บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 ลาออก2

ทางฝั่งหลิ่งหลิน

นางไม่สนใจสายตาใคร ใส่ใจเพียงคัดอักษรตรงหน้า สิ่งพวกนี้นางเพิ่งได้เรียนรู้อย่างจริงจัง

ตอนอยู่กับหลิ่งม่อเอาแต่ฝึกวิชาต่อสู้ บ้าเพลงยุทธ เคยบรรจงขีดเขียนทีละตัวอักษรที่ใด

จังหวะนั้น คนสนิทข้างกายอาจารย์ซ่งเดินเข้ามา กระซิบกระซาบกับผู้เป็นนายของเขาว่า “เรียนท่านอาจารย์ ด้านนอกมีคุณหนูสามคนที่เป็นศิษย์ของท่าน เอ่อ...”

เห็นคนของตนอึกอัก ซ่งจวินจึงวางตำราหรี่ตา “คุณหนูสามคนหรือ?” เห็นจะเป็นอวี้ซู ฟู่ชิง กู้ซินกระมัง “พวกนางมีเรื่องใด? ไฉนไม่เข้ามา”

“พวกนางมีสภาพไม่เรียบร้อยเท่าใดจึงไม่กล้าเข้ามา เอาแต่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านนอก บอกแค่ว่าต้องการลาออกจากสำนักศึกษาเดี๋ยวนี้ขอรับ”

“...”

ชั่วยามนี้ คุณหนูทั้งสามถูกรถม้าของสำนักศึกษาส่งตัวกลับจวนของแต่ละคนไปนานแล้ว ทิ้งเอาไว้เพียงเรื่องเล่าอันน่าประหลาดใจ

เห็นว่ามีคนไปเจอพวกนางนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ในป่าไผ่ทางด้านหลังสำนักศึกษา จึงถูกพาตัวกลับมาที่นี่ ครั้นทั้งสามฟื้นคืนสติก็ขอลาออกจากสำนักศึกษาทันที ท่าทีตื่นลนจนน่าขบขัน หวาดหวั่นจนโง่เง่าตลอดเวลา พูดจาก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง คล้ายคนสติฟั่นเฟือนอย่างไรอย่างนั้น

ตอนที่อาจารย์ซ่งไปพบตามคำเชิญในห้องรับรอง คุณหนูสามคนยืนตัวสั่นเกาะกลุ่มกันอยู่ตรงกลางห้องนั้น พวกนางมองซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกได้ว่ากำลังเสียขวัญหวาดกลัวในอะไรบางสิ่งอย่างยิ่ง

สภาพของคุณหนูทั้งสามประหนึ่งเพิ่งเจอสงครามมา คล้ายทหารที่ถูกส่งไปชายแดนให้สู้รบกับข้าศึกแบบพลีชีพ เพราะเสื้อผ้าขาดวิ่น มีเลือดเกรอะกรัง แต่มองไม่เห็นแผล

“ข้าได้ยินพวกนางเอาแต่โวยวายว่าป่าไผ่ด้านหลังสำนักศึกษาของพวกเรา มีปีศาจวายุคลั่ง”

ช่วงพักกินอาหารมื้อกลางวัน ศิษย์คนหนึ่งเล่าแบบปากต่อปากพลางยกนิ้วอันสั่นเทาชี้ไปทางทิศที่มีป่าไผ่นั้น

“โอว...น่ากลัวเหลือเกิน” คนหนึ่งอุทานอย่างตกใจ

อีกคนมีสีหน้าจริงจัง “ต่อไปข้าจะไม่เดินเข้าไปอีก” หลายครั้งเขาชอบหนีเรียนไปแอบหลับบ่อยๆ คงไม่กล้าอีก

“เล่าต่อสิ อาช่าย” อีกคนที่ตั้งใจฟังยิ่งจึงเร่งยิกๆ เขาอยากรู้นักว่าปีศาจวายุคลั่งหน้าตาเป็นเช่นไร ตื่นเต้นๆ

