บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 หาใช่เยว่หรงฟางคนเดิม

"ให้ข้าช่วยนะ" มือบางเอื้อมคว้าป้านน้ำชาเอาไว้ เอ่ยกับลูกจ้างร้านน้ำชาอย่างใจดี ขณะที่จับจ้องไปยังฉินเหมยฉีอย่างไม่ละสายตา มุมปากบางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อจะแสร้งทำทีให้ป้านน้ำชาหลุดมือ

"กรี๊ดดดด!" เฉินเหมยฉีกรีดร้องด้วยความตกใจ รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แววตาบ่งบอกถึงความหวาดกลัวอย่างสุดขีด เมื่อน้ำชาร้อนๆหก กระเซ็นผ่านตัวนางไปอย่างฉิวเฉียด!

เยว่หรงฟางเหยียดยิ้มด้วยความสะใจ นับว่านางยังมีความปราณีต่อคนตรงหน้า เพราะหาไม่เช่นนั้น น้ำชาร้อนๆ จะไม่ได้หกกระจายอยู่บนพื้น แต่มันจะราดลงไปบนร่างของเฉินเหมยฉีแทน เพื่อให้นางเจ็บปวดทรมานให้สาสมกับความชั่วที่เคยทำไว้กับคนสกุลเฉิน!

แต่ถึงแม้ว่าจะแค้นใจมากเพียงใด เยว่หรงฟางก็รู้ดีว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ นางตั้งใจจะเปิดโปงความจริงและทวงความยุติธรรมให้กับท่านพ่อและตัวของนาง ฉะนั้นนางต้องใจเย็นๆ เพราะมู่หวังเหล่ยกับเฉินเหมยฉีจะต้องชดใช้มากกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า!

"คุณหนูเยว่!" เฉินเหมยฉีตวัดสายตามองด้วยความไม่พอใจ แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยสิ่งใดไปมากกว่านั้น เยว่หรงฟางก็ชิงขัดขึ้นมาก่อน

"ตายแล้ว! พี่สาวเป็นอะไรหรือไม่ ข้าซุ่มซ่ามยิ่งนัก ให้อภัยข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ" มือเล็กยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนจะไปคว้าผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมยขึ้นมา เดินเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่พร้อมใช้ผ้าเช็ดไปตามแขนเรียวเสลาของนาง

"พักหลังมานี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย เวียนศีรษะอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อครู่จู่ๆ มือไม้ก็อ่อนแรงขึ้นมากะทันหัน ข้าไม่ได้มีเจตนาจะตั้งใจทำร้ายพี่สาว อย่าโกรธเคืองข้าเลยนะเจ้าคะ" น้ำเสียงสั่นเครือกล่าวขึ้นเบาๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับสตรีร่างบางตรงหน้า ดวงตาสั่นระริกคล้ายกำลังจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ

เฉินเหมยฉีระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด พยายามข่มกลั้นความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ หากไม่เห็นว่าเยว่หรงฟางยังมีประโยชน์กับตน นางคงไม่ปล่อยไว้อย่างแน่นอน

"ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจนี่นา ข้ารักเจ้าดั่งเป็นน้องสาวที่คลานตามกันมาจะโกรธเคืองเจ้าได้อย่างไรกัน หากแต่ว่า..."

"แต่อะไรหรือเจ้าคะ" เยว่หรงฟางเอียงคอถามด้วยความสงสัยด้วยแววตาใสซื่อ

"อีกไม่นานข้าอาจจะมีเรื่องที่ต้องให้เจ้าช่วยเหลือ ยามนั้นเจ้าอย่าได้ปฏิเสธข้าเลยนะ" เฉินเหมยฉีดึงมือบางมากอบกุมเอาไว้หลวมๆ

"โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร ข้ายินดีช่วยเหลือพี่สาวอยู่แล้วเจ้าค่ะ"

เฉินเหมยฉีได้ยินเช่นนั้นจึงคลี่ริมฝีปากส่งยิ้มให้นางบางๆ

"ขอบใจมากนะฟางเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนที่ข้าสามารถพึ่งพาได้เสมอเลย" หญิงสาวดึงคนตรงหน้าเข้ามากอด ลับหลังจากสายตาของเยว่หรงฟาง ปากบางก็หุบยิ้มลงทันควัน ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง เยว่หรงฟางอ่อนต่อโลกยิ่งนัก แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นางจะได้หลอกใช้คนผู้นี้ได้ง่ายๆ

เยว่หรงฟางกลับมาถึงจวนสกุลเยว่ในยามอุ้ย (13.00 - 14.59 น.) เมื่อกลับมาถึงก็เห็นคนเป็นพ่อเดินออกมาจากห้องหนังสือ ต่างฝ่ายต่างชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่เยว่หานตงจะเอ่ยปากถาม ใช้สายตาจ้องมองบุตรสาวอย่างจับผิด

