ตอนที่ 6 สตรีชุดแดง2
แน่นอนว่าน้องสาวของเขาเก่งและเชื่อถือได้ที่สุด เพราะเป็นเช่นนั้นฟ่านเจิ้งจึงนึกอยากตบปากตัวเองยิ่งนัก
สตรีที่เขาแนะนำองค์ชาย ไฉนปากคอเราะราย คบหามิได้ปานนั้นเล่า!
ฟ่านเจินไม่สนใจสตรีที่พี่ชายสนใจ “สรุปก็คือ คุณหนูสวีหลิงเยี่ยนเป็นสตรีที่เปราะบางอย่างยิ่งเพคะ”
จ้าวหมิงอวี่วางถ้วยชาลงช้าๆ ปลายนิ้วเรียวยาวไล้ขอบถ้วยชานิ่งๆ ปรายตามองกรุ่นควันร้อนที่ลอยอ้อยอิ่งกลางอากาศอย่างเงียบงัน
“องค์ชาย ทุกคนพูดตรงกันว่านางไม่มีพิษภัย วันนี้ที่แต่งกายสีสันร้อนแรงขัดแย้งกับนิสัยอ่อนแอปวกเปียก คงเพราะต้องการให้โดดเด่นเหมือนผู้อื่นเช่นกัน ทว่ากลับขาดทักษะการประเทืองโฉมที่ดีเท่านั้นเพคะ”
จ้าวหมิงอวี่ซึ่งเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ระดับสูงที่แม้แต่สายพระเนตรซ่อนอารมณ์ขององค์จักรพรรดิยังมองออก มีหรือจะมองสตรีชุดแดงนั่นไม่ออก นางซ่อนคม
ชายหนุ่มเปรยเสียงเรียบ “ข้าไม่รู้สึกเช่นนั้น”
ฟ่านเจินก็คิดเช่นกัน นางพยักหน้าเห็นด้วย
“องค์ชาย หากนางเป็นนักฆ่าแฝงตัวมาจริง แล้วผู้ใดส่งมาหรือเพคะ”
ฟ่านเจิ้งที่ร่วมฟังอยู่ด้วยตีไหล่น้องสาวดังเพียะ
“เจ้าช่างกล้าถาม เคยมือสังหารคนใดเขียนป้ายแปะหน้าผากเอาไว้บ้างเล่าว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง”
“อ้อ จริงด้วย” ฟ่านเจินกะพริบตานิ่วหน้าวิเคราะห์ “แต่ท่าทางของนางคล้ายไม่คิดลงมือวันนี้นะพี่ใหญ่”
“คงเข้ามาดูลาดเลานั่นล่ะ”
“อืม นั่นก็ย่อมใช่”
สองพี่น้องกระซิบกระซาบ ช่วยกันขบคิดเคร่งเครียด
ฟ่านเจินกล่าวกับพี่ชาย “รอนางลงมือแล้วโต้กลับหรือจับนางมารีดเค้นเดี๋ยวนี้ดีล่ะพี่ใหญ่”
ฟ่านเจิ้งส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “พี่คิดว่ามันไม่ได้ผล คงไม่แคล้วชิงฆ่าตัวตาย สุดท้ายเราก็ไม่ได้อะไรเช่นเคย”
“เช่นนี้ มิสู้...” สองพี่น้องว่าพลางหันมองเจ้านายก่อนโพล่งอย่างพร้อมเพรียง “แสร้งเป็นเหยื่อลอบจับเสือ!”
จ้าวหมิงอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาหงส์เหลือบขึ้นมองสองพี่น้องอย่างเนือยๆ แวบหนึ่ง ยังไม่ลงความเห็นใด
ให้องค์ชายเช่นเขาแสร้งเป็นเหยื่อในอุ้งมือสาวน้อยเพื่อล่อเสือออกมาติดกับหรือ? เขาต้องซื่อบื้อปานใด?
ฟ่านเจิ้งนับเป็นกุนซือประจำตัวองค์ชายสี่ตั้งแต่เด็กจึงช่วยวางแผนอย่างจริงจังว่า “เรารับตัวนางไว้ข้างกาย แสร้งทำตัวตามน้ำลอบสืบผู้อยู่เบื้องหลังอย่างแนบเนียน จากนั้นใช้นางเป็นเครื่องมือถอนรากถอนโคนศัตรูพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหมิงอวี่ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เสมองนอกหน้าต่าง เมินเฉยไม่พูดจา นานครู่ใหญ่ค่อยเบือนศีรษะมาตอบรับคำเสนออันโง่เง่านั้นว่า
“ได้...”
