ตอนที่ 5 ประทานรางวัล【1】
เดินตามมาได้ไม่นานก็ถึงห้องทำงานของจวนอ๋อง จางอี้หมิงถึงกับอึ้งให้กับความขลังและบรรยากาศของห้องนี้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา ตู้หนังสือถูกจัดวางด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ภาพวาดต่าง ๆ ที่เขามองไม่ออกและไม่เข้าใจแขวนประดับไว้ตามเสา มีเก้าอี้และโต๊ะสำหรับวางชาจัดวางเป็นชุด ๆ ตามทางไปจนถึงที่นั่งของเจ้าของจวน
หนิงอ๋องเดินตรงไปนั่งลงที่เก้าอี้และโต๊ะประจำตำแหน่งของตน อู๋เจ๋อ อู๋หมินและจางอี้หมิงเดินไปหยุดอยู่ตรงข้างหน้าโต๊ะทำงานอย่างประหม่า พวกเขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะโดนตำหนิมากน้อยเพียงใด
ไม่นานเถ้าแก่หวัง จางอี้เทาและหลี่อ้ายจึงเดินตามทหารเข้ามาหยุดอยู่ข้างคนของเหลาซิ่งฝูที่ยืนอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“คารวะท่านอ๋อง”
“ตามสบาย พวกเจ้าก็ไปนั่งเถอะ พวกเราคงต้องคุยกันอีกนาน”
เมื่อได้ยินท่านอ๋องเอ่ยอนุญาตเช่นนั้น เถ้าแก่หวังจึงเป็นคนแรกที่เดินไปนั่งใกล้กับที่ประทับ ถัดมาเป็นจางอี้เทา จางอี้หมิง หลี่อ้าย อู๋เจ๋อ และอู๋หมินตามลำดับ
“เด็กน้อย บอกข้ามาได้หรือไม่เหตุใดเจ้าถึงรู้วิธีการช่วยเหลือท่านอาจารย์” หนิงอ๋องถามอย่างใคร่รู้
วิธีนั้นช่างดูแปลกตาและไม่เคยพบเห็น แม้แต่เหล่าหมอหลวงก็ยังไม่เคยทำ
“ขออภัยขอรับท่านอ๋อง บุตรชายของข้าน้อยได้ทำการอันใดที่เป็นการลบหลู่พระเกียรติท่านอ๋องหรือไม่ขอรับ” จางอี้เทามีสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินท่านอ๋องเอ่ยถามบุตรชายตนเองเช่นนั้น
“เจ้าของเป็นบิดาของเด็กคนนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วขอรับ เขาเป็นบุตรชายของข้าเองขอรับ”
“เจ้าช่างเลี้ยงบุตรชายได้ดียิ่ง เป็นเด็กที่กล้าหาญ พูดจาฉะฉาน มีสติและอ่อนน้อมในคราวเดียว” หนิงอ๋องเอ่ยชมเด็กน้อยตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเอื้ออารีย์ “เด็กน้อย เจ้าชื่อจางอี้หมิงใช่หรือไม่”
“ขอรับ ข้าชื่อจางอี้หมิง”
“เจ้ายังมิได้ตอบคำถามของข้า เหตุใดเจ้าจึงรู้วิธีการรักษาท่านอาจารย์ ข้าหรือทหารทั้งหลายยังมิรู้วิธีการรักษาเช่นเจ้า”
“เอ้อ..ข้า..ข้า”
จางอี้หมิงถึงกับหาคำมาตอบไม่ได้ จะให้เขาบอกไปได้เช่นไรว่าวิธีการนี้มาจากประสบการณ์เฉียดตายของตนเอง ครั้งที่เป็นอานนท์ตัวเขาเคยอาหารติดคอ ทรมานแทบตายถึงขนาดว่ายังจำความรู้สึกนั้นได้แม่น โชคดีที่เพื่อนของเขารู้จักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น จึงช่วยให้เขารอดมาได้ทันท่วงที
หลังจากที่หายดี อานนท์จึงกลายเป็นกรณีศึกษา อาจารย์จับนักเรียนในชั้นฝึกการปฐมพยาบาลเบื้องต้นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการผายปอด การช่วยคนอาหารติดคอ การรักษาเบื้องต้นหากโดนน้ำร้อนลวก การช่วยคนที่โดนไฟฟ้าช็อต การถูกงูกัด และอีกมากมายจิปาถะ ทำเอาเพื่อนในชั้นโอดครวญไปราวสองอาทิตย์เพราะต้องทำการสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
“ข้ารอฟังอยู่”
“ข้าเคยเห็นคนที่เหลาอาหารในเมืองหลวงอาหารติดคอแล้วมีพี่ชายคนหนึ่งทำวิธีนี้ขอรับ”
แถไปก่อนแล้วกัน...
“แล้วเจ้าก็จำมาเช่นนั้นหรือ”
“ขอรับ” จางอี้หมิงตอบพร้อมยิ้มสู้
ท่านอ๋องไม่กล่าวสิ่งใด จ้องมองมาและเพียงแค่แย้มพระสรวลอย่างพึงพอใจเท่านั้น
เป็นอันว่าชื่นชมแหละมั้ง... เฮ้อ! เกือบไม่รอด
“จางอี้หมิง เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าวันนี้เจ้ามีความผิดอันใด” หนิงอ๋องเอ่ยถามต่อเสียงดังจนทำให้เด็กน้อยถึงกับสะดุ้ง
ตกลงท่านอ๋องจะชมหรือกำลังตำหนิเขาอยู่กันแน่
“ท่านอ๋อง ขออย่าได้ลงโทษบุตรชายของข้าเลยขอรับ หากต้องได้รับโทษอันใด ข้าขอรับโทษแทนขอรับ”
“ข้าก็ขอรับโทษแทนบุตรชายเจ้าค่ะ”
จางอี้เทาและหลี่อ้ายเมื่อเห็นท่านอ๋องแสดงท่าทางโกรธเช่นนั้นจึงรีบลุกขึ้นไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงทางเดิน ปกป้องไม่ให้หนิงอ๋องทำอันใดกับลูกชายตน
“พวกเจ้าสองคนลุกขึ้นและกลับไปนั่งที่ ข้ากำลังสั่งสอนเด็กน้อยตรงหน้าและอย่าได้เข้ามาสอดแทรก” หนิงอ๋องโบกมือหนึ่งครั้ง สองสามีภรรยาจึงลุกกลับไปนั่งที่เดิมด้วยความหวั่นเกรง
หากขัดคำสั่งจนทำให้ท่านอ๋องไม่พอใจ คาดว่าโทษจะร้ายแรงกว่าเดิมเท่าตัว ดังนั้นจางอี้เทาจึงต้องจำใจลุกขึ้นนำภรรยากลับไปนั่งที่
จางอี้หมิงได้ยินเช่นนั้นจึงได้ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าพระที่นั่งของท่านอ๋อง เอาเถอะ หากบอกว่าจะสอนก็แค่สอนนะท่าน อย่ามากลับคำแล้วลงโทษเขาทีหลังเชียว ใจหายหมดแล้ว
“ขอท่านอ๋องสั่งสอนขอรับ”
“เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อย อายุน้อยกว่าอ๋องน้อยบุตรชายของเราหลายปี ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าต้องประเมินกำลังของตนเองด้วย ในวันนี้หากคนที่อยู่ในห้องอาหารมิใช่ข้าแต่เป็นองค์ชาย ท่านอ๋อง เชื้อพระวงศ์ หรือแม้แต่ผู้ที่มีศักดิ์ฐานะสูงกว่าเจ้ามากมาย เจ้าคงไม่มีโอกาสได้มานั่งอยู่ตรงนี้ หัวของเจ้าคงไม่ได้ตั้งอยู่บนบ่าแล้ว”
“หากข้าไม่ช่วยท่านอาจารย์ เห็นทีท่านอาจารย์คงจะ....” จางอี้หมิงเอ่ยละไว้ไม่กล่าวจนจบแต่ทุกคนก็พอเข้าใจได้
“แล้วเจ้าได้คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายไว้หรือไม่หากเจ้าช่วยท่านอาจารย์ไม่ทัน เพียงแค่การเห็นแล้วลักจำวิธีมาใช้นั่นเป็นสิ่งที่คนฉลาดทำกันเช่นนั้นหรือ หากเกิดเหตุทำให้ท่านอาจารย์อาการหนักมากกว่าเดิม โทษนั้นจะตกมาอยู่กับตัวเจ้า ทั้งที่ในคราแรกความผิดนั้นอาจจะไม่ได้เกิดมาจากเจ้าแม้แต่น้อย เจ้ายังทำให้คนอื่นที่ช่วยเหลือเจ้าในครั้งนี้พลอยติดร่างแหไปอีกด้วย ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่ดี อยากช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี หากเจ้าต้องประเมินตนเองด้วย ข้าพูดเช่นนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ข้าน้อยเข้าใจขอรับ”
“เจ้าลุกขึ้นและกลับไปนั่งที่ได้ ความผิดได้แจ้งไปแล้วถึงเวลาความชอบบ้าง ในเมื่อเจ้าได้ช่วยชีวิตท่านอาจารย์ของเราไว้ รวมทั้งได้ทำหุบเขาเดียวดายให้ข้าได้ลิ้มรส เช่นนั้นข้าขอมอบรางวัลให้กับความกล้าหาญของเจ้าในครั้งนี้ เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นสิ่งตอบแทนจงบอกมา”
“ข้าน้อยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนขอรับ มีเพียงเจตนาบริสุทธิ์ที่จะช่วยท่านอาจารย์เท่านั้น”
“ข้าหนิงอ๋อง มิเคยต้องติดหนี้บุญคุณของผู้ใด เจ้าจงเอ่ยมา ข้ายินดีมอบให้ทุกอย่างในสิ่งที่ข้าสามารถให้เจ้าได้”
“เช่นนั้น ข้าขอคำสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือครอบครัวข้าน้อยเป็นจำนวนหนึ่งครั้งและความช่วยเหลือนั้นจะเป็นสิ่งที่ท่านอ๋องสามารถให้ได้ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยความต้องการออกไปอย่างอ้อนน้อมแต่ก็ชัดเจน ทำให้หนิงอ๋องถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮะ ฮะ ฮะ ข้าไม่แปลกใจที่เจ้าขอสิ่งตอบแทนเป็นสิ่งนี้ จางอี้เทา เจ้าช่างสอนบุตรชายได้ดียิ่ง เหตุใดถึงได้เจ้าเล่ห์ตั้งแต่เด็กเช่นนี้ ข้าชักอยากรู้จักเจ้าให้มากขึ้นเสียแล้ว เจ้าใช่ชาวบ้านธรรมดาแห่งหมู่บ้านหลัวถงจริง ๆ เช่นนั้นหรือ”
“เรียนท่านอ๋อง ข้าน้อยและครอบครัวเคยอาศัยที่เมืองหลวงก่อนที่จะย้ายมายังหมู่บ้านหลัวถง ตัวข้านั้นเคยเป็นอาจารย์สอนในสำนักศึกษาที่เมืองหลวงมาก่อนขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยตอบด้วยความสุขุมสมเป็นบัณฑิต
“โอ้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนี่เอง เด็กน้อย มานี่สิ” หนิงอ๋องกวักมือเรียกจางอี้หมิงให้ลุกไปหาที่โต๊ะทำงานแล้วจึงหยิบของบางสิ่งประทานให้
“ข้าให้เจ้า สิ่งนี้เป็นหยกประจำตัวข้า หากเจ้าต้องการความช่วยเหลืออันใดก็ตาม เจ้าสามารถส่งข่าวหาข้าได้ เก็บรักษาไว้ให้ดีเล่า”
หนิงอ๋องวางหยกสีเขียวมีตัวอักษรหนิงติดอยู่วางลงบนมือน้อยๆ ของเด็กชายตัวน้อย หยกสีมรกตสวยสด มองอย่างไรก็มีมูลค่ายิ่งสมกับที่เป็นของประทานจากท่านอ๋องแคว้นเหลียง
ที่อี้หมิงลองเอ่ยขอรางวัลเป็นความช่วยเหลือจากหนิงอ๋อง ก็เพราะในนิยายที่เขาเคยอ่านมาจากชาติที่แล้วทำให้เขาจำได้ว่าหนี้ที่ช่วยชีวิตเทียบเท่าขุนเขา ชดใช้เช่นไรก็ไม่มีวันหมด คนโบราณยึดถือเรื่องบุญคุณยิ่งกว่าชีวิต เขาจึงลองเอ่ยขอดู ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะให้ตามที่ขอด้วย