ตอนที่ 4 ช่วยชีวิต【2】
“พวกเจ้ายังไม่รีบเรียกหมอมาอีก” ท่านอ๋องหนุ่มตวาดบอกบ่าวรับใช้ในห้องเสวยเสียงดังลั่น เสร็จแล้วจึงทำการทุบไปที่ด้านหลังของอาจารย์ตนเองเพื่อหวังให้สำลักอาหารออกมา บรรดาบ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบออกไปตามหมอทันที
“ยะ อย่าขอรับ อย่าทุ.....”
คำว่าทุบหลังยังไม่ทันได้พูดจบ ท่านอ๋องก็ทุบลงไปแล้วสองสามที ชายวัยกลางคนที่ตอนแรกยังพอหายใจได้แต่ตอนนี้ถึงกับพูดไม่ออก ก่อนหน้านั้นเขาแค่หายใจลำบาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะหายใจไม่ได้เสียแล้ว จางอี้หมิงลืมตัว เตรียมก้าวเท้าจะเข้าไปหาชายวัยกลางคนคนนั้น ดีว่าอู๋เจ๋อรีบดึงเด็กชายไว้เสียก่อน
“หมิงหมิงน้อย เจ้าจะทำอันใด” อู๋เจ๋อก้มลงไปกระซิบถามข้างใบหูของเด็กชาย
สถานการณ์ตอนนี้ ขืนเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังได้เหลือแต่หัวกลับไปให้เถ้าแก่หลินดู
“ท่านลุงอู๋ ข้ากำลังจะไปช่วยท่านลุงคนนั้นน่ะสิขอรับ”
“ไม่ได้ เจ้าเป็นเพียงเด็กจะช่วยอันใดได้ หากทำสิ่งใดให้ท่านอ๋องไม่พอใจ หัวเราไม่หลุดออกจากบ่าเช่นนั้นหรือ” อู๋เจ๋อยังคงจับตัวเจ้านายตัวน้อยไว้อย่างเหนียวแน่น
“แต่ว่า...ท่านลุงอู๋ดูท่านอาจารย์คนนั้นสิขอรับ คงทรมานมาก”
ระหว่างที่อู๋เจ๋อพยายามรั้งจางอี้หมิงไว้ ท่านอ๋องก็ตวาดเรียกหาหมออีกครั้งเมื่อเห็นอาจารย์ของตนทนไม่ไหวนั่งลงไปบนเก้าอี้แล้ว
“พวกไม่เอาไหน เหตุใดหมอยังไม่มาอีก”
“ท่านลุงอู๋ ปล่อยข้าขอรับ หากช่วยช้ากว่านี้พวกเราก็ไม่รอดเช่นกันเพราะอาหารบนโต๊ะทำมาจากเหลาซิ่งฝู ท่านลุงอู๋เองก็ต้องไปช่วยข้า” จางอี้หมิงอธิบายก่อนที่จะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของอู๋เจ๋อและลากหัวหน้าพ่อครัวเหลาซิ่งฝูเดินตามตนเองไปด้วย
“เรียนท่านอ๋อง ห้ามทุบหลังท่านอาจารย์นะขอรับ จะทำให้อาหารยิ่งอยู่ลึกลงไปอีก บอกท่านอาจารย์ให้ไอออกมาแรง ๆ ขอรับ”
“เด็กน้อย เจ้าจะทำอันใด หลีกไปอย่าได้มาวุ่นวาย” หนิงอ๋องบอกปัด แต่ก็ไม่วายสงสัยในท่าทางมั่นใจราวคนที่มีความรู้พร้อมจะช่วย
“เชื่อข้าน้อยนะขอรับ ให้ท่านอาจารย์พยายามไอออกมาแรง ๆ แรงที่สุดเท่าที่ทำได้”
หนิงอ๋องเห็นสีหน้าที่มีความมั่นใจเป็นอย่างมากของเด็กน้อยตรงหน้าแล้วเขาก็ไม่รู้มีอันใดมาดลใจให้เชื่อในคำพูดนั้น หนิงอ๋องจึงเอ่ยบอกอาจารย์ของตน
“ท่านอาจารย์ ท่านต้องไอ ไอแรง ๆ”
