ตอนที่ 6 สตรีชุดแดง1
เมื่อประธานผู้สูงศักดิ์ในพิธีนั่งลงโดยมิเอ่ยวาจา ขันทีเจ้าพิธีการในวันนี้จึงส่งเสียงประกาศออกมาอีกครั้ง
“เริ่มการประชันฝีมือได้”
พิธีประชันฝีมือเริ่มต้นขึ้นและดำเนินไป มีทั้งชงชา คัดเลือกใบชา คัดอักษร แต่งกลอน ร่ายรำ บรรเลงพิณ ศิษย์สำนักชิ่นหลันล้วนโอ้อวดฝีมืออย่างเต็มที่ไม่ตระหนี่ทั้งสิ้น
ทว่าผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกเพียงหนึ่งเดียวทำแค่นั่งนิ่งเสมือนไร้ตัวตนไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์
แววตาของชายหนุ่มเย็นชา ใบหน้าเย่อหยิ่งยังคงเรียบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ใด ไม่สนใจมองการประชันเลย เพราะในห้วงภวังค์ ยังคงครุ่นคิดถึงใครบางคนมิคลาย หลายคราใบหน้าหล่อเหลาของเขาฉายแววเศร้าอย่างลึกล้ำ
จ้าวหมิงอวี่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะกลายเป็นบุรุษช้ำรัก เขาเป็นถึงองค์ชายที่เกิดจากพระสนมเต๋อกุ้ยเฟยผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นอดีตหญิงในดวงใจของจักรพรรดิจ้าว ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ล้วนมีแต่ผู้คนรุมล้อมมอบความรักใคร่
มีเพียงนางที่ต่างไป...
ฟ่านเจิน ที่ติดตามอยู่ด้านหลังแอบมองอยู่จึงเห็นอากัปกิริยาทุกอย่างของผู้เป็นนาย แน่นอนนางรู้ทุกสิ่งว่าหนึ่งปีก่อนเกิดอันใดขึ้นกับเจ้านายบ้าง
และผลพวงของมันคืออันใด? ร้ายแรงแค่ไหน!
เคยเป็นถึงนักรบฉายาเทพสงคราม เคยกร้าวแกร่งสง่างามกลางสมรภูมิรบมาตลอด แต่ต้องกลายเป็นเช่นนี้
ถูกทำลายวรยุทธจากแดนเถื่อนกระทั่งถูกจักรพรรดิเรียกตัวกลับเข้าวังหลวงเพื่อร่ำเรียนสายบุ๋นห้ามต่อสู้อีก ตอนนี้ยังถูกกักบริเวณอย่างไม่มีกำหนด นี่ไม่ต่างอันใดกับพญาอินทรีถูกจับขังกรงเลยสักนิด
เพราะนางมารไร้หัวใจผู้นั้นคนเดียว ฮือ...
คิดพลางลอบชำเลืองมองเรียวขายาวๆ ที่ทรงพลังข้างขวาของเจ้านาย ขาข้างนี้เคยดูดีมีชาติตระกูลสูงศักดิ์และไร้ตำหนิมิเคยด่างพร้อย น้ำตาพลันปริ่มๆขอบตา ฟ่านเจินรีบปาดออกไป ดึงชายเสื้อของพี่ชายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ มาเพื่อเช็ดน้ำมูกเร็วๆ ปราดหนึ่ง
ฟ่านเจิ้งเบิกตา “จ่ะ เจ้า” ชายหนุ่มกำหมัดแน่น นึกอยากผลักหัวน้องสาวให้คอหักยิ่งนัก น่าเสียดายตอนนี้ต้องยืนนิ่งๆ ทำหน้าที่องครักษ์ก่อน
ฟ่านเจินเร่งปรับอารมณ์ของตนให้คงที่ ยอบกายกระซิบถาม “องค์ชายสี่ มีผู้ใดเข้าตาบ้างหรือยังเพคะ?”
เผื่อเจอสตรีคนใหม่ที่ถูกพระทัยจะได้ลืมสตรีคนเก่าที่ร้ายกาจผู้นั้น ประโยคหลังฟ่านเจินเพียงคิดในใจ
ฟ่านเจิ้งถามอีกคน “องค์ชาย กลุ่มนั้นฝีมือดีเยี่ยม ใช้ได้เลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองเป็นพี่น้องคู่แฝดที่ติดตามองค์ชายสี่มาแต่ไร เรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันเติบโตมาด้วยกัน จึงมีสิทธิ์ถามไถ่และช่วยตัดสินใจในทุกเรื่องราว
ส่วนสตรีที่ฟ่านเจิ้งรู้สึกชอบใจคิดว่าเข้าทีคือว่านลู่ชิง นางทั้งงดงามหยาดเยิ้มและมีฝีมือไร้ที่ติยิ่ง
สงสัยจะตั้งใจร่ำเรียนมากมิได้สนใจบุรุษเท่าใด
เขาว่าอย่างตื่นเต้นพร้อมส่งเสริมเต็มที่ “องค์ชายสี่ สตรีชุดสีชมพูผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหมิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นคราหนึ่ง ยังคงมิเอ่ยวาจาใด ทว่าหางตาพลันเหลือบไปเห็นสตรีผู้หนึ่งโดยบังเอิญ
สาวน้อยชุดแดงปานเพลิงที่จ้องเขม็งมาที่เขาคล้ายมีเรื่องราวมากมายในใจผุดขึ้นในแววตาจนฉายชัดทางสีหน้า
และเมื่อตาสบตาโดยไม่ตั้งใจ
คราวนี้บุรุษหน้านิ่งเริ่มมีปฏิกิริยา คิ้วขมวดเล็กน้อย จ้าวหมิงอวี่แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักสตรีผู้นี้มาก่อน แต่สายตานางที่มองเขา ไฉนเหมือนคุ้นเคยกันอย่างประหลาด
ทางฝั่งหลิ่งหลิน
นางกำลังคิดถึงความหลังที่ฝังใจ จึงเผลอจับจ้องจ้าวหมิงอวี่ไม่วางตา ในใจรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างมิอาจห้ามได้ เขาบ้ามากก็จริง แต่นางกลับบ้าระห่ำยิ่งกว่า ถึงขนาดหักขาทำลายวรยุทธเขาจนสาหัสปานนั้น คงแค้นมากกระมัง?
และเมื่อสบตาโดยไม่ตั้งใจ หญิงสาวพลันรู้สึกชาวาบ ตะลึงวูบแล้วรีบหมุนตัวหลบตามสัญชาตญาณของคนที่มี ‘ชนักติดหลัง’ ท่าทีหลบหลีกคล้ายคนร้ายแฝงตัวกระนั้น
จ้าวหมิงอวี่ที่มองอยู่พลันนิ่วหน้าหรี่ตา นางมีพิรุธ!
“ฟ่านเจิน”
“เพคะ”
“นางผู้นั้น” เอ่ยเสียงเย็นพร้อมชี้เป้าทางสายตา
ฟ่านเจินมองตามอย่างไม่พลาดเป้า “สตรีชุดแดง ไร้การปักปิ่นแต่งกายอย่างประณีตบรรจง ท่าทางคงเพียงแต่งกายให้กลมกลืนแต่มิอยากโดดเด่นจนเป็นที่จับสังเกต” วิเคราะห์จบพลันเบิกตากว้าง “หรือว่า...นักฆ่าแฝงตัว!”
นี่มิใช่เรื่องแปลกยิ่งมิใช่ครั้งแรกที่มีศัตรูปลอมตัวมาเพื่อลอบสังหารองค์ชายสี่ ทุกคราพวกมันล้วนเปลี่ยนโฉมปรับแผนการเข้ามาเล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่า
เชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ที่เป็นองค์ชายทั้งเป็นตัวเลือกที่ดีบนเส้นทางแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทนี้ ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงผู้มีจิตคิดคดริษยา ต้องการดึงลงมาให้พ้นเส้นทางเดียวกัน
จ้าวหมิงอวี่เสียงเย็น “ไปสืบมา”
ฟ่านเจินพยักหน้ารับทราบ “รอครู่เดียวเพคะ”
หญิงสาวทำงานปราดเปรียวว่องไวเสมอ เป็นสายข่าวที่รวดเร็วปานสายฟ้า
อาศัยช่วงพักการแข่งขันเพื่อกินข้าวมื้อกลางวันสอบถามสืบทราบได้ไม่ยาก
ไม่นานก็กลับมายังห้องพักผ่อนส่วนพระองค์ที่ทางจวนเหลียนจัดเตรียมไว้อย่างดี ก้มหน้ารายงานอย่างฉะฉาน
“นางมีนามว่าสวีหลิงเยี่ยน นิสัยอ่อนไหวง่ายดายยิ่ง แค่ลมพัดใบไม้ร่วงก็ร้องไห้ได้แล้ว นอกนั้นยังอ่อนแอขี้แพ้ ฉายาตัวไร้ค่าประจำชั้นเรียนเพคะ” ฟ่านเจินนิ่วหน้าว่าต่อ “เปรียบเหมือนของเน่าในอาจมเปื้อนโรคร้าย ไร้ประโยชน์ ไร้ราคา ไม่คู่ควรให้เสียเวลาเข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียว”
ฟ่านเจิ้งขมวดคิ้ว “ประโยคหลังนี่เจ้าคิดเองเรอะ”
ฟ่านเจินส่ายหน้า “ไม่ใช่ข้า เป็นคุณหนูว่านลู่ชิง ข้ามีหน้าที่นำคำพูดจากแหล่งข่าวมารายงานให้ครบเท่านั้น”
“หะ” แฝดผู้พี่ตกใจ “สตรีที่ใส่ชุดสีชมพูที่อ่อนหวานผู้นั้นน่ะรึ”
“ใช่! อ้อ... ข้ายังรู้ว่าว่านลู่ชิงแย่งบุรุษนามฉู่เฉิงจากสวีหลิงเยี่ยนด้วย เรียกว่ารู้ลึกรู้จริง รู้ทุกซอกทุกมุม น้องของพี่เก่งกาจหรือไม่?”