ว”
“ทีเจ้าชายอัสเซนอายุ 27 ปีแล้ว ก็เพิ่งจะจัดให้มีพิธีเลือกคู่เลย ยังไงท่านแม่ก็รอให้ลูกมีอายุ 27 ปีเท่ากับพี่อัสเซนก่อนสิพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายรีบทูลขอผัดผ่อนทันทีด้วยการอ้างเจ้าชายอัสเซนพระญาติสนิทขึ้นมาช่วย
“เจ้าชายอัสเซนเพิ่งเรียนจบปริญญาโทกลับมาจากต่างประเทศ จึงเพิ่งจะให้เลือกคู่ ส่วนลูกเรียนจบมาได้เป็นปีแล้ว”
“งั้นลูกจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษอีกสักสองปีก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายรีบทรงหาทางหลบเลี่ยงเอาไว้ก่อน
“ได้..แต่ต้องหลังจากแต่งงานเสียก่อนแล้วค่อยไปอังกฤษ ให้พาเมียไปเรียนด้วยกัน”
“โธ่..ท่านแม่..แบบนี้มัดมือชกกันนี่นา..”
“ถ้าแม่ไม่ทำแบบนี้ลูกก็ไม่กระตือรือร้นน่ะสิ จนป่านนี้แล้วยังไม่จีบใครเป็นเรื่องเป็นราวอีก อย่างเจ้าหญิงนูรีนนั่นก็เหมือนกัน แม่อุตส่าห์บอกให้ลูกหาทางไปเยี่ยมเยียนบ่อย ๆ ลูกก็ติโน่นตินี่ จนตอนนี้ นูรีนก็กำลังมีข่าวว่าถูกคัดเลือกให้เป็นชายาของเจ้าชายอัสเซนเสียแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่ให้พี่นูรีนแต่งงานกับเจ้าชายอัสเซนไปเลยล่ะเพคะท่านแม่”
เจ้าหญิงทรงได้โอกาสรีบสนับสนุนทันทีเผื่อว่าพระองค์จะได้ไม่ต้องเป็นหนึ่งในตัวเลือกเป็นชายาของเจ้าชายอัสเซนนั่นเอง
“ท่านลุงซาบาห์ของลูกปรารถนาที่จะให้ลูกหญิงของแม่เป็นสะใภ้มากกว่า ส่วนนูรีนนั้นเหมาะที่จะเป็นชายาของฮาเฟห์มากกว่า”
“ท่านแม่..แต่..ลูกไม่ได้รักนูรีนพ่ะย่ะค่ะ ลูกยังไม่อยากแต่งงาน” เจ้าชายฮาเฟห์รีบทูลเสียงดัง
“ลูกก็เช่นกันเพคะ ลูกไม่ได้รักเจ้าชายอัสเซน ลูกจะไม่แต่งงานกับคนที่ไม่รักเด็ดขาด” เจ้าหญิงนูรีนรีบทูลบ้าง
“ฟังแม่นะ ฮาเฟห์..ไลล่าห์..ตอนที่แม่ถูกคัดเลือกให้เป็นชายาของท่านพ่อ แม่ก็ไม่ได้รักท่านพ่อของพวกเจ้าเช่นกัน พ่อกับแม่แต่งงานกันด้วยความเหมาะสมของวงศ์ตระกูลเป็นการแต่งงานตามราชประเพณีปฏิบัติที่สืบต่อกันมาเป็นร้อยปีแล้ว แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันแล้วเราก็รัก และเข้าใจกันไปเอง ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก แม่รับรองว่าหลังจากที่ลูกได้แต่งงานกับคนที่เหมาะสมแล้วลูกก็จะรักกันไปเอง”
พระมเหสีชาห์ล่าทรงเล่าประทานให้พระโอรสธิดาได้คลายกังวลเรื่องนี้
“เป็นไปไม่ได้หรอกเพคะ ลูกไม่มีวันที่จะรักใคร เอ้อ..รัก..เจ้าชายอัสเซนได้”
เจ้าหญิงไลล่าห์รีบทูลอย่างมั่นพระทัย
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ อัสเซนเป็นเจ้าชายรูปงามมีเสน่ห์สำหรับสาว ๆ อยู่แล้ว ลูกทำใจให้รักเขาไม่ยากหรอกจ๊ะ เชื่อแม่สิจ๊ะลูกหญิง”
พระมารดายื่นพระหัตถ์ไปกุมพระหัตถ์ของพระธิดาอย่างปลอบโยน
“แต่ลูกมี..เอ้อ..”
เจ้าหญิงเกือบจะเผลอบอกไปแล้วไหมล่ะว่าพระองค์ทรงมีคนรักแล้ว ถ้าเกิดบอกไปคงเกิดเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน คนที่จะเดือดร้อนก็คือเมห์ดิเป็นแน่แท้ เขาอาจจะถูกสั่งโบยก็ได้ เจ้าหญิงจะไม่มีวันทำให้คนที่รักเดือดร้อนอย่างเด็ดขาด
“หญิงไลล่าห์มีอะไรหรือลูก”
พระมารดาทรงจ้องพระเนตรตรัสถาม
“มี..เอ้อ..ไม่มีเพคะ”
เจ้าหญิงรีบตรัสตอบด้วยความอึกอัก
“ไม่มีก็ดีแล้ว พ่อกับแม่จะได้เดินหน้าจัดการให้ลูกได้แต่งงานกับอัสเซนเสียที”
“ไม่นะ..ท่านแม่ได้โปรด อย่าให้ลูกต้องแต่งงานกับเจ้าชายอัสเซนเลย..ลูกขอร้อง”
เจ้าหญิงทรงอ้อนวอนทั้งน้ำเสียงและแววพระเนตรจนทำให้พระมารดาแปลกพระทัย
“นี่ลูกกลัวการแต่งงานถึงขนาดนี้เลยหรือไลล่าห์ ดูสิหน้าซีดตัวสั่นเชียว”
พระมเหสีชาห์ล่าทรงพระสรวลด้วยความขบขันแกมแปลกพระทัยที่ได้เห็นกิริยาท่าทางของพระธิดาคนสวย
“ปละ..เปล่าเพคะลูกไม่ได้กลัว แต่..ลูกว่ามันไม่แฟร์สำหรับ..คนอื่น” เจ้าหญิงรีบตรัสแก้
“คนอื่น? ลูกหมายถึงใคร”
