ตอนที่ 3 อาหารอันใดช่างหอมเช่นนี้【2】
“คารวะท่านตี้ปิน พวกข้าขอรบกวนด้วยนะขอรับ” อู๋เจ๋อเป็นตัวแทนเหลาซิ่งฝูเอ่ยทักทายหัวหน้าพ่อครัวตี้ปิน ผู้ซึ่งมีร่างกายสูงแต่ไม่หนาดังเช่นพ่อครัวทั่วไป
ถึงแม้จะเป็นพ่อครัวแต่ก็หาได้มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ไม่ ตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ ตี้ปินผู้นี้มีรูปร่างบอบบางคล้ายอิสตรี สีผิวขาวกว่าชาวแคว้นฉินอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเพราะเป็นคนเมืองหนาว
“ไม่ต้องมากพิธี”
หืม หน้าตาและเสียงพูดดัดให้แหลมคล้ายอิสตรีเช่นนี้ ชัดเลย สงสัยร่างกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิงแน่นอน
จางอี้หมิงคิดในใจเมื่อเห็นท่าทางของพ่อครัวจวนอ๋อง เด็กน้อยไม่ได้กล่าวอันใด เขายิ้มให้บาง ๆ และหันไปสนใจเรื่องการทำอาหารต่อ
“พวกเจ้ามีรายการอาหารที่จะนำขึ้นตั้งโต๊ะเสวยแล้วหรือไม่” ตี้ปินเอ่ยถามขึ้น
“เรียนท่านตี้ ข้าได้รับคำสั่งให้ทำเพียงหนึ่งรายการเท่านั้น ขอท่านตี้ปรุงอาหารดังเช่นปกติ แต่ให้ตัดออกหนึ่งรายการสำหรับอาหารของเหลาซิ่งฝูขอรับ”
จางอี้หมิงเอ่ยตอบ ส่งผลให้ตี้ปินเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจว่าเหตุใดเด็กน้อยเช่นนี้จึงสามารถเข้ามาที่ห้องครัวซึ่งเป็นสถานที่หรืออาณาจักรการทำงานของเขาได้
“เด็กน้อย เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาป้วนเปี้ยนในห้องครัวเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นพ่อครัวอีกคนของเหลาซิ่งฝู”
“เรียนท่านตี้ ข้าอู๋เจ๋อ เป็นพ่อครัวในการทำอาหารในวันนี้ขอรับ ส่วนนี่อู๋หมิน เป็นผู้ช่วย และเด็กน้อยที่ท่านตี้เอ่ยถาม ชื่อว่าจางอี้หมิง ข้าน้อยเรียกว่าหมิงหมิงน้อย เป็นคนคอยกำกับการทำอาหารสำหรับตั้งโต๊ะเสวยในวันนี้ขอรับ” อู๋เจ๋อเอ่ยตอบคำถามหัวหน้าพ่อครัวจวนอ๋องด้วยความฉะฉาน
“เจ้าว่าอันใดนะ เด็กน้อยเพียงเท่านี้แต่ถึงกับรู้วิธีการทำอาหารเช่นนั้นหรือ บังอาจเกินไปแล้ว เจ้ามิรู้หรือว่าอาหารที่ทำขึ้นตั้งโต๊ะเสวยของท่านอ๋องต้องได้รับการปรุงจากพ่อครัวอันดับหนึ่งที่มีฝีมือและมากประสบการณ์เท่านั้น แต่นี่เหลาซิ่งฝูถึงกับให้เด็กน้อยปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกล้านำอาหารขึ้นโต๊ะ” ตี้ปินตวาดออกมาเสียงดัง เขารู้สึกเหมือนกับถูกหลู่เกียรติของการเป็นพ่อครัวตำหนักอ๋องยิ่งนัก
ทำงานมาหลายปี กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อครัวมากมายต่างก็ฝึกฝนฝีมือมาอย่างยาวนาน แต่นี่เหลาอาหารซิ่งฝูกลับให้เด็กตัวเล็ก ๆ มากำกับเช่นนั้นหรือ
“ขอท่านตี้อย่าเพิ่งโมโห นี่เป็นรับสั่งของท่านอ๋องขอรับ และท่านหัวหน้าพ่อบ้านก็แจ้งให้ท่านตี้ทราบตั้งแต่แรกแล้ว ขอท่านตี้ให้ความร่วมมือด้วยขอรับ” อู๋เจ๋อยังสนทนาด้วยความอดทนและใจเย็นที่เหลาอาหารซิ่งฝูโดนดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้
“ได้ ข้าจะคอยดูว่าเด็กน้อยเช่นเจ้าจะทำรายการอาหารอันใดออกมา” ตี้ปินกล่าวเสียงแข็งแล้วจึงหันไปทำอาหารในส่วนที่เหลือของตน แต่ก็ไม่ลืมเรียกคนครัวซึ่งเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งให้มาคอยช่วยคนของเหลาซิ่งฝูในการทำอาหารในครั้งนี้
“ขอบคุณท่านตี้ ขอบใจน้องชาย” อู๋เจ๋อกลาวขอบคุณตี้ปินอีกครั้งที่ไม่สร้างปัญหาให้กับพวกเขา และเอ่ยขอบใจคนงานในครัวของจวนอ๋อง ที่มารู้ทีหลังว่าชื่อหยู๋หยาง ซึ่งคนจากเหลาซิ่งฝูพร้อมใจกันเรียกชายหนุ่มว่า อาหยาง
“หมิงหมิงน้อย พวกเราจะทำรายการอาหารอันใดเล่า” อู๋เจ๋อเอ่ยถามขึ้น
“ข้าจะทำเนื้อย่างสมุนไพรขอรับ กินกับข้าว ผักและมันบด”
“เจ้าว่าอันใดนะ อาหารมื้อพิเศษเจ้าทำเพียงแค่เนื้อย่าง มันไม่ธรรมดาเกินไปเช่นนั้นหรือ” อู๋เจ๋ออุทานออกมาอย่างตกใจ เขาก็นึกว่าเด็กน้อยจะมีรายการอาหารที่เขาไม่เคยได้ทำมาก่อนเสียอีก คำตอบของเด็กชายถึงกับทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“ท่านลุงอู๋ ท่านคิดว่าเนื้อย่างของข้าจะธรรมดาเช่นนั้นหรือขอรับ” จางอี้หมิงถึงกับยิ้มและยกคิ้วให้กับหัวหน้าพ่อครัวซิ่งฝูไปหนึ่งที
อู๋เจ๋อหัวเราะเบาๆกับท่าทางเช่นนั้น เขาลืมคิดไปได้อย่างไรว่าขนาดพะโล้ธรรมดา เด็กคนนี้ยังรังสรรค์ออกมาเป็นอาหารเลิศรสอย่างนิลเง็กเซียนได้
“เช่นนั้นก็มาเริ่มทำกันเถอะ ข้าต้องทำอันใดบ้างหมิงหมิงน้อย” อู๋เจ๋อเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“พี่อาหยางขอรับ ข้าอยากได้เนื้อสองส่วน ชิ้นแรกขอเป็นเนื้อสันในที่ไม่มีมันติด และเนื้อสันติดมันขอรับ และเครื่องเทศได้แก่...” จางอี้ หมิงหันไปบอกสิ่งที่ต้องการให้คนครัวของจวนอ๋องได้ฟังจนครบ รอไม่นานวัตถุดิบที่ต้องการจึงวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ ผัก หรือเครื่องเทศ
สมกับเป็นจวนอ๋อง วัตถุดิบช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
วันนี้จางอี้หมิงจะทำเนื้อสเต็กกินกับผักต้ม มันบดและมีข้าวสวยด้วย ด้วยไม่มีเนยและนมแพะ ก็อาจจะทำให้คาวและมีกลิ่นแรงเกินกว่าจะเอามาใส่ลงไปในอาหารได้ เขาจึงต้องประยุกต์มันบดตามสิ่งที่มีแทน