"ออกไปไหนมา"

"ข้าออกไปสุสานประจำตระกูลเฉิน แล้วก็ออกไปพบคุณหนูเฉินเหมยฉีที่ร้านน้ำชามาเจ้าค่ะ"

"แน่หรือ..." เยว่หานตงลากเสียงยาวพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย 

"แน่เจ้าค่ะ" เยว่หรงฟางรู้ว่ากำลังถูกคนตรงหน้าจ้องอย่างจับผิด จึงแกล้งตีหน้าซื่อพร้อมส่งยิ้มกว้างให้

"ไม่ได้แอบไปพบฉินไท่จื่อแน่นะ" เขาถามย้ำอีกครั้ง ไม่ได้ละสายตาไปจากบุตรสาวแต่อย่างใด

"ไม่ได้ไปเจ้าค่ะ" นางตอบกลับ แต่เมื่อเห็นบิดาจับจ้องมายังตนไม่เลิกราจึงแสร้งเดินเข้าไปหา โอบเอวสอบของผู้เป็นพ่อเอาไว้ ซบใบหน้าลงกับแผ่นอกของเขาอย่างออดอ้อน

"โธ่ ท่านพ่อเจ้าขา ถึงแม้ว่าข้าจะชอบฉินไท่จื่อมากแค่ไหน แต่ข้าก็เชื่อฟังท่านพ่อนะเจ้าคะ ต่อไปนี้ข้าจะเลิกสนใจไท่จื่อแล้ว แต่ท่านพ่อต้องถ่ายทอดความรู้เรื่องการแพทย์ให้ข้านะเจ้าคะ"

"เจ้าพูดจริงหรือ เหตุใดจู่ๆถึงได้สนใจเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า" เยว่หานตงถามบุตรสาวด้วยความประหลาดใจ เมื่อก่อนเขาพยายามพูดโน้มน้าวให้นางหันมาสนใจตำราความรู้เรื่องการแพทย์ ทว่านางกลับกล่าวคำปฏิเสธด้วยเหตุผลว่านางไม่ชอบ

"ข้าเป็นถึงลูกหมอหลวงที่เก่งกาจที่สุดของแคว้นเจวี้ยนจู ข้าอยากเจริญรอยตามท่านพ่อ จะเป็นเยว่หรงฟางคนใหม่เผื่อจะได้ช่วยท่านพ่อแบ่งเบาภาระเรื่องงานไปได้บ้าง ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นสตรีไม่อาจสอบทำอาชีพหมอได้ แต่ข้าก็สามารถเป็นผู้ช่วยท่านได้นะเจ้าคะ อีกทั้งการที่มีวิชาติดตัวไว้ก็เป็นการดีกว่าไม่ใช่หรือเจ้าคะ" เยว่ฟางหรงชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบาย พลางทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ เกิดเป็นสตรีนั้นมีข้อจำกัดหลายประการมากนัก แม้กระทั่งสอบเข้ารับราชการยังไม่อาจทำได้

เยว่หานตงมองบุตรสาวอย่างอึ้งๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างยกมือลูบศีรษะของนางไปมาด้วยความเอ็นดู

"เข้าใจแล้ว หากเจ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ พ่อก็เต็มใจจะสอนเจ้า สักวันหนึ่งเจ้าจะเป็นหมอที่เก่งที่สุดของแคว้นจวี้ยนจู" ริมฝีปากหนาระบายยิ้มให้บุตรสาวด้วยความอ่อนโยน พลางดึงร่างบางเข้ามากอดด้วยความรักใคร่

หนึ่งเดือนต่อมา

วันเวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เยว่หรงฟางตั้งใจศึกษาตำราด้านการแพทย์เป็นอย่างมาก นางได้อ่านตำราการแพทย์ไม่ต่ำกว่าสิบเล่ม อีกทั้งยังได้ติดตามเยว่หานตงผู้เป็นพ่อออกไปตรวจรักษาชาวเมือง ผู้คนต่างกล่าวขานเยว่หานตงว่าเป็นท่านหมอเทวดา นอกจากงานที่วังหลวงแล้ว เขายังรักษาให้ชาวเมืองที่ยากจนโดยไม่คิดเงินอีกด้วย

"ฟางเอ๋อร์ ท่านลุงผู้นี้มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยหอบง่าย รู้สึกเจ็บหน้าอกเป็นบางคราว เจ้าคิดว่าเขาเป็นโรคอะไร" เยว่หานตงหันมาถามบุตรสาว นางได้ยินเช่นนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างฟูกนอนของชายชรา ก่อนจะจับมือของเขาขึ้นมา วางนิ้วชี้และนิ้วกลางลงบนแอ่งชีพจร

"ก่อนหน้านี้ท่านลุงได้กินอาหารแปลกๆบ้างหรือไม่เจ้าคะ"

"เมื่อวันก่อน ข้าเข้าไปเก็บของป่ามาขาย เห็นผลไม้ลูกหนึ่งสีสันดูน่ากินจึงเก็บมากิน แต่พอกินเข้าไปแล้วมันมีรสขม ข้าเลยโยนมันทิ้งไปขอรับคุณหนู"

"ผลของมันมีสีแดงคล้ายผลผิงกั่วใช่หรือไม่เจ้าคะ"

"ถูกต้องขอรับ คราแรกข้าก็เข้าใจว่าเป็นผลผิงกั่ว แต่พอลองกินแล้วมันไม่ใช่ รสชาติของมันยังขมติดปลายลิ้นของข้ามาจนถึงตอนนี้เลยขอรับ"

เยว่หรงฟางผงกศีรษะรับ หันมาเอ่ยกับผู้เป็นพ่อ

"หัวใจของท่านลุงเต้นผิดจังหวะ ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอกและอ่อนเพลีย อาการเช่นนี้เกิดจากการที่โดนพิษของต้นพิษเห็นเลือดปิดคอเจ้าค่ะ"

"โดนพิษ? คุณหนูหมายความว่ามีคนวางยาพิษข้างั้นหรือขอรับ" ชายชราได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้าง เอ่ยปากร้องถามเสียงสูง สีหน้าดูตื่นตกใจเป็นอย่างมาก

"ท่านลุงใจเย็นๆก่อน ไม่มีใครวางยาพิษท่านหรอก มีแต่ท่านที่นำยาพิษเข้าปากเอง" เยว่หรงฟางตอบ เมื่อเห็นเขาทำหน้าสงสัยจึงเอ่ยต่อ

"ผลไม้ที่ท่านเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผลผิงกั่วนั่นอย่างไรเล่า แท้จริงแล้วมันคือผลจากต้นพิษเห็นเลือดปิดคอ หากยังไม่สุกจะมีสีแดง แต่ถ้าสุกแล้วจะมีสีม่วงดำเข้ม พิษของมันส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้"

"เจ้าแน่ใจหรือ"

"แน่ใจเจ้าค่ะ" นางตอบคนเป็นพ่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้ว่านางวินิจฉัยอาการของโรคได้ถูกต้องหรือไม่ ยิ่งเห็นคนเป็นพ่อเงียบไปก็ยิ่งใจเสีย พลันไม่นานเยว่หานตงก็แย้มยิ้มกว้าง ปรบมือดังเป็นจังหวะให้กับบุตรสาว

"เก่งมาก พ่อภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆฟางเอ๋อร์"

เยว่หรงฟางได้ยินเช่นนั้นจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ หลังจากกลับถึงจวนสกุลเยว่ ก็ได้เอ่ยกับบิดาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

"ท่านพ่อ อีกสามวันข้างหน้าข้าขอติดตามไปที่จวนอ๋องด้วยนะเจ้าคะ" หญิงสาวตรงเข้าไปเกาะแขนของเยว่หานตงอย่างเอาใจ

"อยากไปพบฉินไท่จื่องั้นหรือ ก็ไหนเจ้าบอกว่า..."

"ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่" นางรีบปฏิเสธ พร้อมส่ายศีรษะไปมาก่อนจะโดนผู้เป็นพ่อบ่นไปมากกว่านี้

"ข้าอยากไปศึกษาวิธีการรักษาโดยการถ่ายเลือดแค่นั้นเองเจ้าค่ะ"

เยว่หานตงได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

"ฟางเอ๋อร์ พ่อมีเรื่องจะบอกเจ้า อันที่จริงพ่อไม่ได้รักษาฉินไท่จื่อด้วยวิธีการถ่ายเลือด แต่พ่อ... ช่างเถิด เรื่องนี้เจ้าไม่ควรรู้" เขาแกะแขนออกจากการเกาะกุมของบุตรสาว พลางก้าวเดินออกไปจากห้อง หากแต่ว่าเยว่หรงฟางไม่ยอมแพ้ นางรีบเดินตามผู้เป็นพ่อไปติดๆ

"เพราะแท้จริงแล้วเมื่อสิบปีก่อนฉินไท่จื่อไม่ได้โดนงูพิษกัดอย่างที่ทุกคนเข้าใจใช่หรือไม่เจ้าคะ"

เยว่หานตงหยุดชะงักฝีเท้าลงทันที เขาหันหน้ากลับมามองบุตรสาวด้วยความตกใจ!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel