ตอนที่ 3【2】
“ข้าหาใช่หมอคงให้คำตอบพวกเจ้าสองพี่น้องไม่ได้ พวกเราคงได้แต่ภาวนาให้ท่านอ๋องน้อยอยู่รอดปลอดภัย หาไม่แล้ว ข้าก็มิต่างอันใดกับพวกเจ้าหรอก โทษทัณฑ์นั้นไม่ต้องพูดถึง” องครักษ์หน่วยเหลียงไป๋เอ่ยเตือนเด็กน้อยตรงหน้าสองคน แต่ก็คล้ายกับปลอบใจตนเองไปด้วยในที
“เจ้าค่ะ แล้วจะให้ข้าไปรออยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ” ซุนซูลี่เอ่ยถาม
“พวกเจ้าตามข้ามา” องครักษ์เห็นว่าสองพี่น้องไม่ดื้อรั้นจึงได้พาไปพักในห้องรับแขก ซึ่งเขากลับมาแจ้งทหารยามให้นำครอบครัวของท่านอ๋องไปรอที่ห้องนี้เช่นกันเมื่อมาถึง
ทางด้านภายในห้องที่หมอหลวงกำลังทำการรักษาจางอี้หมิง พวกเขาต่างก็เร่งรีบแข่งกับเวลา ถึงแม้ว่าท่านอ๋องน้อยจะมิได้สลบไสลไปก็ตาม แต่ก็ยังคงไม่สามารถเล่าอาการเบื้องต้นของความเจ็บป่วยได้ ท่านหมอจึงต้องใช้วิธีถามและให้คนป่วยพยักหน้าแทน
“ท่านอ๋องน้อย คาดว่าแขนคงจะหัก ข้าจะทำการดามแขนให้กลับเข้าที่ มันจะเจ็บหน่อย ท่านอ๋องน้อยกัดผ้านี้ไว้ อดทนไว้ขอรับ” ท่านหมอกู้เอ่ยขึ้น เมื่อจางอี้หมิงพยักหน้าเข้าใจแล้วเขาจึงได้ทำการดามแขนของจางอี้หมิงด้วยความรวดเร็ว โชคดีที่หมอผู้ช่วยนำผ้ามาให้คนป่วยกัดไว้ ภายนอกจางอี้หมิงทำเหมือนว่าไม่มีอันใด แต่ภายในใจกลับก่นด่าบรรพบุรุษโจรชั่วนั้นไปสามชั่วคนแล้ว
ระหว่างที่ในห้องมีการรักษาคนสำคัญของจวนอย่างเคร่งเครียด หัวหน้าองครักษ์อี (1) ยืนอย่างสงบรออยู่ตรงหน้าห้องพร้อมกับองครักษ์หน่วยเหลียงไป๋ที่เหลือ เตรียมพร้อมสำหรับการเข้าช่วยเหลือหากในห้องต้องการ
ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม องครักษ์ปา (8) ก็นำครอบครัวของจางอี้หมิงเดินทางมาถึง ตามมาด้วย องครักษ์ซื่อ (4) ที่พาครอบครัวซุนตามมาติดๆ จางอี้เทาไม่ต้องการให้เถ้าแก่หลินไห่ตื่นตกใจ จึงได้ให้องครักษ์ชี (7) เดินทางไปแจ้งแก่บ่าวที่เรือนเถ้าแก่หลินไห่ทราบ หากต้องการจะมาฟังข่าวให้ตามมาที่จวนท่านอ๋องทีหลัง ส่วนตนเองและภรรยาเร่งเดินทางตามองครักษ์ปามายังจวนอ๋อง
“หมิงเอ๋อร์ ลูกข้าเป็นเช่นไรบ้าง”
จางอี้เทามาถึงหน้าห้องที่ทำการรักษาบุตรชายอยู่ข้างในก็เอ่ยถามคำถามขึ้นมาด้วยความร้อนรนและเป็นกังวลถึงที่สุด
“เรียน ท่านจาง ท่านหมอกำลังให้การรักษาท่านอ๋องน้อยอยู่ข้างในขอรับ ในตอนที่ข้าพาท่านอ๋องน้อยกลับมาที่จวน ท่านอ๋องน้อยยังมีสติดีขอรับ เพียงแต่ยังพูดอันใดมิได้จากการตรวจร่างกายเบื้องต้น คาดว่าแขนอาจจะหักขอรับ” หัวหน้าอีเอ่ยรายงานให้บิดามารดาของท่านอ๋องน้อยได้ทราบความเบื้องต้น
“โธ่ หมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงโชคร้ายเยี่ยงนี้” หลี่อ้ายเอ่ยออกมาก่อนทำท่าจะถลาเปิดประตูห้องเข้าไป จนจางอี้เทายึดแขนภรรยาไว้แทบไม่ทัน
“น้องหญิงอย่าเพิ่งเข้าไป เราจะไปรบกวนการรักษาของท่านหมอ หากมีความอันใดคืบหน้า ท่านหมอคงออกมาแจ้งเอง” สมแล้วที่จางอี้เทาเป็นบัณฑิต เขายังคงมีสติคิดไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ
หลี่อ้ายได้ฟังดังนั้นถึงกับร้องไห้โฮออกมา จางอี้เทาจึงได้แต่ปลอบใจภรรยาอยู่นานกว่าหลี่อ้ายจะหยุดร้องและสงบลง ส่วนนางหูและหัวหน้าหมู่บ้านซุนถง ตอนนี้รวมตัวนั่งรอฟังข่าวที่ห้องรับแขกพร้อมกับครอบครัวซุนทั้งหมด
“ลี่เอ๋อร์ เย่เอ๋อร์ พวกเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
เจียวเม่ยถลาเข้าไปเมื่อเห็นบุตรชายหญิงของตนนั่งอยู่ตรงขอบเตียงก่อนจะอ้าแขนโอบเอาบุตรทั้งสองไว้ในอ้อมอก