“พี่อาหยาง รบกวนท่านตั้งหม้อน้ำให้เดือดด้วยขอรับ พี่ชาย หมิน ท่านนำมันฝรั่งไปปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เอาไปต้มให้เนื้อเละเลยนะขอรับ เสร็จแล้วทำดอกไม้สำหรับจัดจานไว้ด้วย พี่ชายหมิน คนที่นี่เรียกแครอทว่าอันใดนะขอรับ” จางอี้หมิงเริ่มแจกแจกงานให้ผู้ช่วยทั้งสองทำ แต่เพราะลืมคำเรียกของแครอท จึงสะกิดถามอู๋หมินด้วย
“หูหลัวโป” อู๋หมินก้มหน้ามากระซิบบอก
“ใช่แล้ว พี่อาหยางต้มน้ำเสร็จแล้วรบกวนเอาหูหลัวโปปอกเปลือกหั่นเป็นแท่งตามยาว นำไปลวกน้ำร้อนด้วยนะขอรับ ไม่ต้องลวกนานเพราะข้าต้องการความกรอบ ลวกน้ำร้อนเสร็จแล้วเอาไปแช่ในน้ำเย็นนะขอรับ ส่วนท่านลุงอู๋ มาหมักเนื้อกับข้าขอรับ” จางอี้หมิงแจกแจงงานทั้งหมดต่อให้กับทุกคน
“หมิงหมิงน้อย เหตุใดต้องใช้เนื้อส่วนที่แตกต่างกันเช่นนี้เล่า หรือจะเหมือนนิลเง็กเซียนเช่นนั้นหรือ” อู๋เจ๋อเอ่ยถามในฐานะที่เป็นพ่อครัว การทำอาหารด้วยเนื้อสองส่วนที่แตกต่างกันทำให้เขาสงสัย และนึกขึ้นได้ว่าอาจจะมีข้อสันนิษฐานเช่นเดียวกับพะโล้ก็เป็นได้
“ท่านลุงอู๋เข้าใจถูกต้องแล้วขอรับ นำเนื้อวางลงไปบนชามไม้ ใส่เกลือ น้ำมัน พริกไทยนิดหน่อย อย่าลืมทุบเนื้อและนวดเล็กน้อยให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันแล้วพักไว้ก่อน จะทำให้เนื้อนุ่มขอรับ”
ในระหว่างที่รอหมักเนื้อ อู๋หมินก็ทำดอกไม้ตกแต่งจานผักรอไปด้วย เมื่อมันฝรั่งสุกแล้ว จางอี้หมิงจึงให้อู๋หมินทำมันบดต่อทันที ซึ่งนั่นก็คือเพียงบดมันให้ละเอียดเท่านั้น อู๋หมินจึงบดมันฝรั่งด้วยสาก
“ท่านลุงอู๋ เราต้องทำน้ำสำหรับราดเนื้อย่างด้วยขอรับ”
“โอ้ ข้าเชื่อแล้วว่าเนื้อย่างสูตรบ้านสกุลจางไม่ธรรมดาจริง ๆ เพียงวิธีการเตรียมการหมักก็แตกต่างแล้ว บอกลุงคนนี้มาได้เลย ข้าพร้อมที่จะทำแล้ว” อู๋เจ๋ออุทานออกมาเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ท่านลุงนำหม้อเปล่ามาแล้วใส่หอมหัวใหญ่ กระเทียม โป๊ยก๊ก อบเชย ใบกระวาน พริกไทย น้ำตาลผัก และเกลือ นำไปต้มให้เดือด เสร็จแล้วกรองเอากากออกให้เหลือแต่น้ำราด นำไปตั้งไฟอีกครั้ง พอน้ำราดเดือด เติมแป้งมันลงไปพอให้น้ำราดข้นเล็กน้อยขอรับ” จางอี้หมิง อธิบายขั้นตอนการทำน้ำราดเนื้อย่างโดยละเอียด เขาเล่าสองรอบเพื่อความมั่นใจว่าอู๋เจ๋อจะได้ยินไม่ผิด
ในส่วนของตี้ปิ้น เขาก็ทำอาหารใกล้จะเสร็จแล้วเช่นกัน จึงได้มายืนดูเหลาซิ่งฝูทำอาหารและเอ่ยเยาะเย้ย
“เหลาซิ่งฝูถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอก ทำเนื้อย่างขึ้นโต๊ะเสวยเช่นนั้นหรือ เจ้าไม่รู้หรือว่าท่านอ๋องทรงเบื่ออาหารจานเนื้อย่างนี้เป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าเหลาไหน ๆ ก็คิดว่าท่านอ๋องต้องชอบทานอาหารจานเนื้อกันทั้งนั้น” ตี้ปินหัวเราะเสียงสูงพลางใช้สายตามองมายังเหลาซิ่งฝูอย่างดูแคลน