ชายวัยกลางคนที่อาหารติดคอ ถึงแม้ว่าจะหายใจลำบากแต่ก็ยังไม่หมดสติ เมื่อได้ยินหนิงอ๋องบอกตนเช่นนั้นจึงพยายามไอออกมาแรง ๆ อยู่สองสามครั้ง อาหารก็ยังไม่หลุดออกมา จางอี้หมิงเห็นท่าทางที่อ่อนแรงลงไปมากของคนป่วยแล้วร้อนใจหนัก หากไม่ช่วยทำการรักษาเบื้องต้นแล้วเอาแต่รอหมอที่ให้บ่าวไปตาม ท่านลุงคนนี้อาจจะเสียชีวิตไปก่อน อีกอย่างหากหมอมาแล้วก็ไม่มีหลักประกันใดยืนยันได้ว่าชายคนนี้จะรอดและเหลาซิ่งฝูคงต้องรับผิดชอบ
ในเมื่อไม่ว่าทางไหนเหลาซิ่งฝูก็เสี่ยงทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ขอเสี่ยงที่โอกาสรอดมากไว้ก่อนดีกว่า
“ท่านลุงอู๋ มาช่วยข้าทีขอรับ”
อู๋เจ๋อมัวแต่คิดถึงคำพูดของจางอี้หมิงที่ว่าหากชายตรงหน้าไม่รอด พวกตนก็ไม่รอดเช่นกัน มารู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเด็กน้อยตะโกนเรียกตนเองแล้ว
“ท่านลุงอู๋ท่านต้องตั้งสติ ฟังและทำตามที่ข้าบอก”
“ดะ ได้ เจ้าต้องการให้ลุงทำอันใด” อู๋เจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่สองสามครั้งเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง
“ท่านอ๋องขอรับ หากไม่ทำให้อาหารที่ติดอยู่หลุดออกมาโดยเร็วคาดว่าท่านอาจารย์คงจะแย่เป็นแน่ ในเมื่อท่านหมอยังมาไม่ถึง ข้าก็พอมีความรู้อยู่บ้าง ขอได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้ทำการรักษาท่านอาจารย์เบื้องต้นก่อนที่ท่านหมอจะมาถึงได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงยกมือขึ้นเอ่ยด้วยความมั่นใจและฉะฉาน เขาไม่หลบสายตาของหนิงอ๋องแม้แต่น้อย
ทางด้านอ๋องหนุ่มพิจารณาเด็กน้อยตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน รูปร่างผอม สวมใส่เสื้อผ้าดั่งชาวบ้านธรรมดา แต่การพูดจาฉะฉาน ไม่มีความกลัวเมื่อต้องพูดคุยกับตนเอง สายตาที่แน่วแน่มีความมั่นใจ และยังเป็นคนที่ควบคุมการทำอาหารเจ้าปัญหาอยู่ตอนนี้อีกด้วย
“ได้ เจ้าลองดู”
เมื่อได้ยินท่านอ๋องเอ่ยอนุญาตแล้ว จางอี้หมิงจึงเรียกอู๋เจ๋อมาช่วยตนเองทันที
“ท่านลุงอู๋ พยุงท่านอาจารย์ลุกขึ้นยืน ไปยืนช้อนหลังใช้ขาที่ถนัดที่สุดสอดเข้าไปตรงกลางขาของท่านอาจารย์ ใช้มือข้างที่ถนัดที่สุดกำมือ เก็บหัวแม่มือไว้”
ขณะที่พูดเขาก็มองท่านลุงอู๋ทำตามที่ตนบอกด้วยท่าทางเงอะงะ จึงสาธิตให้อีกฝ่ายดู
“ท่านลุงอู๋มองมือข้าเป็นตัวอย่าง วางไปบนระหว่างลิ้นปี้และสะดือของท่านอาจารย์ ใช้มืออีกข้างจับมือที่กำไว้ ขยับมือเฉียงให้สูงขึ้นไปดันให้ตัวท่านอาจารย์เข้าไปหาท่านลุงอู๋ ทำให้เป็นจังหวะ ทำตามที่ข้าให้สัญญาณ” จางอี้หมิงเอ่ยวาจาอย่างรวดเร็วแบบไม่มีหยุดพัก เด็กน้อยมองการกระทำของอู๋เจ๋ออยู่ตลอดเวลาว่าเข้าใจในคำบอกของตนเองหรือไม่ ในครั้งที่ต้องกำมือเป็นตัวอย่างเด็กชายก็ทำช้าลง เมื่อเห็นว่าอู๋เจ๋อพร้อมทำขั้นตอนต่อไปแล้ว อี้หมิงจึงเริ่มนับเป็นจังหวะ
“หนึ่ง สอง สาม ท่านลุงอู๋หยุด” อู๋เจ๋อทำตามคำบอกของจางอี้ หมิงอย่างเคร่งครัด เมื่อได้ยินเสียงสั่งให้หยุดก็หยุดตามคำสั่ง เมื่อเสียงเล็กส่งสัญญาณพ่อครัวเหลาซิ่งฝูจึงเริ่มขยับมือต่อ
“หนึ่ง สอง สาม ท่านลุงอู๋หยุด”
อะ โอ๊ะ อ๊อก เฮือก แค่ก ๆ
เสียงที่ดังติดต่อกันของท่านอาจารย์คล้ายคนที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำแล้วกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด เมื่อก้อนเนื้อเจ้าปัญหาหลุดออกมา ท่านอาจารย์ถึงกับอ่อนแรงเกือบทรุดตัวลงไป
“หลุดออกมาแล้ว” จางอี้หมิงตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ อู๋เจ๋อเองก็แทบหมดแรงเช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมแขนอ่อนแรงจะทรุดตัวลงไป อู๋เจ๋อจึงพยุงท่านอาจารย์ไปนั่งที่เก้าอี้
“ท่านอาจารย์ ท่านเป็นยังไงบ้าง” หนิงอ๋องปรี่เข้าไปเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ขออภัยท่านอ๋อง อย่าเพิ่งถามหรือรบกวนท่านอาจารย์ขอรับ” หลังจากที่จางอี้หมิงเอ่ยจบ ชายชราไว้หนวดเคราสีขาวถือล่วมยาก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องเสวยอาหารด้วยอาการกระหืดกระหอบพอดี สบตากับท่านอ๋องที่มีแต่ความโกรธเกรี้ยวก็แทบเข่าอ่อน ทรุดลงไปตรงนั้น
“ท่านหมอ เจ้าจงรีบรักษาท่านอาจารย์” หนิงอ๋องเอ่ยสั่งการ
หลังจากนั้นหมอชราจึงได้สั่งให้ทหาร หามท่านอาจารย์ขึ้นเพื่อไปยังห้องของเขา ระหว่างที่ทหารยกขาของท่านอาจารย์ขึ้น จางอี้หมิงได้มีโอกาสเห็นแผลขนาดไม่ใหญ่มากนักที่ยังสดและไม่มีผ้าผันแผลพันไว้
“เด็กน้อย พวกเราคงมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกมาก เช่นนั้นเจ้าตามข้ามา” หนิงอ๋องหันไปสั่งทหารให้นำชาและขนมไปให้ที่ห้องทำงาน ไม่ลืมสั่งให้ไปตามเถ้าแก่หวังและคนอื่น ๆ ตามไปด้วย เสร็จแล้วจึงเดินนำหน้าทุกคนมุ่งตรงไปยังห้องทำงานส่วนตัว
ความสุนทรีย์ในการที่จะได้กินหุบเขาเดียวดายจึงหมดไป เฮ้อ! ช่างน่าเสียดาย