หลายคนที่ยืนบ้างนั่งบ้างตรงโต๊ะหินบริเวณใต้ต้นไม้ข้างชั้นเรียนก็ตื่นเต้นเช่นกัน เรื่องภูตผีปีศาจแม้ไม่เคยเห็น พิสูจน์ไม่เคยได้ว่ามีจริงหรือไม่ ทว่าพวกเขาล้วนแล้วแต่เชื่อ และสำนึกรู้อย่างสนิทใจว่าต้องมีแน่นอน

ช่ายเฝิงจึงเล่าต่อเนื่องประหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ว่า “พวกนางบอกอย่างกล้าๆกลัวๆว่าจู่ๆก็มีลมโหมกรรโชกแรง ต้นไผ่โอนเอนลู่ลมเหมือนมีเงาดำเต้นระบำเต็มไปหมด”

“คงเป็นปีศาจที่สุนทรีสินะ อุตส่าห์ออกมาเต้นรำให้พวกนางได้ดูชม” คนหนึ่งวิเคราะห์ แต่อีกคนเห็นต่าง

“ข้าคิดว่าล่อลวงมากกว่า แล้วอย่างไรต่ออาช่าย”

ช่ายเฝิงทำสีหน้าท่าทางตื่นลนขณะเล่าต่ออีกว่า “จากนั้นก็มีใบมีดเล็กๆบินว่อนไปทั่ว พัดปลิวเต็มไปหมด”

“โอ้”

“พวกเจ้าคิดดู พื้นดินที่ปกคลุมด้วยใบไผ่แห้งจนเต็ม จู่ๆ ก็กลายเป็นใบมีดบางดุจปีกจักจั่นพุ่งจู่โจมเฉือนผิวหนัง โดยเฉพาะที่พวงแก้ม ใบหน้า ใบมีดคมกริบทั้งหมดเหล่านั้น เหมือนจงใจกรีดลงมาให้คนเสียโฉม”

“ไอ่หยา!”

“เช่นนี้ใครจะกล้าออกจากจวนอีกเล่า มิน่าล่ะ คุณหนูทั้งสามจึงเรียกร้องขอลาออกจากสำนักศึกษาอยู่นั่น คงไม่กล้าเผยโฉมต่อธารกำนัลแล้วกระมัง”

“โธ่! มิรู้ว่าพวกนางไปทำเรื่องคึกคะนองไร้สติอันใดให้เหล่าปีศาจที่เร้นลับโกรธเคือง”

“นั่นสิ”

โต๊ะตัวนั้นศิษย์รุมล้อม พวกเขาพูดคุยโต้ตอบไปมาช่วยพิจารณาออกความเห็นพัลวัน

อีกโต๊ะไม่ห่างกัน หลิ่งหลินนั่งฟังขณะจิบชากินขนมหลังมื้ออาหารกลางวันนิ่งๆ ท่าทีของนางผ่อนคลายสบายใจ คล้ายไม่เกี่ยวข้องอันใดทั้งนั้น

หญิงสาวลอบยิ้มหยัน อันที่จริงนังพวกนั้นสมควรถูกเหวี่ยงร่างขึ้นไปกลางอากาศ ฉีกทึ้งเนื้อหนังออกเป็นชิ้นๆ ให้เลือดสดๆ ฉีดกระฉูดซ่านเซ็นรอบทิศทางถึงจะสาสม

นางชอบดูพิรุณโลหิตเป็นที่สุด

น่าเสียดายที่กำลังภายในและพลังปราณที่ติดมากับแก่นวิญญาณมิได้แข็งแกร่งไร้เทียมทานดุจร่างเก่า จึงมิอาจเหวี่ยงร่างแล้วเอาชีวิตโดยง่าย ทำได้เพียงเหวี่ยงใบไผ่แห้งๆ ให้กลายเป็นใบมีดเล็กเท่านั้น  เฮ้อ...ปล่อยให้สามคนนั้นลาออกจากสำนักศึกษาเสียได้ หาไม่ วันนี้คงมีถึงสามศพ!

ขณะคิดอย่างเข่นเขี้ยวเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น

“ข้านั่งด้วยได้หรือไม่?”

เสียงทุ้มนั้นดังอยู่เหนือศีรษะ หลิ่งหลินเหลือบตาขึ้นมองเห็นเป็นฉู่เฉิง นางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะดังปึก เกือบแตก

“ไม่ให้นั่ง!”

