บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 สตรีที่ไม่โปรดปราน

ยามเช้าวันใหม่เวียนมาถึงแล้ว ดวงอาทิตย์ทอแสงอรุณอยู่บนท้องฟ้านภา เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังระงมไปทั่วทั้งบริเวณ

เมิ่งหยวนกับสาวใช้อีกสองคนเปิดประตูห้องเดินเข้ามา ตรงไปยังห้องอาบน้ำเพื่อเตรียมน้ำให้คุณหนูของนางอาบ ยามนี้เป็นฤดูสารท อากาศร้อนอบอ้าวมากยิ่งนัก หากคุณหนูฟางเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา ร่างกายมีเหงื่อไคล นางจะไม่สบายตัวเอาได้

"เมิ่งหยวน" เสียงหวานขานเรียกชื่อดังขึ้นที่หน้าประตู เจ้าของชื่อจึงผินหน้ากลับมาแลเห็นเป็นเจ้านายของตนยืนอยู่

"คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ เช่นนั้นให้บ่าวปรนนิบัติอาบน้ำเลยนะเจ้าคะ"

เยว่หรงฟางผงกศีรษะรับเบาๆ ขาเรียวก้าวเข้าไปในอ่างน้ำ เอนหลังพิงขอบอ่างพร้อมกับหลับตาพริ้ม ปล่อยให้สาวใช้นวดตัวให้อย่างสบายอารมณ์

"วันนี้คุณหนูอยากใส่ชุดสีอะไรเจ้าคะ เอาเป็นชุดที่เพิ่งตัดใหม่สีชมพูสีโปรดของคุณหนูดีหรือไม่เจ้าคะ" เมิ่งหยวนเอ่ยถาม พลางใช้มือบีบนวดไปที่ขมับบางเบาๆ

"ข้าอยากใส่สีดำ"

"สีอะไรนะเจ้าคะ"

"สีดำ เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ข้าอยากใส่สีดำ" เยว่หรงฟางเอ่ยขณะที่ยังไม่ลืมตา น้ำเสียงหนักแน่นยืนยันคำตอบเดิม

"เจ้าค่ะ" เมิ่งหยวนรับคำด้วยความงุนงง แต่กระนั้นก็ไม่อาจขัดใจเจ้านายได้ จึงหันไปพยักหน้าให้สาวใช้คนหนึ่งที่ทำหน้าที่เตรียมชุด

เยว่หรงฟางมองภาพสะท้อนของตนเองในกระจกทองเหลืองด้วยความพึงพอใจ ดวงหน้างามแต้มแต่งด้วยเครื่องประทินโฉมบางๆ ริมฝีปากอวบอิ่มแต้มชาดสีชมพู สีเดียวกับพวงแก้มขาว เรือนผมถูกเกล้าเป็นมวยมัดไว้ครึ่งหัว ผมยาวที่เหลือถูกปล่อยยาวถึงกลางหลัง ประดับปิ่นหยกห้อยพู่ประดับอันเล็ก แม้จะอยู่ในชุดสีดำสนิทแต่ไม่อาจปิดบังความงดงามของเจ้าตัวได้เลย

"ไปกันเถอะ" นางหันมาเอ่ยกับบ่าวรับใช้คนสนิท จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้อง ตรงไปขึ้นรถม้าคันใหญ่ที่จอดรออยู่หน้าประตูเรือน

"คุณหนูจะแวะไปที่ใดก่อนหรือไม่เจ้าคะ" เมิ่งหยวนถามด้วยความแปลกใจ ยามนี้ยังห่างจากเวลานัดหมายกับคุณหนูสกุลเฉินอยู่มากโข หากจะไปรอที่ร้านก็คงจะรอนานเกินไป

"ข้าจะไปที่สุสานประจำตระกูลเฉิน"