“เร่งมือเข้า อีกไม่ถึงสองเค่อต้องนำอาหารขึ้นโต๊ะเสวยแล้ว เหลาซิ่งฝู พวกเจ้าทำอาหารเสร็จแล้วหรือยัง” หัวหน้าพ่อบ้านคนเดิมเดินเข้ามาในห้องครัวพลางเอ่ยเร่งและแจ้งกำหนดการตั้งโต๊ะเสวย
“ข้าใกล้เสร็จแล้วขอรับ รับรองว่าทันเวลาตั้งโต๊ะเสวยแน่นอนท่านพ่อบ้าน” ตี้ปินตอบด้วยท่าทีลำพอง
“เหลาซิ่งฝูก็ทันเวลาขอรับ” จางอี้หมิงเป็นคนตอบคำถามเมื่อเห็นว่าท่านลุงยุ่งกับการทำน้ำราดอยู่
“เช่นนั้นก็ดี” หัวหน้าพ่อบ้านจวนอ๋องเอ่ยเสร็จแล้วจึงเดินออกไปจากห้องครัวอีกครั้ง ปล่อยให้เหล่าพ่อครัวทำอาหารกันต่อไป
“หมิงหมิงน้อยอาหารจะเสร็จทันแน่หรือ” อู๋เจ๋อเอ่ยถามด้วยความกังวล
“ท่านลุงไม่ต้องเป็นห่วง เสร็จทันแน่นอนขอรับ พวกเรามาทำเนื้อย่างกันต่อเถอะ” จางอี้หมิงเอ่ยปลอบใจอู๋เจ๋อด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เขาเห็นว่าน้ำราดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันจึงต้องทันอย่างแน่นอน
“ท่านลุง เอากระทะตั้งไฟให้ร้อนมาก ๆ เลยนะขอรับ ใส่น้ำมันลงไปนิดหน่อย ถ้าเห็นเริ่มมีควันออกก็ให้วางเนื้อลงไปแต่อย่าเพิ่งพลิกกลับนะขอรับ รอให้เนื้อสุกสักครึ่งหนึ่งก่อนแล้วถึงจะพลิกอีกด้าน ส่วนพี่ชายหมิน ท่านตั้งกระทะใส่น้ำมัน สับกระเทียมลงไปเจียวให้หอม อย่าให้กระเทียมเจียวไหม้นะขอรับ พอมีสีเหลืองก็ให้นำลงไปคลุกลงในมันฝรั่งต้มที่บดไว้ เติมเกลือ พริกไทย น้ำตาลผักนิดเดียวเท่านั้นนะขอรับ ให้มีรสชาติเค็มและหวานขอรับ ท่านลุง พี่ชายหมิน เข้าใจที่ข้าบอกหรือไม่” จางอี้หมิงอธิบายวิธีการทำเนื้อย่างและมันบดให้ทั้งสองคนฟัง
อู๋เจ๋อและอู๋หมินต่างพยักหน้ารับ พวกเขารีบไปจัดการตามที่เจ้านายตัวน้อยบอก จางอี้หมิงเดินไปดูพี่อาหยางลวกแครอทเพราะไม่มั่นใจว่าคนครัวของจวนอ๋องจะทำได้ตามที่บอกหรือไม่ ซึ่งแตกต่างจากอู๋เจ๋อและอู๋หมินที่รู้ฝีมือกันดีอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าพี่อาหยางทำได้ตามที่บอก เด็กน้อยจึงเดินไปที่พี่ชายหมิน เงยหน้าดูก็เห็นว่าตอนนี้กระเทียมเจียวกำลังส่งกลิ่นหอม สีเหลืองกำลังสวย เมื่อยกลงมาจากเตาและพักให้หายร้อนนิดหน่อย อู๋ หมินจึงนำมาคลุกกับมัดบดและเติมสิ่งต่าง ๆ ตามที่อี้หมิงบอก เพียงไม่นาน เขาก็ตักมันฝรั่งบดวางไว้บนถาดที่ได้ทำดอกไม้ไว้รออยู่แล้ว
“ท่านลุงอู๋ พลิกกลับส่วนที่มีมันก่อนเลยขอรับเพราะสุกไวกว่าเนื้อชิ้นที่ไม่มี...” คำว่า มัน ยังไม่ทันได้เอ่ยออกจากปากของเด็กน้อย เสียงดังที่เอ่ยถามขึ้นมาถึงกับทำให้จางอี้หมิงสะดุ้ง หันหลังไปมองทางบานประตู
“กลิ่นอาหารอันใดถึงได้หอมออกไปถึงห้องทำงาน จนทำให้ข้าเสียสมาธิทนทำงานต่อไปไม่ไหว ต้องเดินตามกลิ่นมาถึงที่นี่”
จางอี้หมิงเห็นชายคนหนึ่งอายุประมาณไม่เกินสามสิบปี ท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าประกอบด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีขาวสลับดำ มองเพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าคงมีราคาสูงไม่น้อย บนศีรษะสวมกวานสีเงินดูน่าเกรงขาม ชายคนนี้เดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง อายุน่าจะไม่เกินห้าสิบปี ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนจะเดินขากะเผลกนิดหน่อยด้วย
“อาหารสำหรับมื้อกลางวันวันนี้ กระหม่อมทำเสร็จเรียบร้อยพร้อมนำขึ้นโต๊ะเสวยแล้วพะยะค่ะ” ตี้ปินรีบเดินเข้าไปก้มศีรษะเอ่ยตอบทันที
“ตี้ปิน นี่คงมิใช่อาหารฝีมือเจ้าหรอกนะ กลิ่นหอมเช่นนี้ข้าไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนทั้งที่เจ้าเป็นพ่อครัวจวนอ๋องมากี่ปีแล้ว” เหลียงหนิงหลงหรือหนิงอ๋องถึงกับเอ่ยขัดคำตอบของพ่อครัวประจำจวน
“ท่านลุงอู๋ พลิกกลับเนื้อส่วนที่ไม่มีมันเลยขอรับ แล้วพลิกส่วนที่มีมันอีกครั้งก็เสร็จแล้วขอรับ” จางอี้หมิงหาได้สนใจบทสนาของคนจวนอ๋อง เพราะตอนนี้เขากำลังตั้งใจมองความสุกของเนื้อย่างบนเตาอยู่ต่างหาก เขาจะพลาดทำไหม้ไม่ได้
ซี่ ซี่ ซี่
เสียงเนื้อย่างบนเตาที่กำลังสุก ทั้งเสียงทั้งกลิ่นเนื้อย่างและกลิ่นกระเทียมเจียวสำหรับใส่มันบด ส่งผลให้ท่านอ๋องหนุ่มถึงกับท้องไส้ปั่นป่วนทนรอไม่ไหว ต้องตามมาถึงในห้องครัวเช่นนี้
“เด็กน้อย เจ้าเป็นคนทำรายการอาหารนี้เช่นนั้นหรือ” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงด้านหลังท่านอ๋องเอ่ยถามขึ้น
“ขอรับ”
“เอาล่ะ ขอโทษที่มารบกวนพวกเจ้า อีกไม่นานอาหารคงพร้อมใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะไปรอที่ห้องอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้าจะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ไปกันเถอะท่านอาจารย์” หนิงอ๋องเอ่ยบอกคนในห้องครัวก่อนที่จะเอ่ยปากชวนชายวัยกลางคนที่ยืนข้างหลังตนเองให้เดินออกไปพร้อมกัน
“หึ หึ”
เมื่อเดินออกมาได้ไม่นาน หนิงอ๋องถึงกับหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอ เด็กน้อยคนนั้นช่างน่าสนใจยิ่งนัก ท่าทางตื่นตระหนกเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเขาแต่ก็ไม่ร้องไห้ออกมา ยังคงมีสติบอกให้พ่อครัวทำต่อไป ถ้าเขาไม่กลัวว่าจะต้องอดกินอาหารที่มีกลิ่นหอมเช่นนั้นเนื่องจากเนื้อย่างไหม้เสียก่อน เขาก็อยากจะอยู่แกล้งให้สำราญใจอีกนิด
ไม่เป็นไร อีกไม่นานเขาก็จะได้ชิมอาหารที่มีกลิ่นหอมนั่นแล้ว จะแกล้งหลังจากท้องอิ่มแล้วก็ถือว่ายังไม่สายเกินไป