ตอนที่ 3【2】
“เช่นนั้นแล้วน้องสาม เจ้าต้องทำการปลูกผักในแคว้นเหลียงให้สำเร็จ เสด็จแม่จะได้ไม่มีข้ออ้างในการแต่งตั้งเจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต เสด็จพ่อจะได้มอบบัลลังก์ให้เจ้าแล้วไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเสด็จแม่ตามที่ตั้งพระทัยไว้ ส่วนพี่ใหญ่ก็จะได้ย้ายไปอยู่แคว้นอื่นเพื่อใช้ชีวิตกับคนรัก และสุดท้ายข้าก็จะได้ออกเดินทางท่องเที่ยวตามที่ใจปรารถนา
เห็นหรือไม่ เพียงเจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ปัญหาของทุกคนก็ได้รับการแก้ไข ข้ารู้ว่าเจ้ารักประชาชนทั้งแคว้นเหลียงและแคว้นจ้าวมากเพียงไหน เจ้าจึงเหมาะสมที่สุดที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว” เว่ยอ๋องเป็นผู้สรุปทุกอย่างได้อย่างลงตัว
เขาไม่ได้ต้องการกดดันน้องชาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมาแม้อยากช่วยให้หนิงอ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้แต่ก็ไร้เหตุผลลงตัว ในตอนนี้ทุกอย่างเป็นใจแล้ว หากว่าพลาดโอกาสนี้ไปจะแย่เอา ไม่ใช่แค่ประชาชนแคว้นเหลียงที่รอพึ่งบารมีของพระอนุชาองค์นี้ พวกเขาเองก็เช่นกัน
“พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าก็หวังว่ากลับไปแคว้นฉินรอบนี้จะมีข่าวดีรออยู่”
หนิงอ๋องกล่าวและแจ้งเรื่องใหม่ขึ้นมา
“พี่ใหญ่ ครั้งนี้ที่แคว้นฉินข้าพบกับคนคนหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก”
“เป็นผู้ใดกันที่ทำให้น้องสามถึงกับบอกว่าน่าสนใจ” เว่ยอ๋องเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เป็นเด็กน้อยชาวบ้านอายุเพียงแค่ห้าขวบปีแต่เฉลียวฉลาดเกินเด็กไปมาก อ๋องน้อยบุตรชายข้า เมื่ออายุเท่านั้นยังมิได้ฉลาดเช่นเด็กนั่นเลย น้ำตาลผักและเกลือผัก รวมทั้งการปลูกผักก็มาจากความคิดของเด็กน้อยคนนั้น” หนิงอ๋องว่าเสียงเรียบ
“ช่างน่าสนใจ มิอยากเชื่อว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ถ้าหากข้าได้เดินทางท่องเที่ยวไปยังแคว้นฉินเห็นทีจะต้องไปหาสักครั้ง” เว่ยอ๋องเอ่ยพลางยกสุราขึ้นจิบ
“ข้าจะพาอ๋องน้อยเดินทางไปแคว้นฉินด้วยในครั้งนี้ อ๋องน้อยสมควรได้รับการเรียนรู้นอกตำราแล้ว” หนิงอ๋องบอกความคิดของตนให้องค์ชายทั้งสองทราบ
“อ๋องน้อยมิใช่ว่าอายุน้อยเกินไปเช่นนั้นหรือ”
เฟิ่งอ๋องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ตัวเขาสงสารหลานชายยิ่งนัก เนื่องจากต้องฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจของตนเองตั้งแต่อายุเพียงสามขวบปี การเล่นซนอันใดในวัยเด็กก็หาได้มีไม่ แต่นั่นก็มิต่างอันใดกับเขาเช่นกัน ตำแหน่งองค์ชายใหญ่คือผู้มีศักดิ์และสิทธิ์ในราชบัลลังก์อย่างถูกต้อง การเติบโตขึ้นมาจึงไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
“เด็กคนนั้นเพียงแค่ห้าขวบปี แต่ทว่าอ๋องน้อยสิบขวบปีแล้วดังนั้นจึงไม่เร็วเกินไป” หนิงอ๋องตอบ
“น้องสาม เจ้าก็อย่าได้เคร่งครัดกับหลานข้านัก เช่นไรก็ยังถือว่าเป็นเด็ก” เว่ยอ๋องเอ่ยเตือนอีกคน
เขาเข้าใจความรู้สึกของน้องชายและหลานชายดี หนิง-อ๋องต้องการให้องค์ชายน้อยเติบโตมาด้วยความเพรียบพร้อมกล้าหาญ แต่ในขณะเดียวกันเด็กสิบขวบก็สมควรได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง
“พี่ใหญ่ พี่รอง หากไม่เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ คาดว่าคงตกตายก่อนถึงเวลา พวกท่านก็รู้ว่ามิใช่เรื่องง่ายที่จะอยู่ในราชวงศ์ ถึงแม้ว่าเสด็จพ่อจะให้พวกเราเลือกตัดสินใจด้วยตนเองแต่กฎเกณฑ์ต่าง ๆ มากมายนัก โดยเฉพาะพวกเสนาบดีเฒ่าหัวโบราณพวกนั้น”