"ไปทำไมหรือเจ้าคะ" เมิ่งหยวนทำตาโต เอียงคอมองเจ้านายด้วยความสงสัย

"ไปถึงเจ้าก็จะรู้เอง" เยว่หรงฟางตอบ พลางส่งยิ้มให้นางบางๆจากนั้นก็เบนสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง เมิ่งหยวนไม่กล้าซักถามอันใดมาก ทว่านางรับรู้ได้ว่าหลังจากที่คุณหนูของนางเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มศีรษะฟาดขอบอ่างน้ำในวันนั้น คุณหนูของนางก็นิสัยเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

'มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ช่างน่าเป็นห่วงยิ่งนัก...' เมิ่งหยวนคิดพลางลอบมองคนตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง

สายลมเย็นพัดโชยผ่านมา ต้นไม้ใหญ่เอนไหวลู่ไปตามแรงลม บรรยากาศเงียบสงบไร้ซึ่งผู้คน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงนกกาให้ได้ยิน ทำให้บริเวณรอบๆเต็มไปด้วยความวังเวง

วรกายสูงสง่าองอาจยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทอดมองไปยังเบื้องหน้า ภายในดวงตาสีนิลเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสุขระคนเศร้าใจปะปนกันไป

"ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ"

"ข้าขออยู่ตรงนี้อีกสักพักเถิดหานเซียว" ขายาวขยับเข้าไปใกล้สุสาน มือหนาไล้ไปตามป้ายชื่อของผู้เป็นเจ้าของหลุมศพแห่งนี้ เปลือกตาหนาปิดลงราวกับกำลังซึมซับความรู้สึกบางอย่าง

"ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน"

นี่ก็เป็นเวลาสี่ปีแล้วที่นางได้ลาจากโลกนี้ไป ฉินเจิ้นหยางได้แต่กล่าวโทษตนเองอยู่ซ้ำๆ หากเขาสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ขึ้นอย่างแน่นอน

สายลมพัดเอื่อยผ่านมากระทบผิวกาย ราวกับต้องการปลอบประโลมหัวใจที่บอบช้ำ แม้มองไม่เห็นได้ด้วยดวงตา แต่ก็รับรู้ได้จากหัวใจ 

"กลับกันเถอะ" ฉินเจิ้นหยางหันมาหาหานเซียว จากนั้นจึงเดินกลับไปยังอาชาคู่ใจที่ผูกไว้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งตอนนี้มันกำลังก้มหน้าแทะเล็มหญ้ากินอย่างสบายอารมณ์

ทว่าก่อนที่จะเดินไปถึงตัวมันก็พบว่ามีรถม้าคันใหญ่กำลังแล่นมาจอดนิ่งอยู่ทางเข้าสุสาน ประตูรถม้าเปิดออกทำให้เห็นร่างระหงก้าวลงมา 

"เยว่หรงฟาง นางมาทำอะไรที่นี่" ชายหนุ่มเปรยขึ้นเบาๆ มองสตรีร่างบางที่อยู่ในชุดสีดำสนิทด้วยความสงสัย

"ฉินไท่จื่อ" เยว่หรงฟางเองก็เช่นกัน นางอุทานขึ้นมาเบาๆด้วยความตกใจ ถึงแม้เขาจะไม่ได้แต่งกายเต็มยศ สวมเพียงชุดสีดำอีกทั้งยังมีหมวกฟางปิดบังใบหน้าเอาไว้ แต่นางก็จำเขาได้ดี เพราะเคยพบเขาแล้วในยามที่ยังเป็นเพียงวิญญาณ ตอนขบวนแห่ศพของตน

"ไท่จื่อหรือเจ้าคะ อยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะคุณหนู" เมิ่งหยวนถามด้วยความตกใจ พลางหันมองไปรอบๆบริเวณ นางไม่เห็นขบวนผู้ติดตามของไท่จื่อเลยแม้แต่สักคนเดียว มีเพียงชายชุดดำสองคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ผู้นั้น

"อย่าบอกนะว่าเป็น..." 

