บทที่ 7 ชิงตัวคน
บทที่ 7 ชิงตัวคน
การเดินทางไปไหว้พระและไหว้บรรพบุรุษที่วัดเหลียนซานในครานี้ แม่ทัพใหญ่หนิงส่งทหารคุ้มกันไปร่วมหลายสิบนาย เดิมทีเขาอยากส่งทหารไปคุ้มกันมากกว่านี้ แต่เพราะไท่ฮูหยินยืนกรานว่าไม่ต้องการสร้างความตื่นตกใจให้เหล่าภิกษุที่ถือศีลบำเพ็ญเพียรอยู่ในวัด และไม่ต้องการสร้างความวุ่นวายใดใด แม่ทัพใหญ่หนิงจึงยอมทำตามคำสั่งของมารดาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตลอดเวลาเกือบสองปีมานี้เขาเฝ้าติดตามหาร่องรอยของมู่หรงเจวี๋ย แต่หาเช่นใดก็ไม่พบ แม้จะติดป้ายประกาศจับไปทั่วทั้งเมืองหลวง แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อหนึ่งปีก่อน เขาพบเบาะแสว่ามีคนพบศพลอยมาตามน้ำ ลักษณะคล้ายมู่หรงเจวี๋ยเขาจึงไปตรวจดูด้วยตนเอง แต่เพราะศพมีสภาพขึ้นอืดแล้ว เขาจึงไม่แน่ใจเท่าใดนัก
และที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ เขาหาป้ายหยกสั่งการทางทหารของจวนตระกูลมู่หรงไม่พบ เคยได้ยินมาว่าบิดาของมู่หรงเจวี๋ยมีทหารในปกครองร่วมหลายหมื่นนายที่ฝึกฝนเอาไว้ ฝีมือก็ร้ายกาจไม่แพ้ทหารของวังหลวงเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ฝ่าบาทไม่ทรงรู้ แต่เขาเองรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะเขากับบิดาของมู่หรงเจวี๋ยเคยเป็นสหายสนิทกัน
สหายสนิทที่ยอมบอกทุกเรื่องแก่เขา และตายด้วยน้ำมือของเขาในคราวเดียวกัน
"นายท่านขอรับ มีข่าวด่วนขอรับ"
แม่ทัพใหญ่หนิงที่กำลังครุ่นคิดเรื่องเก่าก่อน พลันต้องหยุดความคิดนั้นอย่างกะทันหัน ก่อนจะหันไปมององครักษ์ลับคนสนิท
"มีเรื่องใด"
"ไม่นานมานี้มีขุนนางมาแจ้งต่อทางการ ว่าระหว่างที่เดินทางไปพักผ่อนที่เรือนพักฤดูร้อน กลับถูกโจรป่าดักปล้นระหว่างทาง พวกมันไม่ฆ่าคน เพียงปล้นสิ่งของมีค่าไปเท่านั้น ได้ยินว่าฝีมือร้ายกาจไม่เบา"
แม่ทัพใหญ่หนิงขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
เดิมทีการมีโจรป่าออกปล้นเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยในชานเมืองไท่เหลียง อีกอย่างขุนนางพวกนั้นก็มีเงินทองมากมาย โดนปล้นไปสักเล็กน้อยคงไม่เป็นไร ขอเพียงรอดมาได้ก็หาใหม่เพิ่มได้ อย่างไรเสียสมบัติพวกนั้นก็ได้มาอย่างไม่ถูกไม่ควรอยู่แล้ว
เขาไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องไปสนใจสิ่งใด
"ปล่อยไป ขุนนางพวกนั้นได้ทรัพย์สมบัติมาในทางที่มิชอบ ข้าไม่อยากใส่ใจ"
"แต่ว่า หากพวกนั้น นำเรื่องนี้ไปกราบทูลฝ่าบาท มิเท่ากับสาวมาถึงตัวท่านแม่ทัพใหญ่ ว่าละเลยหน้าที่ในการรักษาความสงบสุขหรอกหรือขอรับ"
แม่ทัพใหญ่หนิงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจ้าเล่ห์
"พวกมันไม่กล้าเสียหรอก หากทูลต่อฝ่าบาท ย่อมมีการสืบสวนอย่างละเอียด แล้วเจ้าคิดว่าระหว่างโจรป่าและขุนนางฉ้อราษฎร์เหล่านั้น ใครจะตายก่อนกัน?"
