บทที่ 5
“ท่านหมอพอจะเล่าเรื่องอาการป่วยของท่านแม่ให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ ข้าจำได้แม่นเลยล่ะนะว่าวันนั้นมีบ่าวมาเรียกข้าไปทำคลอดให้ฮูหยินสกุลหยาง รู้สึกว่าจะชื่ออานฉีเนี่ยแหละนะ
แต่พอฮูหยินตายข้าก็เจอนางครั้งนึงนางบอกข้าว่านางอยู่ไม่ได้ ข้าก็เลยให้เงินนางไป แต่ตั้งแต่นั้นข้าไม่ได้เจอนางอีกเลย”
หมอโจวเฟิงใบหน้าหมองลงเมื่อนึกถึงอานฉีบ่าวที่ตนเคยช่วยเหลือไว้ แต่ตอนนี้ไม่รู้ชะตากรรมนางเลยแม้แต่น้อย
ด้านเหลียงอิ๋งอิ๋งที่ได้ยินเรื่องจากหมอโจวเฟิงก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ นี่มันท่านอาของนางมิใช่หรือไง
“แล้วตอนนั้นท่านแม่มีอาการผิดปกติอะไรไหมเจ้าคะ เพราะข้าเองก็รู้มาว่านางเป็นคนแข็งแรง แต่ข้าก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมนางถึงจากข้าไป”
“ใช่ นางเป็นคนแข็งแรงเจ้าเข้าใจไม่ผิดไปหรอกแต่วันนั้นวันที่ฮูหยินคลอดเจ้าออกมา นางกลับเกิดตกเลือดขึ้นมาเลือดไหลไม่หยุด พอข้าจะขอตรวจหาสาเหตุพ่อของเจ้ากับอนุจ้าวกลับไม่ยอม ข้าเลยทำอะไรไม่ได้ ข้าขอโทษด้วยนะที่ช่วยฮูหยินหยางไว้ไม่ได้”
โจวเฟิงสีหน้าสลดลงไปอีกกล่าวขอโทษกับหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิด เพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้เขาโทษตัวเอง และเลือกที่จะไม่เป็นหมอตำแยทำคลอดอีกต่อไป
หยางอิงฮวายิ่งได้ฟังก็ยิ่งนึกสงสัยหลายอย่างในเรื่องนี้ค่อนข้างจะผิดปกติ นางจึงนั่งฟังเพื่อเก็บข้อมูลจากสิ่งที่หมอ
โจวเฟิงเล่าอยู่เงียบ ๆ ก่อนที่จะบอกลาแยกย้ายกันไป
ระหว่างทางเดินกลับบ้านหยางอิงฮวาหน้านิ่งเดินครุ่นคิดถึงแต่เรื่องมารดาของตนจนเหลียงอิ๋งอิ๋งเองก็อดเป็นห่วงไม่ได้
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงที่บ้านตระกูลหยาง อิงฮวาก็เดินตรงกลับเข้าเรือนของตนซึ่งแต่เดิมเป็นเรือนของท่านแม่หลิวเจี้ยนหลิงทันที ไม่สนใจจะไปร่วมวงมื้อเย็นกับหยางหลิงเซ่อผู้เป็นบิดาและจ้าวเซิ่งเหม่ย หรือเข้าไปทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองแม้แต่น้อย
“เหอะ เจ้าดูเจ้าเด็กอวดดีนั่นสิ ทักทายสักคำก็ไม่มีคงไม่คิดจะมากินข้าวกับพ่อตัวเองสักมื้อเลยมั้ง”
หยางหลิงเซ่อบ่นออกมาเมื่อเหลือบไปเห็นว่าบุตรสาวเดินเชิ่ดหน้า ผ่านหน้าประตูห้องกินข้าวไปด้วยความไม่พอใจ
จ้าวเซิ่งเหม่ยเห็นผู้เป็นสามีที่แก่กว่าตนนับสิบปี เริ่มจะอารมณ์ขุ่นมัวก็รีบใช้ตะเกียบคีบกับข้าวตรงหน้ามาพะเน้าพะนอป้อนอีกฝ่ายเพื่อเอาใจ
“โถ่ อย่าถือสานางเลยเจ้าค่ะท่านพี่ นางยังเด็กนักเดี๋ยวน้องจะช่วยพูดกับนางให้เองเจ้าค่ะ ท่านพี่กินข้าวดีกว่านะเจ้าคะ เดี๋ยววันนี้ท่านพี่มีนัดกับพี่จื่อหานนี่นา”
“ฮ่า ๆ นั่นสินะ มา ๆ อนุจ้าวกินข้าวกัน เจ้านี่ช่างรู้ใจข้าเสียจริง”
แค่เพียงอนุจ้าวหยอดคำหวาน ใบหน้าบูดบึ้งของหยางหลิงเซ่อก็พลันหายวับแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มชอบอกชอบใจได้ในพริบตา
“หึ ตาแก่”
แม้ภายนอกจะยิ้มแย้มพูดกับสามีเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ในใจจ้าวเซิ่งเหม่ยกลับไม่เป็นอย่างนั้น
“วันนี้คุณหนูกินข้าวนิดเดียวเองนะเจ้าคะ”
เหลียงอิ๋งอิ๋งท้วงผู้เป็นนายขึ้นมาเสียงเบาด้วยความเป็นห่วง หลังจากเดินเข้ามาเก็บสำรับแล้วเห็นว่าแต่ละอย่างนั้นแทบไม่พร่องลงเลยสักนิด
“ข้าไม่ค่อยหิวน่ะอิ๋งอิ๋ง เจ้าก็รู้ว่าพอคิดเรื่องท่านแม่ขึ้นมาทีไรข้าก็พาลกินอะไรไม่ลงทุกที”
“โถ่ คุณหนูของบ่าว”
สีหน้าของหยางอิงฮวาเรียบนิ่ง ดวงตากลมโตฉายแววกลัดกลุ้มไม่น้อย ด้วยนางนั้นต้องเติบใหญ่มากับคำครหาที่ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้มารดาต้องตาย เรื่องนี้จึงถือได้ว่าเป็นปมใหญ่สำหรับนางตลอดมาเลยก็ว่าได้
คำพูดของผู้เป็นบิดาก็ยังคงดังก้องอยู่ในใจของหยางอิงฮวาอยู่เสมอ
“เพราะแกไงเจี้ยนหลิงถึงได้จากข้าไป ถ้าแกไม่เกิดมาสักคน เจี้ยนหลิงก็คงจะยังอยู่กับข้า”