“จริงของเจ้าน้องสาม” เฟิ่งอ๋องเอ่ย สิ่งเหล่านั้นมิอาจเลี่ยงได้ในฐานะองค์ชาย
“ช่างเถอะ อีกไม่กี่วันน้องสามต้องเดินทางไปแคว้นฉินแล้ว เช่นนั้นวันนี้พวกเราก็ดื่มให้เต็มที่” เว่ยอ๋องผู้รักอิสระเอ่ยพลางยกจอกเหล้าขึ้น เขาไม่ค่อยสนใจปัญหาบ้านเมืองเท่าพระเชษฐาและพระอนุชา ทั้งยังไม่ต้องการให้บรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้
“น้องรอง ลืมแล้วหรือว่าพวกเรากำลังแสดงละครตบตาพวกเสนาบดีเฒ่าพวกนั้นกับเสด็จแม่ หากเจ้าเมามายแล้วความแตก มิใช่เรื่องใหญ่เช่นนั้นหรือ หากอยากดื่มจนเมามายจงกลับไปดื่มที่ตำหนักของเจ้า” เฟิ่งอ๋องรีบเอ่ยเตือนองค์ชายรองเสียงเฉียบขาด
“อ๊ะ พี่ใหญ่ข้าลืมไป เช่นนั้นข้าลาก่อน น้องสามข้าขออวยพรให้เจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ จงนำความสำเร็จกลับมายังแคว้นนะ” เว่ยอ๋องอวยพรน้องชายเสร็จแล้วจึงลุกจากไป
“อาฟง เช่นนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ น้องสามข้าขอให้เจ้าโชคดีเช่นกัน” เฟิ่งอ๋องหันไปบอกกับองครักษ์ของตนเองที่พ่วงด้วยตำแหน่งคนรัก ก่อนผละจากไปอีกคน
หนิงอ๋องค้อมศีรษะลงทำความเคารพท่านพี่ อย่างไรเสียเฟิ่งอ๋องก็ยังเป็นเชษฐาที่น่านับถือ เขานั่งทบทวนเหตุมากมายในวันนี้สักพัก เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วจึงเดินทางกลับตำหนักตนเองเช่นกัน
หลังจากที่เสร็จสิ้นการพบปะกับพี่ชายทั้งสองแล้ว อ๋องหนุ่มจึงได้มีเวลาส่วนตัวเสียที เขาเดินไปยังเรือนหลักของตำหนัก ก้าวผ่านประตูและกำลังจะเข้าไปยังห้องบรรทมก็เห็นนางกำนัลคนสนิทของพระชายานั่งสัปหงกอยู่หน้าเตียง
หนิงอ๋องเขย่าเรียกตัวและส่งสัญญาณให้ออกไป นางกำนัลสาวตื่นมาเห็นก็ตกใจจนสะดุ้ง แต่เพียงไม่นานก็รับรู้ได้ว่าท่านอ๋องต้องการใช้เวลาส่วนตัวกับพระชายา จึงรีบลุกขึ้นทำความเคารพและเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ มิลืมที่จะปิดประตูให้เสียงเบาที่สุดด้วย
ทางด้านหนิงอ๋องเมื่อมีเวลาส่วนตัวแล้วจึงเดินไปถอดชุดคลุมออกแขวนไว้ที่ปลายเตียง เขาถอดรองเท้าแล้วชุกตัวเข้าไปหาชายาคนงามที่กำลังนอนหลับอย่างเป็นสุข สงสัยเหลือเกินว่านางคงกำลังฝันดีอยู่เป็นแน่
ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ นั้นดูงดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ น่ารักแต่ก็เย้ายวนในคราวเดียวกัน
อ๋องหนุ่มทนไม่ไหวเมื่อชายาคนงามพลิกร่างกลับมาโอบกอดตัวเขาไว้อย่างแนบชิด เหมือนชายาของเขาจะยั่วยวนได้เก่งยิ่งนักแม้แต่ในยามที่ตกลงในห้วงนิทรา กลิ่นกายหรือกลิ่นหอมอันใดมิรู้ที่ส่งกลิ่นฟุ้งกระจายในยามนี้ ส่งผลให้เลือดในกายหนุ่มร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างช่วยมิได้ คงเพราะสุราเป็นแน่
“พระชายาคนงาม อย่าหาว่าข้ารังแกคนนอนหลับก็แล้วกัน หากเจ้าจะยั่วยวนข้าเช่นนี้”
ท่านอ๋องหนุ่มกระซิบลงที่ข้างใบหูขาวนวลแล้วขบเม้มอยากหยอกเย้า ก่อนจะดอมดมไปทั่วทั้งไปหน้าจนหญิงสาวที่หลับใหลไม่ได้สติครางรับเสียงอืออ้า
ท่านอ๋องหนุ่มถือว่าพระชายาอนุญาตแล้ว ราตรีนั้นเขาจึงเคี่ยวกรำพระชายาจนรุ่งสาง ทดแทนที่จะต้องห่างหายกันไปนานอีกหลายเดือนเพื่อเดินทางมายังแคว้นฉินในอีกไม่กี่เพลานี้
หนิงอ๋องหลับใหลเมื่อดวงตะวันใกล้จะขึ้นจากขอบฟ้าพร้อมกับพระชายาในอ้อมแขน เขาวางความเครียดลงจากบ่าและเข้าสู่ห้วงนิทรา ทว่าคำพูดมากมายก็ตามราวีเข้าไปในฝัน
ทั้งประชาชนแคว้นเหลียง ท่านพ่อและท่านพี่ทั้งสอง เขาจะต้องดูแลให้ได้
จะไม่ยอมให้พวกเสนาบดีกระหายอำนาจมาเหยียดหยามอีกต่อไป