แม่ทัพใหญ่หนิงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะสั่งให้องครักษ์ลับออกไปเสีย วันนี้เขามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำ ได้ยินว่ามีชาวนานำที่นามาจำนองกับเขา แล้วไม่มีเงินมาไถ่คืน เขาจึงสั่งให้มันส่งบุตรสาวมาขัดดอก หากไม่ทำตามข้อตกลง ก็เผาเรือนมันทิ้งเสีย!!!
ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูร้อนแล้ว อากาศจึงไม่ค่อยร้อนมากเท่าใดนัก ท้องฟ้าออกจะมืดครึ้มไม่น้อย เนื่องจากใกล้เข้าสู่ช่วงต้นวัสสานฤดูแล้ว หนิงซือซือเปิดกล่องใส่อาหารออก ก่อนจะหยิบขนมเปี๊ยะกุหลาบขึ้นมากัดกินด้วยความเอร็ดอร่อย ไท่ฮูหยินมองหลานสาวตัวน้อยของตนเองด้วยสายตาที่เอ็นดู
"ซือเอ๋อร์ เมื่อถึงวัดเหลียนซานแล้วเจ้าก็ไปนอนห้องเดียวกับย่าก็ได้ ไหว้พระโพธิสัตว์และบรรพบุรุษเรียบร้อยแล้ว ย่าจะพาเจ้าไปกินอาหารเจ อาหารเจที่วัดเหลียนซานน่ะขึ้นชื่อยิ่งนัก"
เมื่อได้ยินคำว่าอาหารเจ หนิงซือซือก็มุ่ยหน้าลงทันที ไท่ฮูหยินที่ได้เห็นเช่นนั้นก็อดขบขันหลานสาวตัวน้อยไม่ได้ นางรู้ดีว่าหนิงซือซือชอบเรื่องการกินมากเพียงใด
"ท่านย่า หลานนำของกินติดมาด้วยมากมาย หลานกินอาหารที่เตรียมมาเองดีกว่าเจ้าค่ะ"
"ได้อย่างไรกัน ท่านเจ้าอาวาสท่านอุตส่าห์ตั้งใจทำ เจ้าจะต้องกินเสียหน่อย"
"ก็ได้เจ้าค่ะ เอ่อ ข้าอิ่มแล้ว ท่านย่า ข้าอยากนอนตักท่าน"
"มาสิ เด็กดีของย่า"
หนิงซือซือยิ้มตาหยี ก่อนจะทิ้งกายลงนอนหนุนตักไท่ฮูหยินและผล็อยหลับไป ในขณะที่สองมือยังคงกอดกล่องอาหารเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ไท่ฮูหยินเองอดส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูไม่ได้
ในขณะที่รถม้ากำลังจะเข้าสู่เขตของวัดเหลียนซาน ระหว่างทางจะเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างแคบ รอบด้านล้วนเป็นป่าทึบ จู่ ๆ รถม้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน และม้าก็ยกเท้าหน้าทั้งสองข้างขึ้นพลางส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะมันถูกธนูยิงเข้าที่ขาอย่างจัง
ฮรี้!!!
รถม้าหยุดลงกะทันหัน ทำให้หนิงซือซือตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมา นางยกมือขึ้นขยี้ตาทั้งสองข้าง ก่อนจะหันมาเอ่ยถามไท่ฮูหยิน
"ท่านย่า เกิดสิ่งใดขึ้นหรือเจ้าคะ"
"นั่นสิ!!!"
"โจรป่า!!! โจรป่าฆ่าคนแล้ว!!!"
เสียงของคนขับรถม้าตะโกนดังก้องป่า หนิงซือซือที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก นางจับมือไท่ฮูหยินเอาไว้แน่น พลางขยับเข้ามาใกล้กันด้วยความหวาดกลัว
มู่หรงเจวี๋ยเรียกใช้ทหารลับของเขาร่วมหลายสิบนาย ทหารลับเหล่านี้ที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้ฝีมือร้ายกาจ เพียงไม่นานก็สังหารทหารที่แม่ทัพใหญ่หนิงให้คอยติดตามคุ้มกันรถม้าตกตายไปเกือบครึ่ง
มู่หรงเจวี๋ยใส่หน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้าท่อนบนเอาไว้ เขาจ้องมองไปยังรถม้าคันใหญ่ ก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปสังหารเหล่าทหารที่คอยคุ้มกันรถม้าที่เหลืออย่างรวดเร็ว เขาต้องชิงตัวหนิงเซียนมาให้เร็วที่สุด จะชักช้าไม่ได้โดยเด็ดขาด
ในขณะที่หนิงซือซือกำลังนั่งกอดกับไท่ฮูหยินด้วยความหวาดกลัวอยู่นั้น ฉับพลันประตูรถม้าก็ถูกถีบออกจนพังไม่เหลือชิ้นดี ปรากฏร่างของบุรุษร่างกายกำยำ สวมชุดสีดำ เขาสวมหน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้าท่อนบนเอาไว้ หนิงซือซือมองดูดาบยาวในมือของเขาด้วยแววตาที่สั่นไหว ในขณะที่มู่หรงเจวี๋ยก็จ้องมองนางผ่านหน้ากากเหล็กนั้นด้วยแววตาที่อำมหิต
นี่คงจะเป็นหนิงเซียน ไม่ผิดแน่!!!
หน้าตาอัปลักษณ์สิ้นดี นี่น่ะหรือหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งไท่เหลียง!!!
มู่หรงเจวี๋ยไม่รอช้า เขารีบยื่นมือไปกระชากแขนของหนิงซือซืออย่างแรง หนิงซือซือตกใจพยายามปัดป้องขัดขืน พร้อมกับตะโกนขอความช่วยเหลือ
"ท่านย่า ช่วยข้าด้วย!!! ปล่อยข้านะ!!!"
"ปล่อยหลานข้าเดี๋ยวนี้นะ!!!"
มู่หรงเจวี๋ยยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะออกแรงกระชากหนิงซือซืออย่างสุดแรง ท้ายที่สุดเมื่อนางต้านทานเรี่ยวแรงของเขาไม่ไหว จึงถูกเขากระชากตัวไปได้
"ท่านย่า!!!"
"หนิง ซะ..."
ไท่ฮูหยินตกใจจนโรคเก่ากำเริบ นางไม่ทันจะได้ร้องเรียกชื่อของหนิงซือซือ ก็เป็นลมล้มพับไปเสียก่อน
"ท่านย่า!!! โจรสารเลวปล่อยข้านะ!!!"
"หุบปาก หากไม่อยากถูกข้าปาดคอตาย!!!"
"ช่วยด้วย!!! ช่วยด้วย อ๊าา!!!"
มู่หรงเจวี๋ยแสบแก้วหูแล้ว เขาจึงจัดการใช้มือสับต้นคอหนิงซือซือจนสลบ ก่อนจะแบกนางขึ้นไว้บนบ่า แล้วกลับรังโจรตามเส้นทางลับที่วางแผนเอาไว้ก่อนหน้าในทันที
ระหว่างนั้นหนิงเซียนและหนิงฮูหยินก็เดินทางติดตามมาพอดี แต่ทว่าคนขับรถม้ากลับหยุดรถม้ากะทันหัน
"หยุดรถม้าด้วยเหตุอันใดกัน เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ? นี่เจ้า!!! จะวิ่งไปที่ใดน่ะ"
หนิงเซียนยื่นมือไปเปิดผ้าม่าน ก่อนจะชะโงกหน้าไปเอ่ยถามคนขับรถม้า ไม่นานนักคนขับรถม้าก็วิ่งตรงเข้ามาหานางด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ
"คุณหนูใหญ่ขอรับ ดูเหมือนว่าไท่ฮูหยินจะถูกปล้นขอรับ แม่นางผิงผิงบอกว่า คุณหนูรองถูกโจรป่าลักพาตัวไปขอรับ"
หนิงเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบหันกลับมาเอ่ยกับหนิงฮูหยินผู้เป็นมารดาของนางในทันที
"ท่านแม่ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ นังลูกอนุสารเลวนั่นถูกจับตัวไปแล้ว"
"แม่ได้ยินแล้ว"
"ดียิ่งนักต่อไปนี้ลูกจะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้ามันอีก!!!"
หนิงเซียนยิ้มอย่างมีความสุข นางรอเวลาราวเกือบสองชั่วยามจึงส่งคนไปแจ้งแม่ทัพใหญ่หนิงที่จวน ก่อนจะรีบให้ทหารที่เหลือ พานางและมารดาของนาง รวมถึงไท่ฮูหยินกลับจวนตระกูลหนิงเพื่อให้ท่านหมอตรวจดูอาการเสียก่อน
แม่ทัพใหญ่หนิงที่ได้ทราบข่าวว่าหนิงซือซือถูกโจรป่าลักพาตัวไปก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตา ในที่สุดนางก็หายตัวไปเสียที เขาจะได้ไม่ต้องคอยหวาดระแวงอีกแล้ว