เยว่หรงฟางไม่ตอบคำถาม แต่กลับก้าวตรงเข้าไปหาคนที่ยืนนิ่งอยู่แทน

"ฝ่าบาทเพคะ" คนตัวเล็กเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าพลางยอบกายคารวะผู้สูงศักดิ์

"ท่านจำคนผิดแล้ว" กล่าวเสียงเข้ม มือหนาดึงหมวกฟางให้ปิดใบหน้าของตนมากขึ้น พลางหมุนตัวหันไปหาเจ้าอาชาสีดำตัวใหญ่ ขยับหมายจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังมัน

"ไม่ผิดหรอกเพคะ องค์รัชทายาทฉินเจิ้นหยาง หม่อมฉันจำฝ่าบาทได้" หญิงสาวไม่ยอมแพ้และคิดว่าคนตรงหน้าคงไม่ยอมรับตัวตนง่ายๆแน่ นางจึงตัดสินใจเรียกขานเขาเต็มยศ

คนที่ได้ยินชะงักไปเล็กน้อย ปล่อยมือออกจากอานม้า ก่อนจะผินหน้ากลับมามองสตรีร่างบางด้วยสายตาเยือกเย็น 

"ถ้าเป็นข้าแล้วเจ้ามีปัญหาอะไรหรือ" น้ำเสียงดุดันกล่าวขึ้น ยกมือขึ้นกอดอก มองคนตัวเล็กอย่างคาดคั้น ในสายตาของเขานางเป็นเพียงสุนัขตัวเล็กที่แสนจะอวดดี!

"หม่อมฉันเป็นเพียงผู้น้อยไม่บังอาจจาบจ้วงเบื้องสูงหรอกเพคะ ทว่าหม่อมฉันแค่เกิดความสงสัยว่าฝ่าบาทมาทำอะไรที่สุสานประจำตระกูลเฉิน"

มุมปากหยักยกขึ้นเล็กน้อย หากไม่ได้หูแว่วไปเอง เยว่หรงฟางได้ยินเสียงเหอะดังออกมาจากในลำคอของเขา

"เจ้ากำลังตั้งคำถามกับข้าหรือ"

"เปล่าเพคะ เป็นแค่ความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจของหม่อมฉันเท่านั้น แต่ถ้าหากฝ่าบาทจะทรงกรุณาตอบ หม่อมฉันก็พร้อมที่จะรับฟังเพคะ" 

ดวงตาคมวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างน่ากลัว ตลอดเวลาที่ผ่านมานางมักคุยกับเขาด้วยท่าทีเขินอาย ไม่เคยมีสักหนที่นางกล้ายอกย้อนต่อปากต่อคำเขาเช่นนี้ ถึงแม้นางจะเอ่ยออกมาอย่างสุภาพก็ตาม

"เช่นนั้นเจ้าก็ตอบข้ามาก่อนว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่" ฉินเจิ้นหยางเลือกที่จะเลี่ยงการตอบคำถามโดยหันมาเป็นผู้ยิงคำถามใส่นางแทน

"หม่อมฉันมาหาสหายที่จากไปเพคะ"

"สหาย? ผู้ใดกัน"

"ต้องขอประทานอภัย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว หม่อมฉันไม่อาจตอบคำถามได้เพคะ"

"อ้อ งั้นหรือ..." ฉินเจิ้นหยางลากเสียงยาวด้วยท่าทางยียวน ขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะก้มหน้าลดต่ำลงมา เยว่หรงฟางก้มศีรษะลง ไม่สบตากับทายาทของโอรสสวรรค์ ทว่าหาได้เกิดจากความขลาดกลัว แต่เป็นเพราะเขาก้มหน้าลงมาใกล้นางเกินไปจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารินรดลงมาต่างหาก

"ท่านพ่อของเจ้ารู้หรือไม่ว่าบุตรสาวกำลังทำตัวน่าละอายถึงเพียงนี้"

"หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ" คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงง เขาพูดอะไรของเขากัน ไม่เห็นจะเข้าใจเลยแม้แต่น้อย

"ข้ารู้ว่าเจ้ามีใจให้กับข้า แต่การทำเช่นนี้หาใช่วิสัยของสตรีที่ดีไม่ เลิกยุ่งกับข้า เพราะข้าไม่มีวันสนใจเจ้า"

ปากกระจับอ้าค้างขึ้นอย่างตกตะลึง ฉินไท่จื่อกำลังหาว่านางใช้วิธีนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขางั้นหรือ ไม่จริงเสียหน่อย!

ฉินเจิ้นหยางเห็นคนตรงหน้าตัวแข็งค้างไปชั่วขณะจึงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความสะใจ ก่อนจะเดินไปกระโดดขึ้นหลังม้า แต่ยังไม่ทันที่เจ้าอาชาตัวใหญ่จะได้ย่างกรายจากไป เสียงเล็กๆของคนที่ยืนอยู่ก็ดังขึ้นมาก่อน

"ช้าก่อนเพคะ"

คนตัวโตเบนหน้ากลับมา คิ้วดาบกระตุกขึ้นเล็กน้อยเชิงตั้งคำถาม

"คราแรกหม่อมฉันไม่ได้คิดจะทำดั่งที่ฝ่าบาทเอ่ยมาเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้หม่อมฉันเริ่มคิดแล้วสิเพคะ ที่ผ่านมาฝ่าบาทไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากสนทนากับหม่อมฉัน แต่ครานี้ฝ่าบาทกลับทำมัน"

"...!" ดวงตาของเขาวาวโรจน์ขึ้น ไอสังหารแผ่กระจายออกมาจากบุรุษร่างสูง ทำให้เส้นขนของเยว่หรงฟางลุกชันขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่กระนั้นนางก็ยังเอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งยโส เรามันเลือดนักสู้เสียด้วยสิ เรื่องอะไรจะยอมให้หยามกันได้ง่ายๆ!

"หม่อมฉันชื่นชอบความท้าทายยิ่งนัก ยิ่งฝ่าบาทพยายามผลักไส หม่อมฉันก็ยิ่งอยากเข้าใกล้ สักวันหนึ่งหม่อมฉันจะครอบครองหัวใจของฝ่าบาทให้ได้เพคะ"

"นี่เจ้า!" ฉินเจิ้นหยางสบถออกมาเบาๆอย่างอดไม่ได้ ทว่าเยว่หรงฟางไม่ได้สะทกสะใจกับวาจาของเขาแต่อย่างใด นางกลับส่งยิ้มหวานมาให้เขาแทน นางช่างกวนโทสะของเขายิ่งนัก!

"หานเซียวกลับ!" เสียงดุดันตวาดดังลั่นบ่งบอกถึงอารมณ์ของผู้พูดได้เป็นอย่างดี พลันเจ้าอาชาตัวใหญ่ก็อ้าปากแผดเสียงร้องดังก้อง และวิ่งจากไปด้วยความรวดเร็วราวกับพายุ

"คุณหนูเจ้าคะ พูดออกไปตามตรงแบบนี้จะดีหรือเจ้าคะ" เมิ่งหยวนหันมาหาเจ้านายด้วยความเป็นห่วง

"ข้าไม่เห็นว่าจะมีเรื่องไหนที่ไม่ดี" 

"บ่าวเกรงว่าหากไท่จื่อรับรู้ความในใจของคุณหนูแล้วจะยิ่งพยายามผลักไสคุณหนูมากกว่าเดิมน่ะสิเจ้าคะ"

เยว่หรงฟางแย้มริมฝีปากออกจากกันเล็กน้อย พร้อมหันมาสบตากับเมิ่งหยวน 

"ก็ต้องลองดูกันว่าผลสุดท้ายผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ"

นางไม่กังวลหรอก เหตุเพราะนางคิดวิธีที่จะเข้าหาฉินไท่จื่อได้แล้วอย่างไรล่ะ!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel