บทที่ 6 เปิดบัญชีแค้น
หลังจากเผชิญหน้ากับฉินเจิ้นหยางแล้ว เยว่หรงฟางก็เดินเข้าไปในสุสาน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเพียงใด แต่ที่นี่ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ในตอนที่นางยังเป็นเพียงแค่วิญญาณ นอกจากสถิตอยู่ที่จวนสกุลเฉินแล้ว ก็มีเพียงแค่ที่สุสานแห่งนี้ที่นางจะมาด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งนางจะได้พบวิญญาณของท่านพ่อและท่านแม่ที่จากไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบ...
"ดอกไม้ของผู้ใดกัน" เสียงหวานเปรยขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นดอกเหมยสีชมพูที่ถูกมัดรวมกันเป็นช่อวางอยู่ที่หน้าสุสานของนาง
"วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของคุณหนูเฉินเป่าหลิน อาจจะเป็นคุณชายมู่สามีของนาง หรือไม่ก็คุณหนูเฉินเหมยฉีที่มาเยี่ยมเยียนนางที่สุสานก็ได้นะเจ้าคะ"
เยว่หรงฟางได้ยินวาจาของเมิ่งหยวนก็ส่ายหน้าไปมาเบาๆ
"ไม่จริงหรอก"
นับตั้งแต่วันฝังร่างของนางที่สุสาน มู่หวังเหล่ยกับเฉินเหมยฉีก็ไม่เคยย่างกรายมาเหยียบที่นี่อีกเลย ที่นางรู้ก็เพราะว่านางเฝ้ามองคนทั้งสองมาโดยตลอด
"ใครกันนะ" หญิงสาวพึมพำเสียงเบาด้วยความสงสัย ใครกันนะที่ส่งดอกไม้ให้นางทุกๆ ปีที่ครบรอบวันตายของนาง เขาต้องเป็นคนใกล้ตัวหรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่รู้จักนาง เพราะดอกเหมยสีชมพูเป็นดอกไม้ที่นางชอบ
"หรือว่าจะเป็นฉินไท่จื่อเจ้าคะ ฝ่าบาทอาจจะเคยรู้จักกับคุณหนูเฉินเป่าหลินมาก่อนจึงแวะมาเยี่ยมเยียนก็เป็นได้นะเจ้าคะ"
ชื่อของฉินไท่จื่อทำให้ร่างบางชะงักไปเล็กน้อย จะเป็นไปได้อย่างไรกันในเมื่อนางกับเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่สิ... ต้องบอกว่านางรู้จักเขา แต่เขารู้จักนางหรือไม่นั้น นางก็ไม่แน่ใจเท่าใดนัก แต่ฟ้าดินสามารถเป็นพยานให้นางได้ว่านางกับเขาไม่เคยคุยกันแม้แต่ประโยคเดียว นางไม่ได้สำคัญพอที่เขาจะมาให้ดอกไม้นางในทุกๆ ปีที่ครบวันตายของนางเสียหน่อย ไร้ซึ่งเหตุผลโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อครู่นี้เขายังไม่ตอบคำถามว่าเขามาที่นี่ทำไมกัน หรือมีเรื่องใดที่นางไม่รู้ ถ้าเช่นนั้นนางก็จะต้องรู้ให้ได้!
หลังจากเคารพศพที่สุสาน เยว่หรงฟางก็เดินทางมาถึงร้านน้ำชาหยวนจื่อ หญิงสาวเหลือบมองไปยังรถม้าประจำตระกูลเฉินทำให้ได้รู้ว่าเฉินเหมยฉีเดินทางมาถึงที่นี่ก่อนแล้ว คนร่างบางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก้าวเดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทางมั่นคง เพียงแค่ก้าวข้ามธรณีประตู สายตาของบุรุษทุกคนต่างก็จดจ้องมองมายังนาง
"เมิ่งหยวนพวกเขามองข้าเพราะเหตุใดกัน หรือมีอะไรติดหน้าข้าอย่างนั้นหรือ" เยว่หรงฟางหันไปกระซิบถามบ่าวรับใช้คนสนิทด้วยความสับสน
"เพราะคุณหนูงดงามมากอย่างไรล่ะเจ้าคะ" เมิ่งหยวนตอบด้วยความภาคภูมิใจ และดูเหมือนว่านางจะชินไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่าเยว่หรงฟางจะปรากฏตัวอยู่ที่ใดก็มักจะเป็นที่สนใจของบุรุษอยู่เสมอ
"เช่นนั้นหรือ" ฝ่ายคนที่ถูกมองได้แต่หัวเราะแห้งๆ รู้ตัวดีว่าร่างเดิมของนางห่างไกลจากคำว่างดงามไปมากโข อีกทั้งยังไม่เคยถูกมองด้วยสายตาชื่นชมเช่นนี้มาก่อนจึงทำตัวไม่ค่อยถูก
เยว่หรงฟางส่งยิ้มกลับไปให้คนมองตามมารยาท ก่อนจะพยายามเพ่งสายตามองหาคนที่นัดหมาย ก่อนจะเห็นสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะริมติดกับหน้าต่าง แม้จะมองเห็นแค่เพียงด้านข้างแต่ก็จำได้เป็นอย่างดีว่านั่นคือผู้ใด
"เฉินเหมยฉี" ดวงตากลมโตแข็งกร้าวขึ้นมาชั่วขณะ มือบางกำเข้าหากันแน่นด้วยความแค้นใจ ดูเหมือนว่าคนที่เป็นเจ้าของชื่อจะยังไม่รู้ตัวถึงการมาเยือนของนาง
"คุณหนูเจ้าคะ" เสียงของเมิ่งหยวนทำให้คนที่กำลังยืนเหม่อไปชั่วขณะรู้สึกตัว
"ว่าอย่างไรหรือ"
"คุณหนูเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า วันนี้กลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ" เมิ่งหยวนถามด้วยความห่วงใย เยว่หรงฟางรู้สึกทึ่งไม่น้อยที่เมิ่งหยวนเป็นคนช่างสังเกต ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายตาของนางไปได้จริงๆ
"ข้าไม่ได้เป็นอะไร เมื่อครู่นี้ข้าเพียงแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น" เอ่ยจบก็ก้าวเดินเข้าไปหาคนที่นั่งรออยู่
"คุณหนูเยว่" เฉินเหมยฉีผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับจับมือของเยว่หรงฟางขึ้นมา
"ไม่เจอกันนาน คุณหนูเยว่สบายดีหรือไม่" ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เยว่หรงฟางมองมือของตนที่ถูกคนตรงหน้ากอบกุมเอาไว้ นางรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะกระชากมือออก แต่ก็จำต้องเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ภายในใจ
'ใจเย็นๆก่อนหลินเอ๋อร์ คิดจะทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง' คิดให้กำลังใจตนเอง และส่งยิ้มกว้างตอบกลับคืน
"ข้าสบายดี คุณหนูเหมยฉีก็คงสบายดีเช่นกันสินะ"
เฉินเหมยฉีได้ยินคำเรียกของนางก็ชะงักไปเล็กน้อย
"คุณหนูเหมยฉีอะไรกัน เราหาใช่คนเรียกอื่นคนไกล เรียกข้าว่าพี่สาวเหมือนอย่างที่เคยเรียกเถอะ"
เยว่หรงฟางมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนตรงหน้าทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ายามนี้เฉินเหมยฉีอายุได้ยี่สิบหนาวแล้ว ส่วนเจ้าของร่างนี้อายุเพียงสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น
"พี่สาว" คำว่าพี่สาวทำให้นางหวนนึกถึงความสัมพันธ์ของเฉินเหมยฉีกับนางในตอนที่ยังเป็นเฉินเป่าหลิน ไม่นึกเลยว่าคนที่นางนับถือและรักดั่งเป็นพี่สาวแท้ๆที่คลานตามกันมาจะกลายเป็นคนร้ายกาจ กล้าทำร้ายท่านพ่อและตัวของนางเช่นนี้
"คุณหนูเยว่ เป็นอะไรหรือไม่ เหตุใดถึงจ้องหน้าข้าเช่นนี้เล่า" เฉินเหมยฉีถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นคนตรงหน้าจ้องมองมายังนางไม่เลิกรา ดวงตากลมโตแข็งกระด้างต่างจากที่เคยเป็น ราวกับโกรธแค้นอย่างแสนสาหัส
"เปล่าเจ้าค่ะ ข้ามองหน้าพี่สาวเพราะว่าพี่สาวหน้าตางดงาม เหตุใดถึงยังไม่แต่งงานล่ะเจ้าคะ" แสร้งถามทั้งๆที่รู้ความจริงว่าเหตุผลเดียวที่เฉินเหมยฉีมีก็คือมู่หวังเหล่ยอย่างไรล่ะ
เฉินเหมยฉีได้ยินคำถามนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปาก เปล่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ ท่าทางเขินอายเสียเต็มประดา
"อีกไม่นานหรอก"
"ใครกันหรือเจ้าคะ ช่างเป็นคนที่มีวาสนาดียิ่งนัก"
"ข้าเองก็มีวาสนาเช่นกัน คุณหนูเยว่คงคิดไม่ถึงเป็นแน่"
'ก็จะใครซะอีกเล่า คนที่ข้าจะแต่งงานด้วยก็คือฉินไท่จื่อบุรุษที่เจ้ารักอย่างไรเล่า!' คิดในใจ พลางจ้องคนตรงหน้าด้วยแววตาเยาะหยันก่อนที่สายตานั้นจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เฉินเหมยฉีรู้ว่าเยว่หรงฟางหลงรักฉินไท่จื่อ เพราะในตอนที่สนิทกันเคยมาปรึกษาเรื่องนี้ให้นางฟัง นางจึงใช้โอกาสนี้ในการหลอกใช้เยว่หรงฟางให้นำตำราสมุนไพรและยาพิษมาให้ยืม แลกกับการที่นางให้คำปรึกษาวิธีเอาชนะใจของฉินไท่จื่อ
เยว่หรงฟางเป็นคนหัวอ่อน หลอกง่ายและอ่อนต่อโลก นางไม่มีวันรู้ทันอย่างแน่นอนว่ากำลังถูกหลอกใช้
'คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด' เฉินเหมยฉีได้แต่หัวเราะหยันคนผู้นี้อยู่ในใจ
"เอ๊ะ! เหตุใดวันนี้คุณหนูเยว่ถึงได้แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำเช่นนี้เล่า"
"พี่สาวจำไม่ได้จริงๆหรือ" เยว่หรงฟางย้อนถาม ส่งสายตามองอาการของคนตรงหน้า
"คุณหนูเยว่หมายถึงเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ"
"วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของคุณหนูเฉินเป่าหลิน ปีนี้เป็นปีที่สี่แล้ว พี่สาวเป็นพี่สาวของนาง อย่าบอกนะว่าท่านลืม" แม้จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่แววตาจริงจังไร้ซึ่งความเย้าแหย่แต่อย่างใด
ทางด้านคนถูกถามตกใจจนถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ เผลอชักสีหน้าใส่อย่างไม่รู้ตัว
"ไม่นึกว่าคุณหนูเยว่จะใส่ใจครอบครัวข้าถึงเพียงนี้"
เยว่หรงฟางเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบกลับ
"งานขบวนแห่ศพของคุณหนูเฉินเป่าหลินยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ใครจะจำไม่ได้ล่ะเจ้าคะ อีกทั้งนางยังน่าสงสารยิ่งนัก เพิ่งแต่งงานได้ไม่กี่วันกลับต้องจบชีวิตลงเสียแล้ว ลางทีข้ายังอดคิดไม่ได้ว่าคุณหนูเฉินเป่าหลินสิ้นชีพเพราะแพ้สุรามงคลจริงๆหรือ"
"คุณหนูเยว่หมายความว่าอย่างไร" เฉินเหมยฉีถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่ามือบางกลับจิกเล็บเข้ากับต้นขาของตนแน่น หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมานอกอก ความกลัวเริ่มจู่โจมทำให้แข้งขาสั่นระริกอย่างอดกลั้นไว้ไม่ได้
"ขออภัยเจ้าค่ะ" เสียงลูกจ้างของร้านน้ำชาดังขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามา บนถาดที่ถืออยู่ในมือมีป้านน้ำชาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆจนเห็นควันร้อนพวยพุ่งออกมา
เยว่หรงฟางมองป้านน้ำชาใบนั้นสลับกับมองไปยังเฉินเหมยฉี มุมปากบางยกขึ้นเบาๆ จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นยืน