ยามเว่ย[1]เป็นการประกาศผลการแข่งขันคัดเลือกสหายร่วมเรียนขององค์ชายสี่
รายนามผู้ได้รับคัดเลือกมีทั้งบุรุษและสตรีหกคน ทุกคนล้วนมีฝีมือที่ดีล้ำเลิศไร้ที่ติไม่ว่าจะเป็นศาสตร์อักษร ศาสตร์ดนตรี บทกวี กาพย์กลอนและร่ายรำ
เสียงขันทีประกาศรายนามดังต่อเนื่องมาถึงคนที่สี่ “คุณชายฉู่เฉิง”
ฉู่เฉิงยกยิ้มมุมปากอย่างหยิ่งผยอง เขาต้องได้อยู่แล้ว ทุกคนพยักหน้ามิได้เห็นต่าง
ขันทีประกาศชื่อคนที่ห้า “คุณหนูว่านลู่ชิง”
ว่านลู่ชิงยิ้มหวาน ลอบช้อนตามององค์ชายสี่บนตำแหน่งประธานอย่างต้องการหว่านเสน่ห์ในท่าทีเต็มที่
ในบรรดาศิษย์ที่ได้รับคัดเลือกมีคนเก่งหลายคนซึ่งไม่น่าแปลกใจอันใด ทุกคนยินดี กระทั่งขันทีประกาศรายนามคนสุดท้าย
“คุณหนูสวีหลิงเยี่ยน”
หา...
ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดด้วยคาดไม่ถึง ไม่เว้นแม้แต่หลิ่งหลินเอง
“เป็นไปได้อย่างไร”
ศิษย์หญิงคนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
“คงใช้เส้นสายกระมัง พี่ชายของนางยังได้ร่วมเรียนกับท่านอ๋องในสำนักศึกษาหลวงนี่” อีกคนบอก
“อ่า...นั่นสินะ” ทุกคนเห็นด้วย พร้อมพากันหันมองมาทางสวีหลิงเยี่ยนเป็นตาเดียวกัน
หลิ่งหลินย่อมรับรู้ได้ถึงสายตาเดียดฉันท์เหล่านั้น แต่นางยังคงเมินเฉย ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะนางเองก็ไม่คิดว่าจะผ่านปะไร เพิ่งฝึกเองนะ
แต่ได้รับคัดเลือกด้วยเหตุผลใดก็ช่างเถอะ
ได้เป็นสหายร่วมเรียนกับองค์ชายสูงศักดิ์มีสิ่งใดไม่ดี คบหาคนมีเงินมีอำนาจ ไม่แน่นางอาจได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ร่ำรวยมหาศาลภายในชั่วข้ามคืน
คิดไปคิดมาหลิ่งหลินพลันตระหนักได้บางสิ่งขึ้นมา
ใช่แล้ว...ตอนนี้นางไร้พันธะ ไม่ได้แต่งงานกับใคร ข้างกายว่างเปล่ากระทั่งคู่หมาย ไม่มีพันธะกับใครทั้งนั้น อยากทำตามใจอันใดก็ย่อมได้แล้ว
อ๊ะ! ไม่ใช่ๆ ต้องคิดเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าสิ
หญิงสาวสลัดความคิดเก่าแล้วคิดใหม่ ใช่! ตอนนั้นนางรู้ว่าเขาเป็นองค์ชายสูงศักดิ์แต่มิรู้ว่าเขามาจากแคว้นใด
หลิ่งหลินเผลอเบิกตากว้างทันที
จ้าวหมิงอวี่! แคว้นต้าอัน!
เขาดั้นด้นกลับมาแคว้นนี้ได้ก็ต้องย้อนกลับไปจนถึงหุบเขาปีศาจได้อีกเช่นกัน
แสงสว่างแห่งความหวังของหลิ่งหลินเริ่มเห็นรำไร
นางเห็นควรต้องพึ่งพาจ้าวหมิงอวี่นำทางกลับบ้าน เพราะความทรงจำเกี่ยวกับหุบเขาปีศาจพร่าเบลอไปหมด ถ้าจำได้ยามนี้คงเร่งเดินทางกลับสำนักไพรีพิฆาตไปนานแล้ว ไฉนต้องมาอยู่ที่เส็งเคร็งแบบนี้ต้องทนทำตัวสงบเสงี่ยมทำไม
[1]ยามเว่ย (未:wèi) คือ 13.00 – 14.59 น.