“ท่านแม่ ข้ากลัวเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ ข้ากลัวขอรับ”
ซุนซูลี่กับซุนหมิงเย่เห็นว่ามารดากำลังโอบกอดตนเองเช่นนี้ ความกลัวและความพยายามอดกลั้นทั้งหมดก็พังทลาย ทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้นซบใบหน้าลงกับซอกบ่าของมารดาคล้ายเขื่อนพังทลาย
ซุนซูเย่เห็นภาพเบื้องหน้าก็อดกลั้นน้ำตาแทบไม่ได้ เขาเดินไปรวบเอาภรรยาและบุตรทั้งสองเข้ามากอดไว้แล้วพลางเอ่ยปลอบใจเสียงเบา มิรู้ว่าคำปลอบใจนั้นกำลังปลอบลูกและภรรยาอยู่หรือว่าเขาเองก็กำลังปลอบใจตนเองด้วย หากเกิดอันใดขึ้นกับบุตรชายหญิงของเขา ตัวเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เช่นไร เขาไม่อยากคิดเลยจริง ๆ
“เอาล่ะ พวกเจ้าอย่างเพิ่งร้องไห้ ตอนนี้ลี่เอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์ก็ปลอดภัยแล้ว ไหนพวกเจ้าสงบสติอารมณ์แล้วเล่าให้ปู่ฟังหน่อยสิว่ามันเกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่” ซุนถงเอ่ยเตือนครอบครัวที่กอดกันกลมตรงหน้า
ซุนซู่ลี่ผละออกจากอ้อมกอดของมารดา นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะถูกพาไปนั่งยังโต๊ะกลมกลางห้องซึ่งตอนนี้ทุกคนต่างนั่งลงอย่างพร้อมเพรียงกัน มีบ่าวรับใช้นำน้ำชาพร้อมขนมมาวางไว้ให้สองจานและยังมีอีกสองคนที่ยืนรอรับใช้อยู่ตรงประตู
“แม่นางต้องขอขอบคุณมาก พวกเราขออยู่กันตามลำพังได้หรือไม่ หากต้องการสิ่งใดข้าจะแจ้งให้แม่นางทราบทีหลัง” เป็นซุนถงที่เอ่ยปากบอกสาวรับใช้ พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไหนเลยจะหาญกล้าทำตัวเป็นแขกจวนอ๋อง ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีสถานะเป็นเพียงสาวใช้แต่ก็มีศักดิ์สูงกว่าพวกเขาที่เป็นเพียงชาวบ้านเท่านั้น
“เจ้าค่ะ ข้าจะยืนอยู่ข้างนอก หากพวกท่านต้องการสิ่งใดก็แจ้งข้าได้เลยนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวเสร็จแล้วจึงเดินออกไป นางไม่ลืมปิดประตูให้อีกด้วย
เมื่ออยู่กันตามลำพังซูลี่จึงเอ่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่นางได้รับคำกระซิบในการวางแผนจับคู่พวกผู้ใหญ่ให้ไปเที่ยวงานเทศกาลตามลำพัง รวมทั้งแผนการที่จะไปดูหิ่งห้อยใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างริมแม่น้ำด้วย
“ท่านหัวหน้าซุน อาเย่ เจียวเม่ย ข้าขอโทษแทนหลานชายข้าด้วย เพราะความซนของหมิงเอ๋อร์ทำให้พี่น้องบ้านซุนประสบเหตุ พลั้งเผลออาจจะทำให้ตนเองถึงแก่ความตายอีกด้วย”
นางหูกล่าว หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากซูลี่แล้วนางถึงกับใจหาย หากองครักษ์จวนอ๋องไปช่วยมิทันจะเกิดอันใดขึ้น นางจะมีชีวิตอยู่ได้เช่นใด แล้วครอบครัวซุนจะอยู่ได้เช่นไรกัน หากต้องสูญเสียลูกหลานไปทั้งหมด
บ้านซุนได้แต่นิ่งเงียบ มิกล่าวอันใด ถามว่าโกรธหรือไม่ ย่อมต้องโกรธเป็นอย่างมาก ต่อให้ฉลาดเช่นไรก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าจางอี้หมิงยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบปี
แต่ทว่าบุญคุณที่ครอบครัวจางมอบให้ครอบครัวซุนมันก็เหมือนน้ำท่วมปากที่กลืนไม่ได้คายไม่ออก ความเงียบคงเป็นสิ่งเดียวที่บ้านซุนจะทำได้ในตอนนี้นั่นเอง
หูไป๋หงนั่งเงียบไม่พูดสิ่งใดต่อ นางเข้าใจความรู้สึกบ้านซุนดี ครั้งนี้หลานชายของนางผิดเองเต็มๆที่ชักชวนเด็กทั้งสองไปเที่ยวโดยไม่บอกผู้ใหญ่
หากว่าหน่วยเหลียงไป๋ไปช่วยไว้ไม่ทัน ความสูญเสียคงจะมากมายเป็นแน่
เฮ้อ...หมิงเอ๋อร์เอ๊ย ซนจนได้เรื่องแล้วนะเจ้า