เห็นคนงามปฏิเสธเพียงแข็งอย่างหาได้ยากยิ่งนั้น นอกจากไม่โกรธ ฉู่เฉิงยังยกยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “เยี่ยนเอ๋อร์  เจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ” กล่าวพลางตีหน้ามึนนั่งลงที่ตั่งข้างกัน “ในที่สุดเจ้าก็คิดได้ ข้าปรารถนาเห็นเจ้าใช้ความผิดหวังผลักดันตัวเองแบบนี้นั่นแล แต่พวกเราต้องกลับมาคืนดีกันนะ”

เพราะรู้จักตั้งแต่เด็ก ฉู่เฉิงจึงรู้จักสวีหลิงเยี่ยนยิ่งนัก นางไม่มีทางหักใจจากเขาได้หรอก เพียงตามง้อเล็กๆ น้อยๆ ไม่นานย่อมหายเคืองเรื่องวันนั้น แล้วเราสองคนก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม คล้ายไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้นก่อนหน้าทั้งสิ้น ถึงอย่างไรบุรุษย่อมมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคน

“เลิกทำหน้าบึ้งตึงใส่ข้าเถิด ข้ารู้ดีที่สุด เจ้าน่ะไม่เคยใจแข็งกับข้าได้นาน”

หลิ่งหลินปรายตามองเรียบนิ่ง แค่นเสียงเย็นชา “ไสหัวไปซะ หาไม่ ข้าจะฉีกปากเจ้าเสีย”

“...”

ฉู่เฉิงคิดว่าตนเองหูฝาด กำลังจะถามว่าอะไรนะ กำลังจะให้นางพูดใหม่อีกรอบ ทว่าสตรีตรงหน้าพลันลุกขึ้น แล้วด่าลั่น “ต่ำช้า ไร้ยางอายจากแก่นแท้ ลูกเต่าอย่างเจ้า อย่ามาเข้าใกล้ข้าอีก”

“...”

ด่าจบพลันเดินจากไปแบบไม่เหลียวหลัง ทิ้งไว้เพียงฉู่เฉิงให้นั่งอึ้งกลายเป็นบื้อใบ้อยู่เช่นนั้น

หลังจากด่ากราดเหมือนแม่ค้าในตลาดมิอาจเก็บข่ม หลิ่งหลินก้าวเท้าฉับๆ อย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน

แน่นอนว่านางคงทำอันใดมิได้มากไปกว่านี้นั่นล่ะ การฝึกวิชายุทธ ฟื้นฟูพลังลมปราณผสานกำลังภายในนั้นพอทำได้ง่าย แต่ที่นี่มิอาจฆ่าคนแบบโจ่งแจ้งตามแต่ใจ แคว้นใหญ่ย่อมมีเจ้าหน้าที่ของทางการที่เก่งกาจยากต่อกร และขุนนางเรืองอำนาจที่แค่พลิกมือก็เรียกลมฝนเต็มไปหมด หากฆ่าคนหรือแค่เพียงพลั้งมือทำร้ายใคร นางหนีไม่พ้นแน่ ที่นี่ไม่เหมือนหมู่บ้านจินซานในอดีต

หลิ่งหลินจึงจำต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ให้ดีสักหน่อย การถอยออกมาก่อนจะเผยตัวตนด้านมืดมิใช่ไม่ดีหรอกหรือ

แต่เจ้าฉู่เฉิงนั่นน่าจับมาหักคอเสียจริง!

นางคิดอย่างปลดปลงขณะเลี้ยวมาทางด้านซ้าย พลันเจอเข้ากับสตรีอีกคน

“อ้าว? อาเยี่ยน เจ้านี่เอง วันนี้มาเรียนด้วยหรือ? หายหน้าไปหลายวัน ทำข้าเป็นห่วงแทบแย่”

นางผู้นี้เข้าจับมือหลิ่งหลิน “เฮ้อ...นึกว่าเจ้าจะโกรธเรื่องข้ากับพี่ฉู่จนไม่อยากมาเรียนแล้ว แต่ว่า ถึงอย่างไร พวกเราก็เป็นสหายกันนี่นา ต่อให้พี่ฉู่เลิกรากับเจ้าแล้วมาคบหากับข้า ทุกอย่างย่อมคงเดิม ตัดกันไม่ขาดหรอก ใช่หรือไม่”

