ตอนที่ 4 ลาออก1
ป่าไผ่ด้านหลังสำนักศึกษา
ไม่ว่ามองไปทางใดล้วนเห็นแต่สีเขียวของลำปล้องไผ่ และพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไผ่แห้งเหี่ยวสีน้ำตาลหม่นกว้างไกลสุดสายตา ทั้งด้านซ้ายด้านขวายังคงไม่เห็นสิ่งใดแม้แค่มนุษย์สักคน
“หลิงเยี่ยน เจ้ายืนรอตรงนี้ครู่หนึ่ง”
กู้ซินแอบยิ้มร้าย จับแขนสวีหลิงเยี่ยนให้ยืนนิ่งๆ ตรงจุดที่ต้องการ จากนั้นเดินไปกับพี่สาวทั้งสองคนอีกทาง
ในขณะที่หลิ่งหลินหยุดเดินและยืนนิ่งตามคำนั้น
กู้ซินเหลือบตามองสวีหลิงเยี่ยนทางด้านหลังที่มีท่าทางใสซื่อโง่เขลาไร้ซึ่งอาการต่อต้านอื่นใดขณะหันมากระซิบกับฟู่ชิงและอวี้ซู วางแผนอย่างสนุกสนานว่า
“พี่สองคนช่วยกันจับแขนจับขานังหลิงเยี่ยนนะ ส่วนข้าจะปิดปากปิดจมูกให้มันขาดอากาศหายใจสลบไสลสิ้นสติไปเลย”
อวี้ซูปิดปากร้องโอ้ “รุนแรงจริงเชียว ข้าจับแขนนะ”
ฟู่ชิงรีบเสริม “ข้าจับขาแล้วกัน หลังจากนั้นล่ะ”
กู้ซินว่าต่อ “พอมันหมดสติก็ทิ้งไว้ในป่าไผ่เนี่ยแหละ กว่ามันจะฟื้นคงพลบค่ำ พอตื่นขึ้นมาคงตกใจจนเสียขวัญ หนีกลับบ้านไปเลย จะได้ไม่กล้าเสนอหน้ามาเข้าเรียนกับพวกเราอีก”
อวี้ซูได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ
ในขณะที่ฟู่ชิงไม่เห็นด้วยเท่าใด “ไม่น่าจะดีหรอกนะ ข้าคิดว่าหามีดมากรีดหน้าของมันให้เสียโฉมเลยดีกว่า จะได้ไม่กล้าออกจากจวนอีกเลยตลอดชีวิต”
สิ้นวาจานี้ อีกสองคนพลันชะงัก สักพักก็ยกมุมปาก เกิดเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทุกคนพยักหน้าให้กันอย่างเห็นด้วย
ทว่าพวกนางไม่มีมีดเพราะไม่ได้พกพาจึงหันหน้ามองหาของมีคมอย่างอื่น และก็ได้เป็นกิ่งไม้เล็กแหลมแทน หึหึ! มุมปากยิ่งแสยะยิ้มเหยียดกว้าง เมื่อได้อาวุธมาอยู่ในมือ พวกนางเดินกลับไปหาสวีหลิงเยี่ยนทันที
เพียงแต่....นางไม่ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว...
หายไปไหน? ทั้งสามหันซ้ายหันขวา ช่วยกันมองหา ทว่าจู่ๆ ป่าไผ่ที่ลมสงบนิ่งกลับคล้ายมีพายุเข้ากะทันหัน
ฟู่...ซ่า...
เสียงนั้นดังสนั่นจนสะเทือนแก้วหู พวกคุณหนูถึงขั้นหูอื้อตาลายเพราะพายุที่จู่โจมกะทันหัน ซู่!
ลมแรงที่โหมซัดนั้นมาพร้อมสิ่งที่คล้ายใบมีดบางๆแต่คมกริบนับหมื่นพัน มันแหวกอากาศพุ่งใส่คุณหนูทั้งสามไม่ยั้ง เลือดสีแดงซึมผ่านเสื้อผ้าของเหล่าสาวน้อยเกิดเป็นหยดเล็กๆ เสมือนลวดลายกลีบบุปผาค่อยแย้มบานก็ไม่ปาน
“กรี๊ดดดดดด”
ยามซื่อสามเค่อ[1]
ทุกคนรวมถึงหลิ่งหลินล้วนเข้ามานั่งเรียนนานแล้ว อาจารย์ซ่งลูบเคราหรี่ตา บรรยายตำราปราชญ์จบเล่มแล้ว ทว่าในชั้นเรียนที่ควรมีศิษย์นั่งประจำโต๊ะจนเต็มหมดทุกตัวกลับยังขาดคุณหนูอีกสามคน
“ศิษย์ทุกคน คัดอักษรทบทวนบทเรียนที่ข้าสอน” สั่งจบซ่งจวินเดินกลับไปนั่งยังโต๊ะของตน เขาวางตำราลงหลังจากบรรยายเสร็จ แต่ยังคงขบคิดถึงลูกศิษย์ทั้งสามอย่างฉงน ทั้งที่เมื่อเช้าพวกนางยังนำขนมมาคารวะทักทาย เพื่อขอให้ปลดคนผู้หนึ่งออกจากกลุ่มอยู่แท้ๆ
คิดพลางเหลือบมองสวีหลิงเยี่ยนอย่างเหนื่อยใจ อีกฝ่ายโง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถเกินไปจริงๆนั่นแล ทว่าในฐานะอาจารย์ย่อมปฏิบัติต่อศิษย์ทุกคนเท่าเทียม อ้อ...แต่กับศิษย์บางคนจำต้องเข้มงวดกว่าสักหน่อยจึงจะดี
“คุณหนูสวี”
เพราะยังไม่คุ้นชินชื่อนี้เท่าใดหลิ่งหลินจึงนิ่งเงียบ
“คุณหนูสวี”
ยังคงก้มหน้าเตรียมคัดอักษรอยู่
“อะแฮ่ม! คุณหนูสวี”
เมื่อได้ยินเสียงอันเคร่งครัดที่ดังขึ้นของอาจารย์ซ่งพร้อมพัดไม้ไผ่ในมือเคาะโต๊ะดังโป๊กๆ หลิ่งหลินจึงนึกขึ้นได้
นางพลันเงยหน้าจากกระดาษที่ขึงไว้จนตึงเรียบ กะพริบตาเล็กน้อยอย่างงุนงง เรียกใคร? อ้อ! ชื่อข้านี่นา
จำต้องวางพู่กันที่จุ่มหมึกแล้วลงที่เดิม “เจ้าคะ?”
“มานั่งคัดอักษรตรงนี้” อาจารย์ซ่งใช้ด้ามพัดในมือเคาะโต๊ะด้านข้างเบาๆ ใช้สายตาแทนคำสั่งอันเฉียบขาด
หลิ่งหลินยู่หน้าไม่อยากนั่งตรงนั้น แต่ก็หอบกระดาษลุกขึ้นเดินไปนั่งลงใกล้อาจารย์ซ่งอยู่ดี “รบกวนอาจารย์ชี้แนะแล้วเจ้าค่ะ”
“ยามยกข้อมือขวาปาดน้ำหมึกต้องใช้มือซ้ายจับชายเสื้อด้วยท่าทางอ่อนช้อยสำรวม มิใช่ยกแขนสูงเช่นนั้น ทำท่าทะมัดทะแมงเกินไปไม่เหมาะสม เส้นไม่คมไร้สง่า”
“อ้อ...เจ้าค่ะ”
อาจารย์ซ่งหรี่ตา ถอนหายใจเอือมระอาพลางว่า “หากไม่เข้าใจส่วนใดให้ถามข้าทันที จำไว้ต้องกล้าซักถาม อย่าได้เขียนผิดๆ เชียว เจ้าน่ะต้องหมั่นฝึกฝนให้มากจะได้เรียนรู้เท่าทันผู้อื่นรู้หรือไม่? อย่าเอาแต่หลบหน้าขลาดเขลา หลายวันที่แล้วเจ้าหายไปไม่เข้าเรียน ข้ายังมิได้ทำโทษเจ้า”
และคำพร่ำบ่นอันยาวเหยียดที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำ ทำเอาสวีหลิงเยี่ยนคนเก่ามักชอบหลบหน้าอาจารย์เฒ่าผู้นี้อยู่ร่ำไป
ทว่าหลิ่งหลินไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน เนื่องจากวัยเด็กตอนอยู่กับแม่บุญธรรม นางอยากเรียนมาก แต่ไม่มีโอกาสได้เรียน ต้องขึ้นเขาล่าสัตว์ หาของป่ามาขาย ทำแต่งาน หาแต่เงิน ต่างจากน้องสาวคนนั้นที่ได้เรียนแต่กลับหนีเรียน เที่ยวเล่นไปวันๆ
พอได้อยู่กับนางมารหลิ่งม่อในหุบเขาปีศาจก็ได้แต่ฝึกวิชาด้วยการท่องจากคำสั่ง จำจากท่วงท่าที่ถ่ายทอด เคยเรียนรู้ตัวอักษร ศาสตร์จากหนังสือที่ใดกัน?
“ศิษย์รับทราบแล้วเจ้าค่ะอาจารย์ รับรองว่าจะทำออกมาได้ดีกว่าเดิมสิบเท่าไปเลย”
ซ่งจวินได้ยินเช่นนั้นพลันคิ้วขมวด ทว่าชั่วครู่ก็คลาย เขาพยักหน้าพึงพอใจ แต่น้ำเสียงยังคงเคร่งครัดยิ่ง “ฮึ!ทำให้ได้ดังวาจาเถอะ”
“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ” รับคำกระฉับกระเฉง จากนั้นก็เริ่มคัดอักษรอย่างขยันขันแข็ง
หลายจุดที่ยังสงสัยในวิธีขีดเขียนนางก็เงยหน้าถาม
“อาจารย์ซ่ง คำนี้ข้าเขียนถูกหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม ถูกต้อง แต่น้ำหนักพู่กันต้องมั่นคง ทรงพลัง ทว่าท่วงท่าต้องงดงามอ่อนช้อยมิใช่กระด้างแข็งทื่อ”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
น้ำเสียงกังวานที่เจือแววหนักแน่นต่างจากเดิมนั้นเรียกสายตาของฉู่เฉิงที่นั่งฝั่งบุรุษได้อย่างชะงัด เขามองนางอยู่เป็นนาน
เส้นเสียงของสวีหลิงเยี่ยนที่เคยแผ่วเบาอ่อนกำลัง วันนี้กลับกังวานใสอย่างประหลาด
และที่สำคัญแววตาของนางที่มองเขาล้วนเปลี่ยนไป
ไม่มีความหลงใหลอย่างโง่งม มีแต่ความเฉลียวฉลาดอันน่าประทับใจ
เดิมทีนางจะต้องมีอาการตกประหม่า เผยสีหน้าหวาดกลัว ไม่มั่นใจในตนเองตลอดเวลา
ทว่ายามนี้ กิริยาล้วนเด็ดเดี่ยว มีท่าทีมุ่งมั่น เข้มแข็งทรงพลัง มั่นคงเฉียบขาด
นางคล้ายมีเสน่ห์ดึงดูดผิดไปจากเดิมมากโข
โดยเฉพาะการแต่งกายที่ผิดแผกแปลกตา แต่งหน้าทาชาดจนงดงามโดดเด่นยิ่งกว่าแต่ก่อนยิ่งนัก
เมื่อเช้าก่อนเข้าห้องเรียนตอนเดินสวนกัน สายตาที่นางมองมาทั้งเฉยชาและห่างเหิน ไม่หลบหลีกไม่วอกแวก ไม่แม้แต่จะก้มหน้าอย่างเอียงอายหรือขลาดเขลาอย่างที่เคย แววตาลึกล้ำ สีหน้าเย่อหยิ่ง ท่วงท่างดงามผ่าเผยเช่นนั้น ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นนี้
มิรู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่สวีหลิงเยี่ยนแลดูเปลี่ยนไป จากที่เคยขลาดเขลาอ่อนแอแม้แต่ท่านั่งคัดอักษรยังไม่มั่นใจ ทว่าวันนี้กลับนั่งอย่างมั่นคง ลำตัวที่ตั้งตรงแลดูสง่างามยิ่ง ท่าทางที่จริงจังยังสุขุมนุ่มลึกสงบนิ่งเยือกเย็น แตกต่างจากวันวานอย่างสิ้นเชิง
ฉู่เฉิงพบว่า หัวใจของเขาคล้ายเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ
เรียวตาคมวูบไหว บุรุษหนุ่มรู้สึกแปลกแปร่งในใจ
เขากำลังรู้สึกว่าตนเองคล้ายทำของสำคัญหายไป แต่กำลังจะได้ชิ้นใหม่ที่ดียิ่งกว่ากลับคืน
แน่นอนว่าความคิดที่พร่ำเพ้อเสียมากมายเหล่านั้นว่านลู่ชิงไม่มีทางรู้
หัวใจบุรุษมักโลเลยากแท้หยั่งถึงเสมอ
แม้การกระทำและวาจาอันโหดร้ายในวันนั้น ฉู่เฉิงจะจงใจทำเพื่อผลักดันให้สวีหลิงเยี่ยนสำนึกรู้ตัว และพยายามลุกขึ้นมาพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับว่านลู่ชิงล้วนเป็นเรื่องจริง
[1]ยามซื่อสามเค่อ คือ 09.45 น.