หลิ่งหลินขมวดคิ้วมองเงียบงัน นึกครู่หนึ่งว่าใครเนี่ย

หญิงสาวเร่งขบคิดรีดเค้นจากสมองของร่างเก่า

อ้อ! นึกออกล่ะ คือว่านลู่ชิง

ขณะคิด เสียงของอีกฝ่ายยังคงถูกพ่นออกมาไม่หยุด

“อีกอย่างการที่ข้าเปิดเผยเช่นนั้นย่อมดีกว่าปิดบัง เจ้าจะได้ตาสว่างเร็วๆ เห็นอะไรได้ชัดเจนถนัดตา เช่นนี้ ย่อมนับว่าข้าทำเพื่อเจ้านะ เจ้าควรขอบคุณข้าถึงจะถูก ข้าเป็นสหายที่ดี ไม่ทำเรื่องนั้นลับหลังปะไร เข้าใจหรือไม่?”

อะไรเนี่ย สตรีผู้นี้ความคิดวิบัติ ช่างประหลาดสิ้นดี น่ารำคาญอันใดเช่นนี้ เมื่อก่อนสวีหลิงเยี่ยนมองไม่ออกรึ?

ว่านลู่ชิงยังคงพล่ามไม่หยุด “จริงสิ! วันนี้ได้ข่าวว่าชั้นเรียนของเจ้ามีคุณหนูสามคนลาออกนี่นา เช่นนี้ย่อมมีโต๊ะว่างแล้ว เจ้าช่วยพูดกับอาจารย์ซ่งให้รับข้าเข้าเรียนด้วย ได้หรือไม่?”

หลิ่งหลินยังคงไม่เอ่ยวาจาใด พลางนึกในใจ

ผู้อาวุโสสกุลสวีกับสกุลฉู่รู้จักมักคุ้นกัน สวีหลิงเยี่ยนรู้จักและร่ำเรียนร่วมกับฉู่เฉิงตั้งแต่เด็ก ทั้งสองจึงสนิทสนมถึงขั้นคบหาเฉกคนรัก

ในขณะที่ว่านลู่ชิงเพิ่งย้ายมาเมืองหลวงจึงเข้าเรียนกลางคัน ตามกฏสำนักศึกษามิอาจเพิ่มโต๊ะได้ตามอำเภอใจ จึงเข้าชั้นเรียนอื่นที่พอจะมีที่ว่าง ทุกอย่างเป็นสวีหลิงเยี่ยนที่แนะนำและช่วยดำเนินการให้ตามคำร้องขอของว่านลู่ชิง

ทั้งที่ร่างเก่าเป็นสตรีที่ไม่ได้ความเรื่องตัวเองเท่าใด แต่เพื่อสหายกลับมีความกล้าที่จะทำให้

หลิ่งหลินเลิกคิ้ว “ครั้งนี้ข้าคงไม่สะดวกแล้ว เจ้าไปให้ฉู่เฉิงขอร้องอาจารย์ซ่งสิ”

ว่านลู่ชิงนิ่วหน้า “ได้อย่างไร ข้าเป็นสตรีนะ ให้บุรุษออกหน้าในเรื่องสำคัญเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะ ผู้อื่นจะมองไม่ดี อาเยี่ยน เราเป็นสหายกันนี่นา ย่อมสมเหตุสมผลยิ่งกว่า อีกอย่าง ตอนนี้กลุ่มเจ้าไม่มีใครแล้ว เจ้าเองก็เรียนไม่เก่ง และข้าบรรเลงพิณได้ดียิ่ง เรามาพยายามด้วยกันเถอะนะ ข้าอุตส่าห์มาเพื่อช่วยเจ้าที่อ่อนหัดเชียวนะต้องขอบคุณข้า”

และอีกหลายวาจาที่ยกหางตัวเองแต่ข่มผู้อื่นไมหยุด

หลิ่งหลินกำลังคิดว่า‘ควรลากคอสตรีผู้นี้ไปฆ่าที่ใดดี’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel